ตอนที่ 21 หรือว่าที่นี่คือสำนักของท่านเย่ ?
‘วาดภาพ ? ’
‘เพียงอักษรพู่กันที่เขียนลวก ๆ ยังแฝงไว้ด้วยจิตกระบี่นับอนันต์ เช่นนั้นแล้วภาพที่ผู้อาวุโสท่านนั้นวาดก็คงมิอาจที่จะประมาทได้’
‘หากมีบุญได้ชื่นชมภาพที่ผู้อาวุโสวาดล่ะก็ มิแน่อาจเป็นโชคของเราก็เป็นได้’
คิดถึงตรงนี้นักพรตฉางเสวียนและลู่อู๋ซวงก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
นักพรตฉางเสวียนเอ่ยพร้อมรอยยิ้มให้แก่องค์หญิงเก้าที่กำลังกวาดพื้นอยู่ “องค์หญิงเก้า ข้าต้องการมาขอพบท่านเย่ มิทราบว่าตอนนี้สะดวกหรือไม่ ? ”
เยี่ยนปิงซินพิจารณาชายชราที่ดูราวกับเซียนตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากลังเลเล็กน้อยจึงส่ายหน้าให้พลางกล่าวว่า “ท่านเย่กำลังวาดภาพอยู่ พวกท่านรอสักครู่ก่อนเถิด รอข้ากวาดตรงนี้เสร็จแล้วค่อยเข้าไปด้านในจะดีกว่า”
“เช่นนั้นก็ได้” นักพรตฉางเสวียนพยักหน้ายิ้ม ๆ
เขาเป็นถึงเจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน มีฝีมือเป็นเลิศ ฐานะสูงส่ง แต่ต่อหน้ายอดฝีมือที่เร้นกายอยู่ที่แห่งนี้แล้ว เขารู้ดีว่าตนเองนั้นกระจอกยิ่งนัก ดังนั้นเขาจึงมิกล้าทะนงตน และกระทำสิ่งใดที่จะเป็นการลบหลู่
ทันทีที่พูดจบก็มีบุรุษสวมชุดสีเขียวผู้หนึ่งค่อย ๆ เดินออกมาจากด้านในร้าน
ชายหนุ่มรูปงามดวงตาสงบนิ่ง ใบหน้าแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มผ่อนคลาย ให้ความรู้สึกดุจดั่งอาบลมในฤดูใบไม้ผลิก็มิปาน
ขณะเดียวกันก็มีสุนัขสีดำตัวใหญ่กระโดดออกมาด้วยท่าทางดุดัน
แต่เมื่อมันสัมผัสได้ถึงไอพลังที่น่ากลัวที่ออกมาจากกายของนักพรตฉางเสวียน ก็ต้องย่นคอหนีพร้อมถอยหลังไป พลางครางออกมาเบา ๆ
“ตบะ... ตบะของตาเฒ่าผู้นี้น่ากลัวยิ่งนัก ! ”
“แต่เทียบกับนายท่านแล้วหาเทียบติดไม่ ! ”
จนกระทั่งเย่ฉางชิงเดินออกมาที่นอกร้าน ราชันทมิฬจึงหันไปมองเย่ฉางชิง แล้วหันมาขู่ใส่นักพรตฉางเสวียนและคนอื่น ๆ ทันที ราวกับมีที่พึ่งพาแล้ว
ภาพของราชันทมิฬตรงหน้าแสดงให้เห็นถึงท่าทางของสุนัขที่พึ่งบารมีเจ้าของได้อย่างชัดเจน
‘เจ้าสุนัขใจปลาซิวนี่ทำให้ชื่อราชันทมิฬต้องเสื่อมเสียจริง ๆ’
หลังมองราชันทมิฬอย่างดูแคลนแล้ว เย่ฉางชิงก็อดที่จะสบประมาทในใจมิได้
‘น่าขายหน้าชะมัด ! ’
ด้วยตบะของนักพรตฉางเสวียนและหลิวฉางเหอแล้ว ย่อมสัมผัสได้ถึงไอพลังจากกายของราชันทมิฬได้อย่างง่ายดาย ทำให้ทั้งคู่มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
‘สุนัขดำตัวใหญ่ตัวนั้นเป็นถึงราชาปีศาจเชียวหรือนี่ ! ’
‘แม้ร่างกายเหมือนจะได้รับบาดเจ็บมา แต่นี่คือราชาปีศาจตัวจริงเสียงจริง’
แต่สิ่งที่พวกเขามิเข้าใจก็คือ เดิมราชาปีศาจนั้นมีไอปีศาจลึกล้ำ แต่ไอปีศาจของราชาปีศาจตนนี้กลับบางเบายิ่งนัก รวมทั้งชายหนุ่มตรงหน้าผู้นี้คือผู้ใดกันแน่ ถึงได้เลี้ยงราชาปีศาจเป็นสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งได้
หลิวฉางเหอตอนนี้งุนงงสับสน อีกทั้งผู้บำเพ็ญตบะชั้นกลางเช่นเขา ก็มิอาจสัมผัสพลังบำเพ็ญเพียรบนกายของชายหนุ่มได้ด้วย
‘หรือว่าจะเป็นผู้เป็นอมตะที่เร้นกายอยู่ที่นี่ ? ’
