ตอนที่ 2 แดนสุขาวดีในไท่เสวียน
อีกด้านหนึ่ง
ณ ลานกลางเมืองเสี่ยวฉือ เวลานี้ต่างเต็มไปด้วยผู้คนที่มาอยู่รวมกันอย่างแน่นขนัด
ทุกครอบครัวที่มีเด็ก พ่อแม่พี่น้องต่างก็พากันอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เอี่ยม หลังจากนั้นต่างก็ได้พากันมายังลานแห่งนี้
แต่ก็มีคนอีกกลุ่มใหญ่ที่มาดูเพื่อความสนุกเท่านั้น
ดังคำกล่าวที่ว่า หนึ่งคนบรรลุเป็นเซียน หมูหมากาไก่รอบตัวก็พลอยได้ลอยขึ้นสวรรค์ไปด้วย
หากลูกของใครในเมืองเสี่ยวฉือโชคดีได้กลายเป็นศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน เช่นนั้นคนทั้งเมืองเสี่ยวฉือก็จะได้มีหน้ามีตาตามไปด้วย อาจจะถึงขนาดได้รับการคุ้มครองจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนก็เป็นได้
แน่นอนว่านั่นหมายถึงศิษย์จากเมืองเสี่ยวฉือจะต้องเป็นอัจฉริยะในหมู่ผู้บำเพ็ญตนด้วย
“ฟิ่ว ! ”
“ฟิ่ว ! ”
“ฟิ่ว ! ”
จู่ ๆ ก็มีเสียงแหวกอากาศดังขึ้น พร้อมกับมองเห็นร่างเพรียวบาง 6 ร่างขี่กระบี่มาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมาหยุดลงที่กลางลาน
ร่างทั้งหกนั้นก็คือศิษย์กลุ่มหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนนั่นเอง
“พวกข้าน้อยขอคาราวะท่านเซียนทุกท่านขอรับ”
กลุ่มชาวบ้านเมื่อเห็นกลุ่มคนที่ลอยลงมา ต่างก็มีใบหน้าเกรงกลัวและรีบก้มศีรษะลงต่ำทันที
ภายในกลุ่มคนที่มาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน มีสตรีที่สง่างามผู้หนึ่งเป็นผู้นำ
สตรีผู้นั้นสวมชุดสีม่วงที่มีลวดลายวิจิตรตระการตา ผมยาวสยาย คิ้วเรียวได้รูป สันจมูกตั้งตรง ใบหน้าขาวใส แต่ทว่าสีหน้ากลับมิแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมามากนัก จึงทำให้นางดูเป็นคนเย็นชาและน่ากลัวทีเดียว
แต่มิว่าจะเป็นเพราะเสื้อผ้า รูปลักษณ์ หรือท่าทางของสตรีผู้นี้ ล้วนแต่ทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับมีเซียนลงมาจุติก็มิปาน
“ศิษย์พี่ลู่” ศิษย์คนหนึ่งเอ่ยอย่างนอบน้อม
ลู่อู๋ซวงกวาดตามองเด็กเจ็ดแปดคนที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ ว่า “เริ่มได้”
ศิษย์ผู้นั้นหมุนตัวกลับไปและโบกมือ ทันใดนั้นพลังก็ถูกปล่อยออกมาพร้อมแสงที่สว่างวาบขึ้น จู่ ๆ ด้านหน้าก็มีโต๊ะและเก้าอี้ปรากฏขึ้นมา
ศิษย์อีกคนหยิบลูกแก้วผลึกขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่งออกมาจากอกเสื้ออย่างระมัดระวังแล้วถือเอาไว้ในมือ
