ตอนที่ 47 นี่คือเขตแดนของข้า
หกวันต่อมา ทางตอนใต้ของด่านอู่กวน
ประตูของเมืองกำลังเปิดออก จากนั้นขบวนรถม้าค่อย ๆ เดินออกมาและเดินทางเข้าสู่เมืองหนานหยาง
“ในที่สุดพวกเราก็กลับมาถึงจิงโจวแล้ว ยอดไปเลย!” ซูเซี๋ยวเสี่ยวที่อยู่บนรถม้าตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น
ซูเจ๋อถอนหายใจโล่งอกและมองย้อนไปยังประตูเมืองอู่กวน เขาคิดว่าในที่สุดก็เป็นอิสระจากหายนะอย่างลิโป้ สิ่งต่อไปที่ต้องให้ความสำคัญคือการสร้างกองทัพตระกูลซูในหนานหยาง
เตียวเสี้ยนที่นั่งอยู่บนรถม้าหันไปมองเครื่องหมายข้างถนน ท้ายที่สุดนางก็ถอนหายใจโล่งอกออกมาเช่นกัน ความรู้สึกยามนี้ราวกับนกตัวหนึ่งที่ได้โบยบินออกมาจากกรง
“ถึงแม้จะผ่านพ้นปัญหาตอนนี้ไปได้ แต่ครอบครัวของเราก็ยังไร้ทางรอดอยู่ดี เราจะอยู่อย่างไรต่อไปในอนาคต...”
หัวใจของเตียวเสี้ยนกลับมาเศร้าโศกอีกครั้ง นางอดมิได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองไปทางซูเจ๋อ สายตานั้นราวกับกำลังโหยหาที่พึ่งพิง
“ลงใต้แล้วกลับไปหาอาจารย์โจวมู่ของเราก่อนเถิด” ซูเจ๋อหัวเราะอย่างมีความสุขและควบม้าออกไปพร้อมฟาดแส้
จิวฉองและทหารคนอื่นต่างก็อารมณ์ดีขณะควบม้าไปสู่จุดหมายตรงหน้า
พวกเขาเดินทางมาเป็นเวลาครึ่งวัน เส้นทางด้านข้างเริ่มลดระดับต่ำลงและขยายกว้างขึ้น เวลานี้พวกเขากำลังจะออกจากภูเขาฉินหลิงและเข้าสู่ต้นน้ำหนานหยาง
ทันใดนั้นได้มีเสียงเกือกม้าดังขึ้นจากด้านหลัง ฝุ่นควันได้ฟุ้งกระจายตามมาอย่างหนัก
ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนสีทันทีก่อนจะเริ่มตึงเครียดอีกครั้ง
ซูเจ๋อตะโกนขึ้น “เฮาเฉีย ไปดูว่าใครกำลังตามพวกเรามา”
เฮาเฉียรับคำสั่งและพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็วงราวกับลูกธนูที่ถูกยิงออกจากเกาทัณฑ์
ตัวซูเจ๋อเองก็มิกล้าที่จะอยู่เฉย เขาสั่งให้ทุกคนเดินหน้าต่อไปให้ไวที่สุด
ฝุ่นดินด้านหลังใกล้เข้ามาทุกขณะ พื้นแผ่นดินเริ่มเกิดการสั่นสะเทือนด้วยเสียงเกือกม้า
ทันใดนั้นลมกระโชกแรงได้พัดมา และเฮาเฉียได้ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าซูเจ๋อ “คุณชาย มิดีแล้ว กองทัพลิโป้กำลังตามมาจากด้านหลัง!”
ใบหน้าทุกคนถึงกับถอดสี
ซูเจ๋อตกใจก่อนจะสบถออกมา “ไอ้ลิโป้ผู้นี้เป็นผีสางหรืออย่างไร? เขาไล่ตามโดยมิหยุดหย่อนแม้จะออกจากด่านอู่กวนมาแล้ว อีกทั้งยังดูเหมือนจะไล่ตามไปจนถึงเขตจิงโจวด้วย”
ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่าได้หนีรอดจากเงื้อมมือของลิโป้แล้วและกำลังเดินทางสู่เขตแดนของตนเองจึงผ่อนคลายลงอย่างมาก แต่ลิโป้กลับไล่ตามหลังมาอย่างมิลดละ สิ่งนี้ทำให้พวกเขารู้สึกตกใจและหวาดกลัวยิ่ง
จิวฉองถือดาบในมือพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “คุณชาย เมืองที่ใกล้สุดต้องเดินทางเกือบวัน พวกเรามิมีช่องทางจะหลบซ่อนอีก คุณชายจงไปต่อเถอะ ข้าจะพาพี่น้องส่วนหนึ่งออกไปขวางทางลิโป้ผู้นี้เอง!”
