ตอนที่ 32 แคว้นต้าเยี่ยนจะเจริญรุ่งเรืองเพราะผู้อาวุโสเย่ !
เวลานี้ทั้งเยี่ยนเทียนซานและเยี่ยนหยางเหนียน ต่างก็รู้สึกตกใจจนเกินที่จะบรรยายได้
ผู้อาวุโสเย่ถึงกับมอบรากวิญญาณเป็นของกำนัล !
การกระทำเช่นนี้อยู่เหนือการคาดเดาของพวกเขายิ่งนัก
อย่างที่รู้กันว่าในโลกนี้คนที่มีรากวิญญาณคู่ มีน้อยกว่าหนึ่งในล้านเสียด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ คนที่มีรากวิญญาณคู่ ล้วนถูกกำหนดให้มีชีวิตที่มิธรรมดาทั้งสิ้น
เช่น หลี่ฉางหมิง เขาก็คือหนึ่งในอัจฉริยะแห่งการบำเพ็ญเพียรที่มีรากวิญญาณคู่เช่นกัน
เมื่อครั้งที่เขาเข้าร่วมการตรวจสอบเข้าเป็นศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน เมื่อผลออกมาว่าเขานั้นมีรากวิญญาณคู่ เรื่องนี้จึงเป็นที่กล่าวถึงและสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสำนัก
วันนั้นศิษย์นับหมื่นคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนต่างมากันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ผู้ที่อยู่ชั้นสูงต่างก็ยืนต้อนรับการมาถึงของเขาอยู่ที่หน้าประตูทางขึ้นเขา แม้แต่ผู้อาวุโสสูงสุดที่บำเพ็ญตบะอยู่ก็ยังออกมาต้อนรับเขาเช่นกัน
การที่เยี่ยนปิงซินมีรากวิญญาณธาตุน้ำแข็งชั้นยอด ก็ถือว่าเป็นอัจฉริยะแห่งการบำเพ็ญเพียรแล้ว แต่หากเปรียบกับผู้ที่มีรากวิญญาณคู่แล้วก็ยังนับว่าห่างกันคนละชั้น
แต่ตอนนี้กลับมิได้เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว เพราะผู้อาวุโสเย่ทำให้ตอนนี้นางมีรากวิญญาณธาตุน้ำและธาตุน้ำแข็งชั้นยอด
อีกทั้งดูจากรังสีบริสุทธิ์ที่แผ่ออกมาจากกายของเยี่ยนปิงซินแล้ว รากวิญญาณธาตุน้ำที่เพิ่มขึ้นมาของนางก็เป็นรากวิญญาณชั้นยอดเช่นกัน
ตอนนี้จึงนับได้ว่าเยี่ยนปิงซินเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากกว่าหนึ่งในล้าน เทียบเท่ากับเหล่าผู้สืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย
“ท่านบรรพบุรุษ ผู้อาวุโสเย่ท่านนี้ถึงขนาดมอบรากวิญญาณธาตุน้ำชั้นยอดให้กับปิงซินเยี่ยงนี้ เขาเป็นคนเช่นไรกันแน่ขอรับ ! ”
เยี่ยนหยางเหนียนส่ายหน้าไปมา สีหน้าดูยากจะคาดเดาพลางพึมพำว่า “ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก”
ตอนนั้นเองที่เยี่ยนเทียนซานได้สติคืนมาอีกครั้ง
สีหน้าขณะที่มองเยี่ยนหยางเหนียนจึงเย็นชาขึ้นมาทันที ก่อนจะเอ่ยด้วยความโมโหว่า “เยี่ยนหยางเหนียน เจ้าเห็นแล้วใช่หรือไม่ว่าผู้อาวุโสเย่มิได้ทิ้งเครื่องหมายใด ๆ ไว้บนกายของปิงซิน แต่กลับมีรากวิญญาณธาตุน้ำชั้นยอดเพิ่มขึ้นมาแทน”
เยี่ยนหยางเหนียนย่นคอหนีด้วยความตกใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความเกรงกลัว
ใช่แล้ว เขามิน่าสงสัยในตัวผู้อาวุโสท่านนั้นเลย
ต้องเป็นผู้บำเพ็ญเพียรเช่นไรจึงจะมอบรากวิญญาณให้กันเยี่ยงนี้ได้ ?
เขามิอยากจะเชื่อเรื่องนี้เลยจริง ๆ !