คิดถึงตรงนี้หลิวฉางเหอจึงอดที่จะเหลือบมองนักพรตฉางเสวียนมิได้ ยิ่งได้ยินน้ำเสียงเมื่อครู่ของนักพรตฉางเสวียนด้วยแล้ว
‘รู้แล้ว ! ’
‘ในที่สุดเขาก็รู้แล้ว ! ’
‘ชายหนุ่มที่ดูอายุน้อยตรงหน้า ความจริงแล้วคือยอดคนที่มีฝีมือเป็นเลิศนั่นเอง ! ’
ทันใดนั้นหลิวฉางเหอก็รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วร่างตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
เพราะเมื่อครู่ตอนที่ได้เจอเยี่ยนปิงซิน เขาถึงขนาดเกิดจิตสังหารขึ้นมาด้วยซ้ำ
‘หากตอนนั้นข้าลงมือจริง ๆ ผลที่จะเกิดขึ้นต่อให้ใช้หัวแม่เท้าคิดก็พอจะนึกออกได้’
‘อึก ! ’ คิดแล้วหลิวฉางเหอก็อดที่จะกลืนน้ำลายอึกใหญ่พร้อมกับความหวาดกลัวมิได้
‘องค์หญิงเก้าอยู่ที่นี่ก็หาได้โดนกักขังแต่อย่างใดไม่ น่าจะเป็นเพราะยอดฝีมือท่านนี้ต้องการให้คำชี้แนะมากกว่า’
‘หากถูกจับตัวไว้จริงล่ะก็ ยอดคนเช่นนี้ใครจะสู้เขาได้กัน ? ’
‘ที่จริงแล้วมิมีความจำเป็นเลย มิเช่นนั้นจะมีผู้ใดขวางผู้อาวุโสท่านนี้ได้เยี่ยงนั้นหรือ ? ’
“ผู้อาวุโสเย่”
หลังจากได้เห็นเย่ฉางชิง ลู่อู๋ซวงก็ก้าวเข้าไปคำนับอย่างนอบน้อมและมีชีวิตชีวาขึ้นทันที
เย่ฉางชิงชะงักชั่วครู่ ก่อนจะพิจารณานักพรตฉางเสวียนและหลิวฉางเหอที่อยู่ด้านหลังลู่อู๋ซวงครู่หนึ่ง จากนั้นจึงลอบขมวดคิ้วเล็กน้อย
‘มาจริง ๆ ด้วย’
‘แต่ครั้งนี้พาตาเฒ่าอีกสองคนมาด้วยเพราะเหตุใดกัน ? ’
‘หรือว่าจะเป็นผู้ที่ชื่นชอบอักษรพู่กันเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘แต่หากต้องการจะซื้อภาพพู่กันด้วยเงิน 3 เหรียญทองแดงอีกล่ะก็ ครั้งนี้มิว่าจะพูดเยี่ยงไรข้าก็มิมีทางตกลงเป็นแน่ ! ’
“ท่านเซียน มิได้เจอกันนานเลยนะขอรับ”
แต่ด้วยฐานะของอีกฝ่ายเย่ฉางชิงจึงจำต้องประสานมือคำนับกลับไป ก่อนจะถามกลับพร้อมรอยยิ้มว่า “มิทราบว่าทั้งสองท่านนี้คือ ? ”
ลู่อู๋ซวงหันไปมองยังนักพรตฉางเสวียน พลางแนะนำว่า “ท่านนี้เป็นผู้อาวุโสในครอบครัวข้า เป็นผู้ที่หลงใหลอักษรพู่กันเช่นเดียวกับข้า ก่อนหน้านี้ได้เห็นภาพอักษรพู่กันของท่าน เช่นนั้นจึงตั้งใจมาพบท่านเจ้าค่ะ”
นักพรตฉางเสวียนแสดงท่าทางนับถือขึ้นมาทันที ก่อนจะก้าวเข้าไปประสานมือคาราวะ “เหอฉางเสวียนคาราวะท่านเย่”
เย่ฉางชิงมองนักพรตฉางเสวียนด้วยสายตาพิจารณา จากนั้นจึงพยักหน้าเบา ๆ พร้อมรอยยิ้ม
ท่าทางที่โดดเด่นนั้น ดูราวกับปรมาจารย์ด้านการเขียนอักษรพู่กันและวาดภาพจริง ๆ แต่เย่ฉางชิงรู้ว่าการวาดภาพและเขียนอักษรพู่กันของเขานั้นเข้าขั้นบรรลุแล้ว ดังนั้นการที่ผู้เฒ่าเหอฉางเสวียนจะเรียกเขาเช่นนี้ ก็นับว่าสมเหตุสมผลแล้ว หาได้รู้สึกมีความละอายที่จะรับไม่
แต่เมื่อสายตาของเย่ฉางชิงหันไปทางหลิวฉางเหอ ก็พบว่าสีหน้าของอีกฝ่ายดูซีดเผือดลงทันที มีเหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นมาเต็มหน้าผากของเขา
‘คิดมิถึงว่าผู้เฒ่าท่านนี้แม้จะป่วยไข้ ก็ยังอุตส่าห์มาที่นี่อีก ช่างมีความตั้งใจยิ่งนัก’
‘ดูท่าคงจะหลงใหลในอักษรพู่กันและภาพวาดมากจริง ๆ ’
คิดดังนั้นเย่ฉางชิงก็รู้สึกดีใจขึ้นมา
ลู่อู๋ซวงเหลือบมองหลิวฉางเหอตามสายตาของเย่ฉางชิง พลางเอ่ยแนะนำว่า “ผู้อาวุโสเย่ ท่านนี้คือ...”