ภายในลูกแก้วผลึกลูกนี้โปร่งใสปราศจากสิ่งเจือปนใด ๆ ตรงขอบของลูกแก้วมีสัญลักษณ์ที่เล็กมากปรากฏอยู่ บางครั้งก็เปล่งแสงจาง ๆ ออกมา
ลูกแก้วนั้นช่างดูลึกลับและน่าค้นหา
“คนที่เข้าร่วมการประเมินเข้าแถวให้เรียบร้อย และให้ก้าวออกมาทีละคน” ศิษย์คนหนึ่งพูดขึ้นด้วยเสียงหนักแน่น
หลังจากได้ยินเช่นนั้น ชาวบ้านต่างก็พาบุตรหลานไปเข้าแถวทันทีโดยมิรีรอ
“เจ้าชื่ออะไร ? ”
“ข้าชื่อหลี่หมาน้อย”
“เจ้ามิมีชื่อจริงรึ ? ”
“มี มี ชื่อจริงของข้าคือหลี่ชุนเฟิงขอรับ”
“หืม ? ”
“ท่านเซียน มีปัญหาอะไรหรือขอรับ ? ”
“มิมี ชื่อของเจ้ามิเลวเลย ไปรับการตรวจสอบรากวิญญาณที่ศิษย์พี่หวังทางนั้นไป”
คนแรกที่เข้ารับการประเมินคือเด็กชายน้ำมูกย้อยหลี่หมาน้อยผู้นั้น เพียงแต่ว่าสิ่งที่ทำให้ศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนผู้นี้คาดมิถึงก็คือ เด็กที่ดูมอมแมมผู้นี้กลับมีชื่อที่ใกล้เคียงกับชื่อทางลัทธิเต๋าจนน่าแปลกใจ
“ศิษย์พี่ลู่ เมืองเสี่ยวฉือแห่งนี้มิมีรากวิญญาณขั้นกลางมาหลายร้อยปี ปีนี้คาดว่าคงมิได้ดีกว่าปีก่อน ๆ เท่าใดนัก พวกเราลองไปเดินเล่นในเมืองเสี่ยวฉือดูดีรึไม่ ? ”
เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่มีพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมองลู่อู๋ซวง ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นส่องประกายเจิดจ้าสวยงาม
“ก็ดีเหมือนกัน” ลู่อู๋ซวงพยักหน้าเบา ๆ
“ศิษย์พี่หวัง งั้นทางนี้ขอฝากท่านกับศิษย์พี่ซ่งช่วยจัดการด้วยนะ ข้ากับศิษย์พี่ลู่จะไปเดินแถวนี้เสียหน่อย”
เด็กหญิงคนนั้นเดินไปหยุดตรงหน้าศิษย์พี่หวังที่กำลังเตรียมร่ายคาถาโดยมีลูกแก้วผลึกอยู่ในมือ ก่อนเอ่ยออกมาพร้อมเสียงหัวเราะเบา ๆ
หวังเจิ้นเหอสบตากับลู่อู๋ซวงครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ
“แกร็ก ! ”
ลู่อู๋ซวงและเด็กผู้หญิงที่มีท่าทางกระตือรือร้นคนนั้นยังเดินไปได้มิกี่ก้าว ก็ปรากฏลำแสงสีทองพร่างพราวขึ้นจากทางด้านหลังของคนทั้งคู่เสียก่อน
เมื่อทั้งสองหันกลับไปมองก็พบว่าเป็นแสงมาจากลูกแก้วผลึก ขณะที่หวังเจิ้นเหอกำลังร่ายคาถาอยู่นั้นได้มีแสงสีทองปรากฏขึ้น คลื่นแสงกระจายเป็นชั้น ๆ จากนั้นสัญลักษณ์เล็ก ๆ ภายในลูกแก้วผลึก ก็เปล่งแสงสีทองออกมาด้วยเช่นกัน
“รากวิญญาณธาตุทองชั้นสูง ! ”
