ตอนที่ 46 กลลวงลิโป้
ซูเจ๋อหาได้แสดงความกังวลบนใบหน้าไม่ เขายังคงใช้คลื่นสมองเชื่อมต่อกับดาวเทียมสภาพอากาศอยู่อย่างนั้น
“เปิดโหมดการสแกนด้วยลำแสงอินฟราเรดทันที จากนั้นส่งภาพรังสีความร้อนที่อยู่ในระยะห้าสิบก้าวมาให้ฉัน”
[ติง ติง... การสแกนด้วยอินฟราเรดเสร็จสิ้น และกำลังถ่ายโอนข้อมูล]
เวลานี้ ในหัวของซูเจ๋อได้ปรากฏภาพรังสีความร้อนขึ้นมา
เนื่องจากร่างกายมนุษย์มีรังสีความร้อนอยู่ภายใน ดาวเทียมที่ใช้แสงอินฟราเรดสแกนจึงสามารถจับคลื่นความร้อนเหล่านั้นได้และถูกส่งไปให้ซูเจ๋ออย่างง่ายดาย เขาสามารถทราบตำแหน่ง และวางแผนจากภาพที่เห็นในระยะห้าสิบก้าวนี้ได้ทันที
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงสามารถมองเห็นทหารของลิโป้แม้จะอยู่ในสายหมอกได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งทหารเหล่านั้นยังมิรู้ตัวแม้แต่น้อย
“ท่านแม่ทัพ หมอกลงหนาจัดแบบนี้มิปกติแล้ว คนแซ่ซูอาจจะใช้โอกาสนี้ย่องหนีออกจากหุบเขาก็เป็นได้”
ในอีกด้านหนึ่งของหมอก เสียงของงุยซกได้ดังขึ้น
เสียงนั่นฟังดูแล้วอยู่ห่างจากพวกเขาเพียงมิกี่สิบก้าว หากอยู่ในระยะเพียงเท่านี้ การกระทำของพวกเขาอาจถูกเปิดเผยได้ตลอดเวลา
ทุกคนต่างตัวสั่นเทา ความคิดของพวกเขาตึงเครียดจนแทบเสียสติ ฝ่ามือของพวกเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ภายในรถม้า หัวใจของเตียวเสี้ยนเต้นแรงขึ้นทุกขณะราวกับจะหลุดออกมา
“หมอกหนาจัดถึงเพียงนี้ไอ้เด็กคนนั้นจะกล้าออกจากหุบเขาได้อย่างไร? มันมิกลัวตกลงไปในคูน้ำข้างทางเลยหรือ? ต่อให้มันบังเอิญมิเป็นอะไรแต่มิกลัวเลยหรือว่าจะต้องพบเจอกับพวกเราระหว่างทาง?”
ภายในหมอกที่ลงหนา เสียงอันมั่นใจแฝงความดูหมิ่นของลิโป้ดังขึ้น
“ท่านแม่ทัพพูดมามีเหตุผล ดูเหมือนว่าข้าจะกังวลจนเกินไป พวกเราควรจะทำอย่างไรดี?” งุยซกกล่าวต่อ
“ง่ายมาก กินและดื่มให้เพียงพอ พักผ่อนเอาแรงและรอให้คนแซ่ซูออกมาหาที่ตายเอง ข้าคาดว่าอาหารและน้ำของพวกมันคงหมดก่อนวันพรุ่งนี้อย่างแน่นอน”
“ท่านแม่ทัพพูดถูกต้อง พี่น้องทั้งหลายมาดื่มกินกันเถิด จะกังวลไปด้วยเหตุใดกัน?”
หลังจากนั้นมินาน เสียงหัวเราะครึกครื้นของทหารของลิโป้ก็ดังขึ้นภายในสายหมอก กลิ่นของสุราลอยอบอวลไปทั่ว
ถึงแม้พวกทหารของลิโป้จะอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ดูเหมือนทหารเหล่านั้นจะมิสังเกตเห็น!
