ตอนที่ 50 ตกตะลึง
“ซูเจ๋อ ข้าสาบานด้วยชื่อขุนศึกอันดับหนึ่งในใต้หล้า สักวันข้าจะทำให้เจ้าเป็นศพด้วยน้ำมือของข้าเอง!”
ลิโป้ที่โกรธจัดตวัดง้าวไปมาขณะคำรามออกมาอย่างดุดันราวกับสัตว์ร้าย ทว่าท้ายที่สุดกลับมิมีเสียงใดตอบกลับมาจากหลังก้อนหิน นั่นยิ่งทำให้ลิโป้โกรธขึ้นกว่าเดิมเพราะความอับอาย
ทหารม้าหลายสิบคนที่รอดตายมองลิโป้อย่างสลดพลางถอนหายใจ
ลิโป้กัดฟันแน่นก่อนจะหันหลังเดินทางกลับสู่ด่านอู่กวนอย่างมิสบอารมณ์
……
มิกี่วันต่อมา เมืองฉางอาน
ในตำหนักของอ้องอุ้น ชายผู้เป็นเจ้าของตำหนักกำลังเดินเล่นในสวนชมความเขียวขจีของพืชพันธุ์อย่างสบายใจ
หวังหลิงยืนอยู่ด้านหลังเขา สีหน้าของเขาดูมิปกติเล็กน้อยราวกับว่ากำลังกังวลอะไรบางอย่าง
“หวังเอ๋อ เจ้ากังวลเรื่องเฟิ่งเซียนงั้นหรือ?” อ้องอุ้นมิได้หันกลับมา เขาถามราวกับมองเห็นความกังวลนี้
เมื่อถูกถามอย่างตรงประเด็น หวังหลิงจึงต้องตอบ “ข้าปิดท่านลุงมิได้จริง ๆ ถูกแล้ว ข้ากังวลเรื่องท่านลิโป้ เขาไล่ตามอีกฝ่ายไปสิบกว่าวันแล้วยังมิกลับมาอีก เรื่องนี้ทำให้ข้าอดเป็นกังวลมิได้”
“จะกังวลเรื่องนี้ไปด้วยเหตุใดกัน?” เสียงของอ้องอุ้นฟังดูมิเห็นด้วย “ลิโป้ เฟิ่งเซียนเป็นใคร? เขาเป็นถึงแม่ทัพบัญชาการทหารอันดับหนึ่งในใต้หล้า ต่อให้ซูเจ๋อจะฉลาดมิเบา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับแม่ทัพลิโป้และกองทหารม้าเหล็ก ท้ายที่สุดเขาจะทำอะไรได้?”
ความกังวลบนใบหน้าหวังหลิงผ่อนคลายลงก่อนจะพยักหน้า “ท่านลุงมีเหตุผล ต่อให้ยอดขุนศึกคนไหนก็มิสามารถสู้แม่ทัพลิโป้ได้ แล้วนับประสาอะไรกับเด็กยากจนอย่างซูเจ๋อ ข้าคงกังวลเกินไป”
“จะว่าแบบนั้นก็มิได้ หากมิมีเขาเรายังกังวลเรื่องการแนะนำเตียวเสี้ยนให้แม่ทัพลิโป้ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ พวกเราก็ต้องขอบคุณเขาเช่นกัน” คำกล่าวของอ้องอุ้นฟังดูประชดประชันอย่างเห็นได้ชัด
หวังหลิงที่ได้ยินจึงเผยรอยยิ้มประชดประชันตาม
ขณะที่ลุงและหลานทั้งสองกำลังสนทนา ม้าเร็วคนหนึ่งได้เข้ามาแจ้งข่าว “นายท่าน! คุณชายขอรับ! ท่านแม่ทัพลิโป้กลับมาแล้วขอรับ”
ทั้งสองคนเผยใบหน้ายินดีทันที จากนั้นความทะเยอทะยานได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา
“เสียวเอ๋ออยู่ที่ไหน นางได้รับบาดเจ็บหรือไม่?” อ้องอุ้นเอ่ยถาม เห็นได้ชัดว่าเขาคาดว่าเตียวเสี้ยนจะกลับมาพร้อมกับลิโป้
แต่ผู้ที่มารายงานได้กล่าวอย่างขมขื่น “เรียนนายท่าน นางมิได้กลับมากับท่านแม่ทัพ...”
ท่าทีของอ้องอุ้นเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของเขาทันที
“เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร!” หวังหลิงหน้าแดงขึ้นมา “มันจะเป็นไปได้อย่างไร แม่ทัพลิโป้มิได้ช่วยแม่นางเตียวเสี้ยนมาจากซูเจ๋องั้นหรือ?”
ทหารคนนั้นถอนหายใจเล็กน้อย “ข้าน้อยได้สอบถามดูแล้ว นอกจากท่านแม่ทัพลิโป้จะถูกเด็กแซ่ซูซุ่มโจมตีและมิสามารถช่วยแม่นางเตียวเสี้ยนได้ ท่านแม่ทัพยังสูญเสียกองทหารม้าไปอีกหลายร้อยนาย”
เมื่อได้ยิน ลุงและหลานทั้งสองคนต่างตกตะลึงอย่างหนัก ความมั่นใจก่อนหน้านี้มลายหายไปสิ้น สีหน้าของพวกเขาดูแปลกประหลาดราวกับมิเคยประสบความล้มเหลวเช่นนี้มาก่อน
“นี่มัน... เป็นไปได้อย่างไร?”
