ตอนที่ 41 ผู้ใดกันที่เป็นคนเล่นเพลงฮั่วฟาน?
ถานไถชิงเสวี่ยกุมตำราดนตรีโบราณเอาไว้ในมือ ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองเย่ฉางชิง พลันใบหน้าอันงดงามของนางก็บังเกิดความลังเลขึ้น
ตำราดนตรี ‘ฮั่วฟาน’ เล่มนี้ เป็นตำราที่นางได้มาจากแดนโบราณแห่งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน
แดนลับแห่งนั้นกล่าวได้ว่าเป็นสถานที่บำเพ็ญเพียรของผู้อาวุโสท่านหนึ่ง ที่บรรลุจนขึ้นสวรรค์ไปกี่ปีแล้วก็มิทราบได้
หากมิมีสิ่งใดผิดพลาด ผู้อาวุโสท่านนั้นจะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีดนตรี
และตำราดนตรีโบราณเล่มนี้ก็มาจากสถานที่บำเพ็ญเพียรของผู้อาวุโสท่านนั้นเช่นกัน
แต่แม้ว่านางจะเริ่มบำเพ็ญเพียรวิถีดนตรีตั้งแต่เข้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง ทั้งยังมีพรสวรรค์ที่โดดเด่น
แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา จวบจนบัดนี้ก็ยังมิสามารถเล่นเพลงที่ลึกลับสุดจะเปรียบในตำราดนตรีเล่มนี้ได้
ที่สำคัญนางมิอาจทนรับพลังเต๋าที่แฝงอยู่ในตำราดนตรีเล่มนี้ได้
บัดนี้เมื่อได้อยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสที่แตกฉานด้านวิถีดนตรีถึงเพียงนี้ ทำให้นางมิอาจระงับแรงกระตุ้นที่มาจากส่วนลึกในจิตใจได้
“ผู้อาวุโสเจ้าคะ นี่คือตำราดนตรีโบราณ มิทราบว่าท่านพอจะช่วยเล่นเพลงในนี้ให้หน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ ? ”
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถานไถชิงเสวี่ยจึงตัดสินใจส่งตำราดนตรีโบราณให้กับเย่ฉางชิงด้วยสองมือ
เย่ฉางชิงเห็นถานไถชิงเสวี่ยมีสีหน้ากังวลก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะรับตำราดนตรีมา
“เพลงในนี้ยากมากเยี่ยงนั้นหรือ ? ” เย่ฉางชิงเอ่ยถามขึ้น
ถานไถชิงเสวี่ยกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะพยักหน้ารับเบา ๆ
แม้แต่พลังเต๋าที่แฝงอยู่ในเพลง นางก็มิอาจทนรับได้ ยิ่งมิต้องพูดถึงการจะเล่นเพลงนี้เลยด้วยซ้ำ
เย่ฉางชิงยิ้มให้นางก่อนจะเหลือบมองชื่อ “ฮั่วฟาน” บนปก แล้วจึงค่อย ๆ เปิดตำราออกอย่างเบามือ
ขณะนี้ เย่ฉางชิงที่ควรจะถูกเพลงที่บันทึกอยู่ในตำราเล่มนี้ดึงดูดเข้าไป แต่กลับมิเป็นเช่นนั้น
มิทราบว่าเพราะเหตุใดพลังเต๋าที่แฝงอยู่ภายในเพลง กลับมิมีผลต่อเย่ฉางชิง ทั้งยังมีท่าทางราวกับมิมีอะไรเกิดขึ้นอีกด้วย
ถานไถชิงเสวี่ยที่เห็นภาพนั้น กลับรู้สึกพิศวงยิ่งนัก
“ฮั่วฟาน” เพลงนี้อาจารย์ของนางที่เป็นถึงเจ้าสำนักของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง หรือแม้แต่ผู้อาวุโสสูงสุดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง ก็ยังมิอาจทนรับพลังเต๋าที่แฝงอยู่ได้
แต่ชายหนุ่มที่ดูสุภาพและเรียบง่ายตรงหน้า กลับดูเหมือนมิได้รับผลกระทบใด ๆ เลยแม้แต่น้อย
หากเช่นนี้ยังมิถือเป็นยอดปรมาจารย์ แล้วคนเช่นไรจึงจะนับว่าเป็นยอดปรมาจารย์กันเล่า ?