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนจึงถอนหายใจโล่งอกออกมาเล็กน้อย ทว่าบรรยากาศก็ยังมิได้ดีขึ้นมาก พวกเขายังคงเดินตามแผนการของซูเจ๋อกันต่ออย่างเคร่งเครียด
ซูเจ๋อมิเผยสีหน้าเป็นกังวลแม้แต่น้อย เขาทราบระยะห่างระหว่างตนกับลิโป้ดี หากมิมีเหตุการณ์มิคาดฝันเกิดขึ้น อีกฝ่ายจะมิมีทางเจอได้แน่นอน
เขาขี่ม้าเดินออกไปอย่างช้า ๆ จนในที่สุดก็สามารถสลัดเสียงของกองทัพลิโป้ออกไปได้
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม เขาก็เห็นว่าศัตรูอยู่ห่างกับตนมากพอโดยอิงจากรูปถ่ายรังสีความร้อน แม้ตอนนี้จะส่งเสียงดังก็มิมีใครได้ยินแล้ว
“เอาล่ะ ศัตรูอยู่ห่างจากพวกเรามากพอแล้ว ตอนนี้รีบเร่งความเร็วขึ้นเถิด” ซูเจ๋อออกคำสั่งขณะชักแส้ม้าออกมา
มิมีใครกล้าตั้งคำถามกับซูเจ๋ออีก เวลานี้พวกเขาหวังแค่ว่าจะมีปีกปรากฏขึ้นใต้เท้า แล้วพาพวกเขาวิ่งหนีออกไปจากตรงนี้ให้ได้เสียที
ตลอดทาง พวกเขารีบวิ่งกันอย่างรวดเร็ว เพียงมินาน แสงอาทิตย์ได้ปรากฏขึ้น หมอกที่มีเริ่มจางลง ฉากตรงหน้าพวกเขาก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
ซูเจ๋อเหลือบมองกลับไปที่หุบเขาด้านหลัง เขาสันนิษฐานว่าพวกลิโป้คงกำลังนั่งดื่มด่ำรออยู่ที่ปากหุบเขาโดยมิรู้ตัวอยู่
“เยี่ยมไปเลย ฮ่าฮ่าฮ่า” ความเพลิดเพลินที่ได้กลั่นแกล้งศัตรูทำให้ซูเจ๋อระเบิดเสียงหัวเราะอย่างสาแก่ใจ
จิวฉองและลูกน้องคนอื่น ๆ หันไปมองหุบเขา พวกเขาต่างพากันตะลึงกับการรอดตายอันน่าอัศจรรย์นี้ แน่นอนว่าพวกเขาเองก็อดมิได้ที่จะหัวเราะพร้อมกับซูเจ๋อ
เสียงหัวเราะของพวกเขาดังก้องไปทั่วที่ราบตรงหน้า
หลังจากหัวเราะอยู่นาน ซูเจ๋อจึงปรับน้ำเสียงเป็นปกติก่อนเอ่ยขึ้น “เอาล่ะ พอได้แล้ว... พอได้แล้ว พวกเจ้าประหยัดแรงไว้เดินทางไปเมืองข้างหน้าอีกหน่อย เมื่อไปถึงพวกเราจะจัดอาหารมื้อใหญ่อย่างเหมาะสม”
เมื่อหูของเฮาเฉียได้ยินคำว่า ‘อาหารมื้อใหญ่’ ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายก่อนจะปรบมือเสียงดัง “ได้เลยขอรับ ข้าใคร่กินเนื้อแกะต้มสักสิบหม้อ มิสิ! สักร้อยหม้อไปเลย!”
ทุกคนหัวเราะกันอีกครั้ง
ซูเซี๋ยวเสี่ยวจับแขนเสื้อของซูเจ๋อพร้อมเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “คุณชาย ข้ามิสนเรื่องอาหารมื้อใหญ่นั่น ได้โปรดบอกข้าทีเถิด คุณชายออกมาจากหมอกหนาขนาดนั้นได้อย่างไร?”
“โอ๊ะ คุณชายของเจ้ารู้สึกหิวโหยนัก เร็วเข้า รีบไปกันเถอะ” ซูเจ๋อแตะที่ท้องของเขาขณะฟาดแส้ม้า
ซูเซี๋ยวเสี่ยวมิมีทางเลือก นางกระโดดกลับเข้าไปในรถม้าเพื่อออกเดินทางต่อ
ทหารทั้งหมดของกองทัพตระกูลซูเริ่มมีขวัญกำลังใจขึ้นมาอีกครั้ง
บนรถม้าอีกคัน เตียวเสี้ยนมองไปยังแผ่นหลังของซูเจ๋อ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ นางกล่าวพึมพำเบากับตนเอง “เด็กแซ่ซูคนนี้มิธรรมดาเลย แม้ว่าจะมีภูมิหลังที่อาภัพ แต่เขาก็มิด้อยไปกว่าชนชั้นสูงอย่างหวังหลิงแม้แต่น้อย ดูเหมือนเขาจะเหนือกว่ามากด้วยซ้ำ...”