ทั้งสองคนหันมามองหน้ากันราวกับมิเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
แต่มิกี่ลมหายใจ อ้องอุ้นก็รู้สึกว่ามิควรจะเสียความสงบต่อหน้าลูกน้องของตนเช่นนี้ เพราะอาจทำให้เสียความเคารพได้
“อะแฮ่ม เจ้าออกไปก่อน” อ้องอุ้นสะบัดมือพร้อมเปลี่ยนท่าทีกลับมาเป็นปกติ
ทหารผู้รายงานเข้าใจเหตุการณ์ เขาออกจากสวนเหลือไว้แค่หวังหลิงและอ้องอุ้น
หวังหลิงยังคงตกตะลึง ต้องใช้เวลานานกว่าจะเรียกสติกลับมาได้ “ท่านลุง นี่เป็นไปได้อย่างไร? แม่ทัพลิโป้ถูกซุ่มโจมตีจนต้องพ่ายแพ้ต่อซูเจ๋อคนนั้น นี่มัน... มัน...”
เขาตกตะลึงจนมิสามารถหาคำมาเปรียบเปรยกับความประหลาดใจของตนได้
อ้องอุ้นทำได้เพียงถอนหายใจแผ่ว “ซูเจ๋อคนนี้เป็นคนที่มิธรรมดา ข้าประเมินค่าของเขาต่ำเกินไป เกรงว่าอีกมินานเขาจะต้องเป็นภัยพิบัติต่อพวกเราในอนาคตอย่างแน่นอน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หวังหลิงจึงรู้สึกประหลาดใจขึ้นมากกว่าเดิม แต่เขาก็ยังรู้สึกเหยียดหยามอยู่ “ท่านลุงมิต้องกังวลไปหรอก เขาเป็นเพียงเด็กจากตระกูลยาจก ต่อให้เป็นสุนัขรับใช้ของเล่าเปียวแต่อย่างไรก็แค่สุนัขตัวหนึ่ง จะแข็งแกร่งอย่างไรสุดท้ายก็มิสามารถคุกคามพวกเราได้”
“ที่เจ้ากล่าวมาล้วนสมเหตุสมผล”
อ้องอุ้นพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นท่าทีบนใบหน้าของเขาได้เปลี่ยนอีกครั้ง “ในอนาคตการที่เราจะสังหารตระกูลตั๋งและฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่นได้ต้องอาศัยทั้งเล่าเปียวและคนแซ่ซู เมื่อถึงเวลาที่คนแซ่ซูถูกส่งมายังฉางอานก็จะถือเป็นเวลาอันเหมาะสม เมื่อถึงตอนนั้น...”
อ้องอุ้นมิได้กล่าวจนจบประโยค แต่ดวงตาของเขากลับเผยรังสีเย็นเยียบออกมา
หวังหลิงเข้าใจและอดมิได้ที่จะหัวเราะ
เพียงครู่เดียวความกังวลก็ปรากฏขึ้นในดวงตาหวังหลิงอีก “ท่านลุง หากนำตัวแม่นางเตียวเสี้ยนกลับมามิได้ แผนการสาวงามสังหารตั๋งโต๊ะก็จะมิสำเร็จ แล้วพวกเราต้องรอไปถึงเมื่อไหร่กัน?”
“นอกจากเตียวเสี้ยน เจ้าคิดว่าข้าจะมิมีแผนสำรองเลยงั้นหรือ?” อ้องอุ้นยังคงมั่นใจ
หวังหลิงขมวดคิ้วก่อนจะกล่าว “หลานลองฝึกฝนสตรีเพิ่มอีกสองสามคนแล้ว แต่พวกนางยังงดงามน้อยกว่าเตียวเสียน ข้าเกรงว่าคงมิง่ายที่จะใช้หลอกแม่ทัพลิโป้ได้อีก”
“ครั้งนี้พวกเรามิจำเป็นต้องหลอกล่อแต่อย่างใด ความงามนั้นเป็นเสมือนน้ำตาลตกแต่งขนมเท่านั้น” อ้องอุ้นกล่าวพร้อมเผยรอยยิ้ม
หวังหลิงตกใจและทำท่าทีงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง
อ้องอุ้นเข้าไปกระซิบข้างหู “เจ้ารีบส่งคนไปกระจายข่าวลือในฉางอาน โดยบอกว่าลิโป้นำทหารออกจากด่านอู่กวนโดยมิได้รับอนุญาตและเข้าไปในเขตจิงโจวเพื่อไล่ล่าซูเจ๋อ ทว่าเจตนาที่แท้จริงคือต้องการวางแผนสังหารเล่าเปียวและตั๋งโต๊ะ”
กระจายข่าวลืองั้นรึ?
ดวงตาของหวังหลิงเบิกโพลงด้วยความตกตะลึงก่อนกล่าวอย่างยินดี “ท่านลุงกำลังพยายามทำให้ความสงสัยในตัวตั๋งโต๊ะต่อลิโป้เพิ่มขึ้นจากโอกาสครั้งนี้ใช่หรือไม่? สิ่งนี้จะยิ่งทำให้ลิโป้รู้สึกอึดอัดขึ้นไปอีก เช่นนั้นจะทำให้ท่านลุง ลวงลิโป้มาอยู่ข้างพวกเราโดยมิต้องใช้หญิงงามล่อลวงสินะ?”
“ฉลาดมิเบา” อ้องอุ้นยิ้มและตบไหล่หวังหลิง
“ท่านลุงก็ปราดเปรื่องยิ่ง หลานจะทำตามคำสั่งเดี๋ยวนี้!” หวังหลิงกล่าวด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นและเดินจากไป
อ้องอุ้นประกบมือและมองไปยังทิศใต้ เขากล่าวขึ้นอย่างเย้ยหยัน “ซูเจ๋อ เจ้าเป็นเพียงกุ้งตัวเล็กในผืนมหาสมุทรเท่านั้น หลังจากข้าจัดการฉลามยักษ์ตัวนี้ได้ เจ้าจะเป็นรายต่อไป!”
......................................................................