คิดได้เช่นนั้นเยี่ยนหยางเหนียนก็คุกเข่าลง พร้อมก้มหน้าลงกับพื้นทันที “ท่านบรรพบุรุษ หยางเหนียนผิดไปแล้วขอรับ ! ”
“ผิดไปแล้วงั้นหรือ ? ”
เยี่ยนเทียนซานแค่นหัวเราะ “เจ้าเป็นถึงฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าเยี่ยนกลับมีจิตใจคับแคบ ผู้อาวุโสท่านนั้นมอบอัจฉริยะให้แก้แคว้นต้าเยี่ยน แต่เจ้ากลับกล้าสงสัยในความตั้งใจของผู้อาวุโสท่านนั้นได้ ช่างน่าขันจริง ๆ ! ”
เยี่ยนหยางเหนียนยังคงก้มหน้ากับพื้นอยู่เยี่ยงนั้น ก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลง ท่าทางเต็มไปด้วยความละอายใจ
เวลานี้เยี่ยนปิงซินที่รังสีรอบกายค่อย ๆ หายไปก็ขบกรามแน่น เมื่อเสด็จพ่อที่รักนางยิ่งกว่าสิ่งใดกำลังคุกเข่าสำนึกผิดอยู่ที่พื้น กับคำพูดที่ท่านบรรพบุรุษเอ่ยออกมา
“ท่านบรรพบุรุษเจ้าคะ เสด็จพ่อหาได้เป็นคนเช่นนั้นไม่ พระองค์แค่ทรงเป็นห่วงข้าจึงได้พาข้ามาหาท่านเท่านั้นเองเจ้าค่ะ”
เยี่ยนปิงซินเอ่ยออกไป เพื่อช่วยคลี่คลายสถานการณ์
แต่เยี่ยนหยางเหนียนก็ยังคงคุกเข่าอยู่ที่พื้น มิปริปากแม้แต่คำเดียว
ผู้อาวุโสเย่มอบภาพอักษรพู่กันที่แฝงเจตจำนงที่แท้จริงของกระบี่นับอนันต์ ทั้งยังมอบรากวิญญาณชั้นยอดเพื่อสร้างอัจฉริยะคนหนึ่งให้แก่แคว้นต้าเยี่ยน
ทำให้เขารู้สึกละอายยิ่งนัก !
เยี่ยนเทียนซานหันไปมองเยี่ยนปิงซินเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีที่อ่อนลง “หากมิใช่เพราะเหตุผลนี้ล่ะก็ ต้าเยี่ยนก็มิจำเป็นต้องมีฮ่องเต้เช่นเขาอีกแล้ว ! ”
เยี่ยนปิงซินถึงกับอึ้งไปทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง
ครั้งนี้ดูท่าท่านบรรพบุรุษจะโมโหเข้าแล้วจริง ๆ
เยี่ยนเทียนซานจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “เยี่ยนหยางเหนียน เจ้าฟังข้าให้ดีผู้อาวุโสท่านนี้มีบุญคุณต่อแคว้นต้าเยี่ยน สำหรับผู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้มิว่าจะเป็นสมบัติล้ำค่าใดก็หาได้มีค่าไม่”
“เช่นนั้นข้าขอสั่งให้เจ้าสร้างอารามและร่างทองของผู้อาวุโสขึ้นในเมืองหลวง เพื่อให้ชาวบ้านได้กราบไหว้เป็นการแสดงความเคารพ และการขออภัยของแคว้นต้าเยี่ยน”
เยี่ยนปิงซินได้ยินดังนั้นก็ได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ ว่า “ท่านบรรพบุรุษเจ้าคะ คือ...”
เมื่อเห็นท่าทีของเยี่ยนปิงซิน เยี่ยนเทียนซานจึงอธิบายให้นางฟังอย่างใจเย็น “ปิงซิน ตอนนี้เจ้ายังเด็กตบะการบำเพ็ญเพียรยังด้อยนัก แต่บัดนี้ในร่างของเจ้ามีรากวิญญาณธาตุคู่ชั้นยอดอยู่ ความสำเร็จในอนาคตของเจ้าจึงมิอาจประเมินได้ วันหน้าหากเจ้าบำเพ็ญเพียรจนถึงชั้นที่สูงกว่านี้แล้ว เจ้าจะเข้าใจในสิ่งที่ข้าพูดวันนี้เอง”
เยี่ยนปิงซินทำได้เพียงมองท่านบรรพบุรุษ ก่อนจะพยักหน้ารับ
“เยี่ยนหยางเหนียน เจ้าได้ยินแล้วใช่หรือไม่ ? ” เยี่ยนเทียนซานถามด้วยน้ำเสียงที่ดังกว่าปกติ
เยี่ยนหยางเหนียนเงยหน้าขึ้นด้วยใบหน้าเศร้าหมอง และมองเยี่ยนเทียนซานด้วยความหวาดผวา ก่อนจะเอ่ยพร้อมกับพยักหน้ารับว่า “หลังกลับจากที่นี่ข้าจะสั่งคนให้สร้างอารามให้ท่านผู้อาวุโสท่านนั้นทันทีขอรับ”
เยี่ยนเทียนซานพยักหน้ารับด้วยความพอใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเจ้าก็กลับไปก่อนแล้วกัน แต่ให้ปิงซินอยู่ที่นี่ก่อน เพราะข้ายังมีเรื่องที่ต้องการจะถามนางอีก”