ขบวนของพวกเขาได้เดินทางต่อทิ้งไว้เพียงฝุ่นที่ฟุ้งกระจายอยู่ด้านหลัง
ที่ปากหุบเขาซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายลี้ ลิโป้และทหารม้าหลายร้อยคนกำลังนั่งรอซูเจ๋อโดยมิมีใครสงสัยแม้แต่คนเดียว
หมอกเริ่มจางลง ฉากตรงหน้าเริ่มเห็นชัดขึ้น พวกเขากลับมิมีใครสังเกตว่าเหยื่อที่รออยู่ได้หายไปหมดแล้ว
ผ่านไปอีกสองวัน
ในที่สุดลิโป้ก็มิสามารถนิ่งนอนใจได้อีก ซูเจ๋ออยู่ในหุบเขานานเกินไป สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทุกขณะ
ในวันที่สาม ลิโป้มิสามารถอดทนได้อีก เขาออกคำสั่งให้คนของตนเข้าไปค้นหาในหุบเขา
ตั้งแต่ปากทางเข้าจนยาวเข้าไปในหุบเขา ลิโป้สั่งคนคุ้มกันไว้สิบสองจุด เพราะกลัวว่าจะถูกลอบโจมตีโดยทหารของซูเจ๋อ
แต่ยิ่งค้นหามากเท่าไหร่ พวกเขาก็ต้องยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีก เพราะเวลานี้ซูเจ๋อได้หายตัวไปราวกับกลายเป็นสายลม
“ไอ้เด็กแซ่ซูมันซ่อนตัวอยู่ที่ไหน?” คิ้วของลิโป้ขมวดแน่น หัวใจของเขาก็เริ่มรู้สึกมิสบอารมณ์มากขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจากนั้นมินาน หน่วยลาดตระเวนได้เข้ามารายงานว่าพบร่องรอยของการตั้งค่ายพัก
ลิโป้ตบม้าของตนและพุ่งเข้าไปในหุบเขาทันที มินาน เขาก็ได้พบที่ที่พวกซูเจ๋อพักอยู่เมื่อสองสามวันก่อน
เมื่อพิจารณาจากรอยขี้เถ้า และรอยลากเลื่อนของรถม้า เขาจึงมั่นใจว่าพวกซูเจ๋อเคยพักอยู่ที่นี่
แตกต่างแค่ตอนนี้มิมีใครอยู่แล้ว และเหลืออยู่แค่เศษซากเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น
ลิโป้มองไปรอบ ๆ ราวกับคนเสียสติ กล่าวได้ว่าเขาแทบวิปลาสอยู่ทุกวินาที
ทันใดนั้น งุยซกได้ชี้ไปยังต้นไม้และเอ่ยขึ้น “ท่านแม่ทัพดูนั่น เปลือกของต้นไม้ถูกแกะออกและเหมือนจะสลักอะไรบางอย่างไว้”
ท่าทีของลิโป้ดูตกตะลึง เขาค่อย ๆ ขี่ม้าไปยังต้นไม้ต้นนั้นพร้อมทหารด้านหลัง
เปลือกของต้นไม้ถูกเลาะออกจริง ภายในนั้นมีอักษรสลักด้วยมีดอยู่สองสามประโยค
ลิโป้เหลือบมองอยู่มินาน ใบหน้าของเขาได้เปลี่ยนสีพร้อมตะโกนอย่างโกรธเคือง “ไอ้ซูเจ๋อ กล้าดีอย่างไรจึงทำให้ข้าอับอายเช่นนี้!”
บนต้นไม้สลักไว้ว่า “ข้าน้อยจากไปโดยมิได้บอกลา อีกทั้งยังให้ท่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่รอถึงสองสามวัน ข้าต้องขออภัยอย่างแท้จริง ไว้ท่านแม่ทัพมาเป็นแขกที่หนานหยางเมื่อไร ข้าจะขอเลี้ยงสุราท่านเอง”
ทหารทางซ้ายและขวาต่างพากันตกตะลึงหลังจากทราบว่ามิมีใครอยู่ในหุบเขาแล้ว เหยื่อที่พวกเขารอมาหลายวันได้ออกจากหุบเขานี้ไปตั้งแต่ตอนที่มีหมอกหนา
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พวกเขาถูกหลอกให้รอด้านนอกหุบเขาถึงสามวันเต็ม
งุยซกตกตะลึงและอุทานขึ้นดัง “เป็นไปได้อย่างไร? หมอกหนาถึงเพียงนี้มิมีทางมองเห็นเส้นทางได้แน่ เด็กแซ่ซูจะหลบหนีออกจากหุบเขาไปตอนไหนงั้นหรือ? นี่มิสมเหตุสมผลเอาเสียเลย”
ตูม!
ลิโป้เหวี่ยงง้าวฟาดไปยังลำต้นของต้นไม้ด้านหน้าอย่างโกรธเกรี้ยว “รีบตามพวกมันไปเร็วเข้า! พวกเราจะตามล่าทั้งวันทั้งคืนโดยมิพักผ่อน หากข้าผู้นี้มิได้สังหารมันด้วยตนเองคงมิอาจบรรเทาความเจ็บแค้นในใจนี้ได้แน่!”
..........................................................