ทันทีที่เอ่ย เหล่าทหารซ้ายขวาได้ชักดาบออกมาเช่นกัน พวกเขาจับดาบพร้อมเผยท่าทีสิ้นหวัง
ซูเจ๋อยังมิรีบออกคำสั่ง เขาหลับตาและใช้คลื่นสมองติดต่อกับดาวเทียมสภาพอากาศอีกครั้ง
“ระบบควอนตัม สแกนแผ่นที่ภูมิประเทศสามมิติที่อยู่ใกล้เคียงนี้ให้ที”
[ติง ติง... การสแกนเสร็จสิ้น ตอนนี้กำลังถ่ายโอนข้อมูล]
คิ้วของซูเจ๋อขมวดแน่น เขาใช้มือแตะหน้าผากทันทีราวกับปวดหัวจนแทบทานทนมิไหว
จิวฉองและคนอื่น ๆ ต่างตกอยู่ในความวิตกกังวลและสงสัย พวกเขามิทราบว่าทำไมคุณชายของตนถึงหลับตาตั้งสติในวินาทีคับขันเช่นนี้ได้อีก
ขณะที่พวกเขากำลังวิตกกังวล ซูเจ๋อลืมตาขึ้นพร้อมเผยรอยยิ้มตรงมุมปาก เขาเรียกเฮาเฉียเข้ามาพร้อมกระซิบสองสามคำ
“เฮาเฉียเข้าใจแล้ว เฮาเฉียจะไปเดี๋ยวนี้!”
เฮาเฉียรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด เขาควบม้าวิ่งไปข้างหน้าก่อนจะหายไปจากสายตาของผู้คน
“คุณชาย เหตุใดเจ้านั่นจึงได้หนีไปผู้เดียวเล่า?” ซูเซี๋ยวเสี่ยวกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงมิพอใจ
ซูเจ๋อมิได้อธิบายอะไร เขากลับตะโกนขึ้นดัง “เพื่อนยาก มาเร็ว ขอแรงช่วยวิ่งหนีหน่อย!”
เขาหันไปฟาดแส้ใส่หลังม้าของตนอย่างบ้าคลั่ง เป็นผลให้ม้าของเขาได้เพิ่มความเร็วขึ้นทันที
ซูเซี๋ยวเสียวและคนอื่น ๆ มิเข้าใจว่าซูเจ๋อหมายถึงอะไร พวกเขาทำได้แค่วิ่งตามอย่างวิตกกังวลเท่านั้น
เพียงชั่วพริบตา พวกเขาได้หนีออกไปได้ถึงสามลี้ แต่ด้วยความเร็วของทหารม้า พวกลิโป้กลับวิ่งเข้ามาประชิดใกล้ขึ้นกว่าเดิม
ด้วยความเร็วระดับนี้ พวกลิโป้จะตามทันได้ในเวลามิถึงครึ่งชั่วยาม
ลิโป้นั่งอยู่บนหลังม้ามองไปยังศัตรูตรงหน้า ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ดุร้าย และจิตสังหารอันรุนแรง
ในหัวของลิโป้มีเพียงเหตุการณ์ในหุบเขาเท่านั้น ข้อความเย้ยหยันบนต้นไม้ที่ทำให้ต้องอับอายกระตุ้นให้เขาไล่ล่าทั้งวันทั้งคืนจนตามทัน
เมื่อได้ยินว่าซูเจ๋อได้หลบหนีออกจากด่านอู่กวนไปแล้วยิ่งทำให้เขาโกรธมากโดยมิสนใจคำแนะนำของคนรอบด้านว่าให้ส่งคนข้ามเขตแดนมาไล่ล่าแทนการลงมือด้วยตนเอง
“คนแซ่ซู เจ้าคิดหรือว่าจะหนีรอดเงื้อมมือลิโป้ผู้นี้ได้ วันนี้ข้าจะจับเป็นเพื่อให้เจ้าได้ลิ้มรสความทรมานยิ่งกว่าความตาย!”
