ตอนที่ 49 มิพอใจ
เศษหินกรวดเหล่านั้นกลิ้งลงมาและพุ่งไปทางลิโป้
หากเป็นทหารธรรมดา เมื่อเผชิญหน้ากับก้อนหินเช่นนี้ พวกเขาคงทำได้แค่หลบเลี่ยงเท่านั้น
แต่ลิโป้ได้คำรามขึ้นดังพร้อมเหวี่ยงง้าวในมือไปทางก้อนหินเหล่านั้น
ตูม!
เสียงกระแทกดังสนั่น หินก้อนใหญ่ที่กลิ้งลงมาก่อนถูกทำลายโดยง้าวของลิโป้จนเกิดเศษหินเล็ก ๆ กระเด็นออกรอบด้าน
เศษหินกระเด็นโดนใบหน้าของเขาบางส่วนจนทำให้เกิดรอยแผลถลอกเลือดไหลซิบ
ลิโป้ ยอดขุนศึกที่สง่างามที่สุดในโลกได้รับบาดเจ็บครั้งแรกในชีวิต!
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงรอยแผลเล็ก ๆ บนใบหน้า แต่สิ่งนี้มิเคยเกิดขึ้นมาก่อนจึงกล่าวได้ว่ามันเป็นความอัปยศอย่างใหญ่หลวง
ลิโป้ถึงกับโกรธจัด เขาอยากจะพุ่งเข้าไปฉีกซูเจ๋อคนที่ทำให้เขาอับอายออกเป็นชิ้น ๆ
แต่ความคิดนี้ก็ต้องถูกข่มไว้เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า ลูกน้องของตนถูกสังหารด้วยก้อนหินนั้นเตือนสติลิโป้ว่ามิควรวู่วามไปมากกว่านี้
ลิโป้จึงทำได้แค่ยืนดูลูกน้องครึ่งหนึ่งถูกสังหารอย่างอเนจอนาถเท่านั้น
ตรงหน้าเขาห่างออกไปหนึ่งร้อยก้าว ซูเจ๋อกำลังเคี้ยวถั่วอย่างเพลิดเพลินกับฉากอันงดงามตรงหน้า
ด้านหลังของเขา ทั้งจิวฉอง ซูเซี๋ยวเสี่ยว เตียวเสี้ยน รวมถึงทหารอีกหลายสิบคนต่างพากันตกตะลึง บรรดาลูกน้องของเขาต่างอ้าปากค้างอย่างเหลือเชื่อ
จิวฉองขยี้ตาแรงเพื่อพิสูจน์ว่านี่มิใช่ความฝัน
แต่ภาพตรงหน้าที่มีกองทหารม้าถูกก้อนหินบดขยี้ยังคงอยู่ ทุกอย่างล้วนเป็นของจริงทั้งหมดและมิใช่ภาพลวงตา
“คุณ... คุณชาย ท่านทราบได้อย่างไรว่าหินจะร่วงในบริเวณนี้ อีกทั้งเวลายังประจวบเหมาะยิ่งนัก? นะ... นี่มัน...”
จิวฉองตกใจจนพูดมิออกด้วยมิทราบว่าควรจะแสดงท่าทีอย่างไร
“ครั้งนี้ต้องขอบคุณพี่ใหญ่ตรงนั้นที่ทำรายการเนื้อบดมื้อใหญ่ครั้งนี้สำเร็จ” ซูเจ๋อยิ้มและมองไปยังยอดหน้าผาด้านข้าง
จิวฉองตกตะลึงจนมิอาจพูดได้ไปชั่วขณะ
ซูเซี๋ยวเสี่ยวตอบสนองอย่างรวดเร็ว นางรีบหันขึ้นไปมองบนหน้าผาก่อนจะตะโกนออกมา “ดูสิ! เจ้านั่นขึ้นไปอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร?”