ทันใดนั้นทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป ท่าทางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ สายตาจ้องเขม็งไปที่เจ้าหลี่หมาน้อยหรือชื่อจริงว่าหลี่ชุนเฟิง ที่กำลังหันหน้าให้กับลูกแก้วผลึกอยู่ในขณะนี้
เพราะผู้ที่มีรากวิญญาณธาตุทองนั้นถือว่ามีน้อยมาก ปกติคนที่มีรากวิญญาณธาตุทองชั้นกลางจะถูกเรียกว่าอัจฉริยะน้อย เช่นนั้นผู้ที่มีรากวิญญาณธาตุทองชั้นสูงก็สามารถเรียกว่าเป็นอัจฉริยะแห่งการบำเพ็ญเพียรได้เลยทีเดียว
พวกลู่อู๋ซวงที่มิได้คาดหวังต่อเมืองเสี่ยวฉือมากนัก แต่เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าก็ถึงกับตกใจ
ดูก็รู้ว่าภายในใจของพวกนางนั้นตื่นเต้นและยินดีเพียงใด
เช่นนี้ก็เท่ากับว่าได้มีอัจฉริยะเข้าร่วมยอดเขากระบี่วิญญาณเพิ่มมาอีกหนึ่งคนแล้ว
สำหรับชาวเมืองเสี่ยวฉือ การได้เห็นว่าเจ้าหลี่หมาน้อยถูกตรวจสอบว่ามีรากวิญญาณชั้นสูง ต่างก็ตกตะลึงก่อนที่ทุกคนจะมีสีหน้าปลาบปลื้มยินดีและตื่นเต้น
เป็นเวลาเกือบสามร้อยปี ในที่สุดเมืองเสี่ยวฉือก็ปรากฏยอดอัจฉริยะขึ้นมาจนได้ !
หลังจากนั้น จ้าวหมารองก็ได้มายืนด้านหน้าโต๊ะพร้อมกับพ่อและแม่
“ลูกของพวกท่านชื่อว่าอะไร ? ”
อาจจะเป็นเพราะเจ้าหลี่หมาน้อย จึงทำให้ศิษย์ที่เป็นผู้ลงทะเบียนรายชื่อมีน้ำเสียงอ่อนโยนลงไปมาก
“จ้าวหมารอง”
“มิมีชื่อจริงงั้นรึ ? ”
“มี มี จ้าวหมารองของเราชื่อว่า จ้าวกวงอี้”
“หืม ? ”
“ท่านเซียน มีปัญหาอะไรอย่างนั้นรึ ? ”
“มิมีอะไร ชื่อนี้ก็มิเลวเช่นกัน แต่ว่าชื่ออย่างหลี่ชุนเฟิงและจ้าวกวงอี้พวกนี้พวกเจ้าเป็นคนตั้งเองอย่างนั้นรึ ? ”
ด้วยความแปลกใจ ศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนผู้นี้จึงได้สอบถามออกไป
แม่ของหลี่หมาน้อยและพ่อแม่ของจ้าวหมารองยิ้มออกมาอย่างเข้าใจ ก่อนจะพากันส่ายหน้า “ท่านเย่เป็นคนตั้งให้”
“ท่านเย่ ? ”
คนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนอดมิได้ที่จะมองหน้ากันด้วยความสับสน
พวกเขาคิดมิถึงว่าเมืองเล็ก ๆ อย่างเมืองเสี่ยวฉือ จะมีผู้ที่มีความรู้กว้างขวางเช่นนี้อยู่ด้วย
หลังจากนั้นจ้าวหมารองก็มาหยุดที่ด้านหน้าของหวังเจิ้นเหอ
หวังเจิ้นเหอพยักหน้าก่อนจะเริ่มร่ายคาถา
ไม่นานแสงสว่างก็สาดส่องมาบนร่างของจ้าวหมารอง
“แกร็ก ! ”
ก่อนที่ลูกแก้วผลึกในมือของหวังเจิ้นเหอจะเปล่งลำแสงสีเหลืองออกมา ซึ่งดูมีพลังมากกว่าลำแสงสีทองของหลี่หมาน้อยค่อนข้างมาก มิหนำซ้ำคลื่นแสงที่แผ่ออกมาจากลูกแก้วผลึกก็มีขนาดใหญ่กว่าด้วยเช่นกัน