หลังจากเผยแววตาดุร้าย ลิโป้ได้ตะโกนออกมาอีกครั้ง “พี่น้องทุกคนฟังข้า ผู้ใดสามารถจับไอ้ซูเจ๋อได้ทั้งเป็น ผู้นั้นจะได้รับรางวัล!”
“จับเป็นซูเจ๋อ!”
“จับเป็นซูเจ๋อ!”
ทหารม้าของลิโป้ที่ได้รับแรงกระตุ้นจากรางวัลอันหอมหวานกลายเป็นสัตว์ร้ายที่หิวโหยทันที พวกเขาคำรามอย่างบ้าคลั่งและเร่งฝีเท้าขึ้นไปอีก
แปดร้อยก้าว...
เจ็ดร้อยก้าว...
ห้าร้อยก้าว...
ทหารม้าที่ดุดันด้านหลังนั้นราวกับพยัคฆ์ที่กำลังล่าเหยื่อและรอจะฉีกกินอย่างเอร็ดอร่อย
“คุณชาย พวกเราควรทำอย่างไรดี พวกลิโป้จะตามทันแล้ว” ใบหน้าของซูเซี๋ยวเสี่ยวซีดและตัวสั่น
จิวฉองยังคงแสดงสีหน้ามืดมน เขากัดฟันพูด “คุณชาย มิมีเวลาแล้ว รีบสั่งให้ข้าออกไปต้านพวกมันก่อนเถิดขอรับ!”
“คุณชายทำดีที่สุดแล้ว ทิ้งข้าไว้ที่นี่แล้วลิโป้จะมิไล่ตามท่านมาอีก” แม้แต่เตียวเสี้ยนยังหมดหวัง ความคิดที่จะสละตนเองได้ปรากฏขึ้นมาในหัวอีกครั้ง
ซูเจ๋อเหลือบมองไปข้างถนน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ ทันใดนั้นเขาได้ขยับม้าให้หมุนตัวกลับมา
ทหารที่วิ่งตามหลังมาต่างตกตะลึงและรีบหยุดฝีเท้าทันที ทั้งคน ม้า และยานพาหนะถึงกับหยุดเคลื่อนไหว
ก่อนที่พวกเขาจะพูด ซูเจ๋อได้เดินไปหยุดม้าตรงหน้าขบวนและเผชิญหน้ากับกองทหารม้าเหล็กของลิโป้อย่างองอาจ
“คุณชาย ท่านบ้าไปแล้วหรือ? พวกเรามิมีเวลาแล้ว ท่านจะหยุดหนีทำไม!” ซูเซี๋ยวเสี่ยวร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก
ซูเจ๋อกล่าวอย่างใจเย็น “นี่คือเขตแดนของพวกเรา คนนอกกล้ามาไล่ล่าในเขตแดนของพวกเราเอง อันที่จริง มันต้องเป็นพวกลิโป้ต่างหากที่ต้องหนี”
คำกล่าวนี้ราวกับว่าซูเจ๋อกำลังจะใช้กำลังของตัวเองข่มขู่ลิโป้
“หรือจะเป็นเพราะโรคของคุณชายกำเริบ? เขาต้องสับสนอีกแล้วแน่ ๆ ข้าควรทำอย่างไรดี...” ซูเซี๋ยวเสี่ยวตื่นตระหนกจนหน้าซีด นางจิกชายกระโปรงแน่นขณะพูด
จิวฉองเองก็ตกตะลึงเช่นกัน เขามินึกว่านอกจากซูเจ๋อจะมิสั่งให้ตนออกไปต้าน แต่ยังออกไปเผชิญหน้าด้วยตัวเองอีก
เขาเป็นแค่บัณฑิตรูปร่างผอมแห้ง จะมีกำลังต่อต้านได้อย่างไร?!
จิวฉองอดมิได้ที่จะด่าซูเจ๋อในใจ เวลานี้เขาทำอะไรมิได้อีกนอกจากต้องสู้ตายพร้อมกับซูเจ๋อ
ซูเจ๋อที่ยังคงสงบนิ่งได้กระแอมในลำคอก่อนจะกล่าวเสียงดัง “ลิโป้ ท่านใจร้อนจนรอข้าเลี้ยงสุรามิได้แล้วงั้นรึ? คิดจะจับข้าในเขตแดนของข้าเองนี่มิง่ายดายไปหน่อยหรือ?”
….....................................................................