จิวฉองมองไปที่ซูเซี๋ยวเสี่ยว จากนั้นได้หันไปมองเฮาเฉียที่อยู่บนหน้าผา มินานเขาจึงตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ปรากฏว่าเป็นเพราะคุณชายใช้เฮาเฉียที่มีพลังเหนือมนุษย์ไปผลักหินลงมานี่เอง!” จิวฉองตระหนักได้และอุทานออกมาอย่างตื่นเต้น
ซูเจ๋อยิ้มและถาม “เจ้าคิดว่าข้าจะโง่พอจนเอาตัวเองไปประจันหน้าสู้กับทหารม้างั้นหรือ?”
จิวฉองและคนอื่น ๆ เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งทันที เหตุที่ซูเจ๋อมิแสดงความกังวลอันใดเลย เป็นเพราะเขาได้วางแผนทั้งหมดไว้อยู่แล้ว จึงทำให้เขากล้าเดินไปเผชิญหน้ากับกองทหารม้าด้วยตนเอง
จิวฉองที่เข้าใจจึงอดมิได้ที่จะถอนหายใจออกมา “ถึงแม้จะเป็นเพราะพละกำลังของเฮาเฉีย แต่ทั้งก้อนหิน เวลา และสถานที่คุณชายล้วนคำนวณเอาไว้อย่างแม่นยำ นับว่าน่าทึ่งอย่างแท้จริง เป็นบุญตาของพวกเราที่ได้เห็นความสามารถของเขา”
“นั่นสิ คุณชายทำได้อย่างไร?” ซูเซี๋ยวเสี่ยวถามอย่างสงสัย
“อืม ความลับสวรรค์เปิดเผยมิได้หรอก” ซูเจ๋อเผยรอยยิ้มแฝงเลศนัยและมิอธิบายสิ่งใด
ยิ่งซูเจ๋อกระทำเช่นนี้ มันยิ่งกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของซูเซี๋ยวเสี่ยวมากขึ้นไปอีก นางเขย่าแขนเสื้อของซูเจ๋ออย่างมิหยุดหย่อน
เวลานี้เหตุการณ์หินถล่มได้หยุดลงแล้ว ทุกอย่างจึงกลับคืนสู่สภาพปกติ
ฝุ่นและควันค่อย ๆ จางหายไป ทางข้างหน้าถูกขวางโดยก้อนหินน้อยใหญ่และศพทหารม้า ตอนนี้ต่อให้เป็นทหารราบก็มิสามารถข้ามไปได้
นอกจากซากศพที่ถูกหินทับตายยังมีทหารม้าที่รอดชีวิตอยู่บางคน แต่ถึงแม้พวกเขาจะมิตาย แขนขาของพวกเขาก็หักจนมิสามารถต่อสู้ได้อีก
เมื่อเห็นว่าพวกเขายังมิตาย ซูเจ๋อจึงสั่งให้จิวฉองนำคนไปลากทหารที่รอดตายออกมา
“เจ้าเป็นใคร บอกชื่อแซ่มา” ซูเจ๋อมองไปยังทหารคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นทหารมียศ
นายทหารผู้นั้นกระอักเลือดก่อนจะตะโกนขึ้น “คนแซ่ซู จำไว้ให้ดี ข้าคืองุยซก หัวหน้าทหารของแม่ทัพลิโป้ ปล่อยข้าไปเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นเขาต้องมิปล่อยเจ้าไปแน่!”
งุยซก...
ซูเจ๋อนึกถึงลูกน้องคนหนึ่งของลิโป้ ดูเหมือนว่าจะมีคนที่มีความสามารถอยู่ และหนึ่งในนั้นคืองุยซก เขามิคิดว่าชายผู้นั้นจะตกมาอยู่ในกำมือของตนได้
เมื่อเห็นว่างุยซกเย่อหยิ่งใส่ตน ซูเจ๋อจึงรู้สึกมิสบอารมณ์ เขาเรียกจิวฉองเข้ามา “เจ้ามัวยืนทำอะไรอยู่ มิเห็นหรือว่าชายผู้นี้โอหังเพียงใด?”