“รากวิญญาณธาตุดินชั้นยอด ! ! ! ”
“เฮือก ! ”
เมื่อได้เห็นภาพนี้ ทุกคนต่างก็อดมิได้ที่จะสูดหายใจลึก ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ ตื่นตระหนก และตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน
รากวิญญาณธาตุทองชั้นสูงคนหนึ่ง รากวิญญาณธาตุดินชั้นยอดคนหนึ่ง ครั้งนี้ถือเป็นผลงานใหญ่หลวงจนพวกเขาแทบจะมิเชื่อสายตาตัวเอง
วินาทีนี้แม้แต่ลู่อู๋ซวงผู้เย็นชาก็ยังอดที่จะเผยรอยยิ้มปลาบปลื้มชนิดงามล่มเมืองออกมามิได้เช่นกัน
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนทุกห้าปี แต่ละยอดเขาจะส่งศิษย์มายังโลกเพื่อทำการทดสอบสำหรับผู้ที่มีคุณสมบัติโดดเด่นและรับมาเป็นศิษย์
อย่างเมื่อห้าปีก่อน คนที่มารับสมัครศิษย์ที่เมืองเสี่ยวฉือนั้นมาจากยอดเขาฉางชิงแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน แต่ปีนั้นยอดเขาฉางชิงมิได้รับศิษย์จากที่นี่ไปแม้แต่คนเดียว
แต่ผ่านไปอีกห้าปี เมื่อถึงเวลาที่พวกเขายอดเขากระบี่วิญญาณต้องมารับสมัครศิษย์อีกครั้ง คาดมิถึงว่าเพียงแค่ตรวจสอบรากวิญญาณไปแค่ 2 คน กลับได้พบศิษย์ที่เป็นอัจฉริยะเสียแล้ว !
“ศิษย์พี่ลู่ วันนี้พวกเราได้ผลงานชิ้นใหญ่แล้ว เมื่อเรากลับไป ท่านอาจารย์ต้องดีใจจนยิ้มมิหุบเป็นแน่”
เด็กผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างลู่อู๋ซวงเอ่ยขึ้นขณะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ ใบหน้าที่ยังดูเป็นเด็กน้อยนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มกระจ่างสดใส
ลู่อู๋ซวงถลึงตาใส่เล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเร่ง “ศิษย์น้องซ่ง ทดสอบคนต่อได้เลย”
“แกร็ก ! ”
“แกร็ก ! ”
“แกร็ก ! ”
ผ่านไปไม่นานลำแสงที่โชติช่วงก็พุ่งออกมาจากลูกแก้วผลึกอย่างต่อเนื่อง พร้อมคลื่นแสงที่แผ่กระจายออกมามิหยุด
สีหน้าของแต่ละคนดูแตกต่างกันไป บางคนก็ยิ้มจนปวดแก้ม บางคนใบหน้าถึงกับแข็งค้าง ราวกับรอยยิ้มได้ถูกประทับลงบนใบหน้าก็มิปาน บางคนถึงกับเบิกตาโพลงไปเลยก็มี...
เด็กทั้งแปดคนที่มาเข้าร่วมในการทดสอบรากวิญญาณ นอกจากเจ้าหลี่หมาน้อยที่มีชื่อจริงว่าหลี่ชุนเฟิงที่มีรากวิญญาณชั้นสูงแล้ว คนที่เหลือล้วนแต่มีรากวิญญาณชั้นยอดทั้งสิ้น
จ้าวกวงอี้เป็นรากวิญญาณธาตุดินชั้นยอด ฟ่านจงหยานเป็นรากวิญญาณธาตุน้ำชั้นยอด เว่ยจงเสียนเป็นรากวิญญาณธาตุไม้ชั้นยอด อู๋ซานกุ้ยเป็นรากวิญญาณธาตุไฟชั้นยอด...