แต่เอ่ยได้เพียงสั้น ๆ แววตาของเยี่ยนปิงซินก็มีประกายบางอย่างแวบผ่าน ก่อนจะรีบขัดขึ้นว่า “ท่านเย่ เขาเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งในครอบครัวของข้า วันนี้มาเพื่อตามหาข้าเจ้าค่ะ”
ด้วยเกรงว่าลู่อู๋ซวงจะเอ่ยถึงฐานะของตนขึ้นมา และเยี่ยนปิงซินเองก็ยังมิอยากไปจากที่นี่ เช่นนั้นจึงเอ่ยขัดลู่อู๋ซวงขึ้นมาทันทีอย่างมิได้ลังเลเลยแม้แต่น้อย
ลู่อู๋ซวงที่ถูกเยี่ยนปิงซินขัดขึ้นก็นิ่วหน้าเล็กน้อย รู้สึกมิพอใจขึ้นมาอย่างห้ามมิได้ แต่นางก็หาได้แสดงออกแต่อย่างใดไม่
อย่างไรเสียก็อยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสเย่ นางรู้ว่าควรข่มอารมณ์เอาไว้ มิเช่นนั้นหากทำให้งานของท่านเจ้าสำนักพังก็จะเกิดปัญหาใหญ่ตามมา
แต่เมื่อเย่ฉางชิงได้ยินว่า หลิวฉางเหอเป็นผู้อาวุโสในครอบครัวของเยี่ยนปิงซิน สายตาจึงฉายแววผิดหวังขึ้นมาโดยมิรู้ตัว
‘ที่แท้ก็ร้อนใจอยากจะรับตัวเยี่ยนปิงซินกลับไปนี่เอง หาได้หลงใหลในอักษรพู่กันของข้าจริง ๆ ไม่’
แต่เย่ฉางชิงก็โล่งใจไปมากโข เขารู้สึกราวกับว่าในที่สุดก็ได้รับการปลดปล่อยเสียที เพราะเยี่ยนปิงซินอยู่ที่นี่นอกจากกวาดพื้นแล้วก็ซักผ้ามิเป็น ทำกับข้าวก็มิได้ แต่กับข้าวที่ตัวเขาทำ นางกลับกินอย่างเอร็ดอร่อย และหลายวันมานี้ เยี่ยนปิงซินทำให้เขาหิวจนนอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นสตรีบอบบาง ด้านนอกเมืองเสี่ยวฉือก็เต็มไปด้วยอันตราย เขาจึงมิอาจใจดำไล่นางไปได้ ตอนนี้มีคนในครอบครัวมาหาถึงที่ นั่นหมายความว่าในที่สุดเยี่ยนปิงซินก็จะไปจากที่นี่เสียที
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” เย่ฉางชิงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะเอ่ยเชื้อเชิญว่า “ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว เช่นนั้นพวกเราก็เข้าไปคุยกันด้านในเถิด”
หลังจากเย่ฉางชิงเอ่ยเชิญ นักพรตฉางเสวียนและลู่อู๋ซวง รวมทั้งหลิวฉางเหอและเยี่ยนปิงซิน ก็ตามเข้าไปยังลานด้านหลังร้าน
แต่เมื่อนักพรตฉางเสวียนและหลิวฉางเหอที่ตบะค่อนข้างสูงทั้งคู่ เข้ามาถึงลานด้านใน และเห็นการจัดวางของลานก็ต้องตะลึงทันที
ขณะเดียวกันทั้งคู่ก็เกิดความคิดตรงกันว่า
‘หรือว่าที่นี่คือสำนักของท่านเย่เยี่ยงนั้นหรือ ? ’