จิวฉองเข้าใจทันที เขาพับแขนเสื้อขึ้นก่อนจะกล่าว “เจ้าช่างโง่เขลานักที่ทำให้คุณชายโกรธ ข้าว่าเจ้าคงเบื่อชีวิตเต็มทีแล้วสินะ!”
หลังจากนั้นมินาน กำปั้นของจิวฉองจึงกระแทกไปยังใบหน้าของงุยซกทันที
พลั่ก!
เสียงร้องโหยหวนดังลั่นพร้อมกับเลือดจากบาดแผลที่หลั่งไหลออกมา
งุยซกโดนอัดเละ เขาถุยคายฟันที่หลุดจากเหงือกออกมาสองซี่ก่อนทรุดตัวลงแน่นิ่งกับพื้น
“ไอ้คนแซ่ซู! เจ้ากล้าดีอย่างไรจึงมาทำร้ายข้า มิอยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่!” งุยซกโกรธจนตะโกนด่าซูเจ๋อพร้อมเลือดที่ยังไหลกบปาก
ซูเจ๋อถอนหายใจอีกครั้ง “จิวฉอง ดูเหมือนท่านงุยซกจะมิยังมิพอใจ ให้เขาคุยกับกำปั้นอีกสักหน่อยก็แล้วกัน”
“ขอรับ!”
จิวฉองมิพูดพร่ำทําเพลง เขารัวหมัดใส่งุยซกราวกับห่าฝนอีกครั้ง
งุยซกกลายเป็นกระสอบทรายชั้นดีของจิวฉองทันที ใบหน้าของเขาบวมเป่ง จมูกบิดเบี้ยว ทั้งยังเต็มไปด้วยรอยฟกซ้ำ ต่อให้บิดามารดาของเขาอยู่ที่นี่ก็จำสภาพบุตรชายในตอนนี้มิได้
“อย่าตีข้าอีกเลย! อย่าตีข้าอีกเลย! ข้ายอมแล้ว! ข้ายอมแล้ว!”
ในที่สุดงุยซกก็มิสามารถทนความเจ็บได้อีก เขาเอามือขึ้นป้องกันใบหน้าของตนและร้องขอความเมตตา
ซูเจ๋อยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้จิวฉองหยุด จิวฉองชะงักก่อนจะกล่าว “คุณชาย... ข้าว่ามันมิมีประโยชน์อันใดอีกต่อไป ข้าจะสังหารมันให้ตายคามือเอง”
ซูเจ๋อยิ้มแห้ง ๆ ตอบ “มิว่าอย่างไร ผู้มาเยือนท่านนี้ก็เป็นแขกของพวกเราอยู่ดี การทำร้ายร่างกายมิใช่วิถีต้อนรับของชาวจิงโจว ไว้ชีวิตเขาก่อน บางทีในอนาคตเขาอาจมีประโยชน์ต่อเรา”
จิวฉองจำยอมยั้งมือและสั่งให้ทหารเข้าไปมัดตัวงุยซกไว้
หลังจากนั้นซูเจ๋อจึงกระแอมและพูดขึ้นเสียงดังผ่านกองหิน “ท่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ ข้ารอท่านนานแล้ว... เหตุใดยังมิขยับเข้ามาใกล้กว่านี้ ? ดูเหมือนท่านมิคิดอยากจะดื่มสุรากับข้าเลย เช่นนั้นอย่าโทษข้าก็แล้วกันหากข้าจะจากไปตอนนี้”
ครั้นกล่าวจบซูเจ๋อจึงหันหลังกลับพลางเคี้ยวถั่วปากอ้าอย่างสบายอุรา
จิวฉองและคนอื่น ๆ เองก็หันหลังเดินตามเขาไปพร้อมเสียงหัวเราะเช่นกัน
อีกฝั่งของกองหิน ลิโป้ซึ่งได้ยินคำพูดเย้ยหยันโกรธเกรี้ยวและหอบหายใจจนกะบังลมเคลื่อนขึ้นลงหลายครา ฟันกรามขบเข้าหากันแน่นจนแทบจะแตกหัก
...................................................................