“คิดมิถึงว่าภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนจะมีแดนสุขาวดีเช่นนี้อยู่ด้วย มีคนที่มีรากวิญญาณธาตุทองชั้นสูง 1 คนและรากวิญญาณชั้นยอดธาตุอื่น ๆ ถึง 7 คน”
“มิน่าเชื่อ ช่างเหลือเชื่อยิ่งนัก ข้ามิเคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีอัจฉริยะแห่งการบำเพ็ญเพียรโผล่ขึ้นมาถึง 8 คนพร้อมกันเช่นนี้”
หลังจากการทดสอบเสร็จสิ้นลง เหล่าศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนต่างพากันถอนหายใจออกมาเบา ๆ
ใบหน้าของลู่อู๋ซวงแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน และหันมองไปยังเด็กทั้งแปดคน “พวกเจ้ากลับไปเตรียมตัวเถิด อีก 2 ชั่วยามพวกเราจะกลับไปที่สำนักพร้อมกัน”
พูดจบ ลู่อู๋ซวงก็มองไปทางหวังเจิ้นเหอและศิษย์ทั้งสี่คน “ศิษย์น้องหวัง พวกเจ้ารออยู่ที่นี่กันก่อน ข้ากับศิษย์น้องเล็กจะไปเดินดูอะไรสักครู่”
“ศิษย์พี่ลู่ ท่านไปเถอะพวกเราจะอยู่ที่นี่รอศิษย์น้องเหล่านี้เอง”
ใบหน้าของหวังเจิ้นเหอและคนที่เหลือยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้มปลาบปลื้ม
………………….
“ศิษย์พี่อยู่บนเขามานานเกินไป ยากนักที่จะได้มาเดินเล่นในโลกภายนอกเช่นนี้ ความจริงแล้วมันก็มิเลวเลยใช่หรือไม่เจ้าคะ ? โดยเฉพาะถังหูลู่[1] อร่อยมากยิ่งนัก”
เด็กผู้หญิงที่เดินอยู่ข้าง ๆ ลู่อู๋ซวงถือถังหูลู่อยู่ทั้งสองมือ พร้อมเอ่ยออกมาอย่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “แต่ว่าก่อนหน้านี้ข้าประเมินเมืองเสี่ยวฉือต่ำเกินไปจริง ๆ ดินแดนที่สามารถให้กำเนิดอัจฉริยะได้มากมายเช่นนี้ ตามคำบอกเล่าของอาจารย์ที่นี่จะต้องเป็นแดนสุขาวดีอย่างแน่นอน”
ลู่อู๋ซวงมองไปรอบ ๆ พร้อมเอ่ยอย่างนุ่มนวลว่า “ก่อนหน้านี้ข้ามิเคยมาที่เมืองเสี่ยวฉือมาก่อน ทั้งยังมิเคยได้ยินชื่อเมืองแห่งนี้ด้วย แต่ภายในเมืองเสี่ยวฉือตอนนี้ถูกล้อมรอบด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งยังมีคลื่นพลังกระจายอยู่จาง ๆ ด้วย บางทีอาจเป็นแดนสุขาวดีจริง ๆ ก็เป็นได้”
“โอ๊ะ ศิษย์พี่ท่านดูปิ่นไม้อันนี้สิ ช่างประณีตจริง ๆ งดงามมาก”
เวลานี้ เด็กผู้หญิงกำลังนั่งยอง ๆ อยู่หน้าร้านขายของชำที่มิสะดุดตาเท่าใดนัก พร้อมกับส่งเสียงออกมาด้วยความตื่นเต้น
ลู่อู๋ซวงดูเหมือนจะรับรู้ได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง เมื่อเงยหน้าขึ้นมองไปยังป้ายไม้ของร้าน ก็อดมิได้ที่สีหน้าจะปรากฏความลังเลออกมา
ร้านของชำฉางชิง !
[1] ถังหูลู่ คือผลไม้เคลือบน้ำตาล