เยี่ยนหยางเหนียนค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน จากนั้นจึงได้โค้งคำนับ “เช่นนั้นข้าขอตัวลาก่อนขอรับ”
เยี่ยนเทียนซานเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “อีกอย่าง นับแต่นี้ไปปิงซินสามารถเข้าออกที่นี่ได้ตลอดเวลา”
เยี่ยนหยางเหนียนทำได้เพียงพยักหน้ารับคำเบา ๆ
เวลานี้เยี่ยนปิงซินมีรากวิญญาณคู่ชั้นยอด ความสำเร็จในภายภาคหน้าของนางย่อมต้องเหนือกว่าท่านบรรพบุรุษอยู่แล้ว สิ่งที่ท่านบรรพบุรุษกล่าวมาจึงสมเหตุสมผลแล้ว
หลังจากเยี่ยนหยางเหนียนออกไปแล้ว ท่าทีของเยี่ยนเทียนซานก็ดูอ่อนลง อีกทั้งใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนประเอาไว้อีกด้วย
“ปิงซิน ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าท่านผู้อาวุโสบอกว่าเจ้าสามารถไปเยี่ยมเขาได้ตลอด เช่นนั้นเจ้าคิดว่าจะไปเมืองเสี่ยวฉืออีกเมื่อใดหรือ ? ”
“ท่านบรรพบุรุษเจ้าคะ ข้า... ข้าคิดว่าคงอีกสักพักเจ้าค่ะ เพราะตั้งแต่ที่ข้าออกจากเมืองครั้งนี้ก็มิได้พบเสด็จแม่และท่านพี่มาหลายเดือนแล้วเจ้าค่ะ”
“อืม เช่นนั้นหรือ”
“ปิงซิน ในเมื่อเป็นเช่นนั้นหากเจ้าจะไปเยี่ยมท่านผู้อาวุโสเมื่อใด ข้าจะไปกับเจ้าด้วยก็แล้วกัน”
“ปิงซินทราบแล้วเจ้าค่ะ”
............................
และเมื่อเยี่ยนหยางเหนียนกลับถึงวังหลวง ก็ได้ออกราชโองการสั่งให้กรมโยธาสร้างอารามขึ้นในเมืองหลวงทันที
อีกทั้งยังสั่งให้หาที่ตั้งในคืนนั้นอย่างทันทีทันใด และให้เริ่มก่อสร้างในเช้าวันรุ่งขึ้นได้เลย
ทำให้หลังจากที่พระราชโองการนี้ถูกส่งออกไป เรื่องนี้ก็เป็นที่โจษจันไปทั่วทั้งเมืองหลวง
ทุกคนต่างรู้สึกแปลกใจและคาดมิถึงกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ”
“เหตุใดฮ่องเต้ต้องทรงออกราชโองการให้สร้างอารามอย่างรีบร้อนเช่นนี้ เพื่อคนผู้หนึ่งที่มิได้เป็นที่รู้จักด้วยเล่า”
“นี่มันอะไรกัน ? เหตุใดฝ่าบาทถึงทรงออกราชโองการเยี่ยงนี้ออกมา ? ”
“แล้วเย่ฉางชิงผู้นี้เป็นใครกัน ? ”
“เย่ฉางชิงผู้นี้มิได้มีชื่ออยู่ในประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังมิใช่ผู้ที่มีชื่อเสียงในการบำเพ็ญเพียร และมิใช่นักปราชญ์อีกด้วย เหตุใดต้องสร้างอารามให้คนผู้นี้ด้วยเล่า ? ”
“มิได้การล่ะ ข้าจะต้องไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อถามถึงเหตุผลในเรื่องนี้ให้ได้ ! ”
ไม่นานเหล่าคนสำคัญในด้านต่าง ๆ ของเมืองหลวง ต่างก็ตั้งคำถามเกี่ยวกับเหตุผลในการก่อสร้างอารามฉางชิงขึ้น
ขณะเดียวกันฎีกามากมายก็ถูกทยอยส่งมาถึงเยี่ยนหยางเหนียน เหล่าขุนนางเก่าแก่และบัณฑิตทั้งหลายต่างขอเข้าเฝ้า
มีเพียงจวนผู้กล้าเท่านั้นที่มิได้มีความเคลื่อนไหวใด ๆ แม้แต่น้อย
มีเพียงข่าวลือออกมาว่า ท่านหลิวผู้เป็นอันดับหนึ่งแห่งจวนผู้กล้าได้สั่งห้ามมิให้ผู้ใดซักถามและทำให้ฝ่าบาททรงระคายพระทัยด้วยเรื่องนี้ มิเช่นนั้นจะถูกขับออกจากจวนผู้กล้าทันที
และเยี่ยนหยางเหนียนก็ได้สั่งให้ขันทีนำฎีกาทั้งหมดไปเผาทิ้ง ส่วนเหล่าขุนนางและบัณฑิตทั้งหลายนั้น พระองค์ได้ทรงให้คำตอบไปว่า
“นับจากนี้ต่อไป แคว้นต้าเยี่ยนจะเจริญรุ่งเรืองเพราะผู้อาวุโสเย่อย่างแน่นอน ! ”