ถานไถชิงเสวี่ยมองเย่ฉางชิงอย่างพิจารณา ดวงตาดำขลับส่องประกายระยิบระยับ ราวกับได้พบคนที่ตนคลั่งไคล้
นางคาดมิถึงว่าโลกนี้จะมียอดปรมาจารย์ที่ทั้งสุภาพและดูเรียบง่ายเช่นนี้
“เพลงนี้เป็นเพลงที่พิเศษมากทีเดียว หากข้าคิดมิผิดคนที่เขียนเพลงนี้ขึ้นมาน่าจะเป็นสตรีนางหนึ่ง”
หลังจากพิจารณาเพลงฮั่วฟานคร่าว ๆ นอกจากเย่ฉางชิงจะมิเป็นอะไรแล้ว ยังสามารถคาดเดาว่าคนที่เขียนเพลงนี้ขึ้นมาเป็นสตรีนางหนึ่งอีกด้วย
แต่เมื่อสังเกตถึงสายตาอันประหลาดของถานไถชิงเสวี่ย เย่ฉางชิงก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
‘ชื่นชอบข้าถึงเพียงนั้นเลยหรือ ? ’
ถานไถชิงเสวี่ยจึงสำรวมกิริยาของตนเองทันทีที่ได้สติ ใบหน้าที่แดงระเรื่อขึ้นมาขับให้นางยิ่งมีเสน่ห์ตราตรึงใจยิ่งนัก
“ใช่แล้วเจ้าค่ะผู้อาวุโส ผู้ที่แต่งเพลงนี้ขึ้นมาเป็นสตรีนางหนึ่งจริง ๆ เจ้าค่ะ”
ถานไถชิงเสวี่ยที่เคยไปสถานที่บำเพ็ญเพียรของผู้อาวุโส่ท่านนั้นมาแล้ว เมื่อดูจากรายละเอียดสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ก็พอจะเดาได้ว่าเจ้าของเดิมของที่นั่น ต้องเป็นยอดสตรีผู้หนึ่งอย่างแน่นอน
เย่ฉางชิงพยักหน้ารับ พร้อมเอ่ยต่อว่า “เช่นนั้นข้าจะเล่นเพลงนี้ให้เจ้าฟังก็แล้วกัน”
ถานไถชิงเสวี่ยมีสีหน้าตื่นเต้นทันทีที่ได้ยิน ก่อนจะประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม “เช่นนั้นต้องขอรบกวนผู้อาวุโสแล้วเจ้าค่ะ”
เย่ฉางชิงยิ้มให้นางอีกครั้ง และขณะที่เขาจะเริ่มดีดพิณก็ได้เงยหน้าขึ้น “แม่นางชิงเสวี่ย เจ้าอย่าเรียกข้าว่าผู้อาวุโสเลย เรียกข้าว่าท่านเย่ก็พอ”
“ท่านเย่หรือเจ้าคะ ? ” ถานไถชิงเสวี่ยพยักหน้ารับอย่างหนักแน่นพร้อมรอยยิ้ม
นิ้วของเย่ฉางชิงกดลงที่สายพิณแผ่วเบา ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ พลางหลับตาลง แล้วจึงได้เริ่มบรรเลงเพลงฮั่วฟาน
“ตึง... ตึง... ตึง... ตึง...”
ทันทีที่เสียงพิณดังขึ้น รอบกายของเย่ฉางชิงก็ปรากฏนิมิตขึ้นอีกครั้ง
เพียงแต่นิมิตครั้งนี้กลับแตกต่างจากนิมิตเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง
แสงหลากสีมากมายแผ่กระจายออกมารอบตัวของเย่ฉางชิง ท่ามกลางสายหมอกลอยปกคลุมอยู่รอบตัว เสียงพิณที่ดังออกมาราวกับเสียงแห่งพลังเต๋าที่ดังทะลุทะลวงขึ้นมา
ขณะเดียวกันเส้นผมและอาภรณ์ของเย่ฉางชิงต่างปลิวไสว ทุกอณูบนร่างกายล้วนส่องประกายระยิบระยับ
วินาทีนี้ราวกับว่าเขาคือเทพที่มาจุติก็มิปาน
ทั้งหมดที่เกิดขึ้นราวกับความฝัน ทำให้ถานไถชิงเสวี่ยอดจะตื่นตะลึงมิได้ !
จากนั้นถานไถชิงเสวี่ยที่อยู่ข้าง ๆ ก็ค่อย ๆ หลับตาลง ร่างกายรู้สึกสบายราวกับได้แช่น้ำร้อน พลังวิญญาณภายในร่างกาย และเส้นลมปราณพิเศษเคลื่อนที่ในทันที
ขณะเดียวกันภายในใจของนางกลับรู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด มิได้รู้สึกหวาดหวั่นแต่อย่างใด
เวลานี้ราวกับนางจมดิ่งอยู่กับความปั่นป่วน รอบกายถูกล้อมรอบไว้ด้วยพลังเต๋ามากมาย
มินานร่างกายของนางก็ระเบิดปราณที่ดูยุ่งเหยิงออกมา รอบตัวมีลำแสงเปล่งประกาย เจิดจ้า เหนือศีรษะปรากฏแสงรูปร่างคล้ายดอกบัวทองคำกำลังผลิบาน
หลังจากดอกบัวทองคำเบ่งบานออกมาแล้ว ก็ปรากฏร่างของเด็กน้อยผู้หนึ่งขึ้น
เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นเข้าสู่ขั้นหยวนอิงนั่นเอง
วินาทีนี้แม้แต่ตัวของถานไถชิงเสวี่ยเองก็คาดมิถึงว่า นางจะสามารถบรรลุขั้นหยวนอิงได้รวดเร็วปานนี้
นั่นหมายความว่านางจะได้กลายเป็นเจ้าสำนักคนต่อไปของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงแล้วนั่นเอง
............................
ขณะเดียวกันบนดินแดนรกร้างทางตอนเหนือที่ถูกฝ่ายมารยึดครอง พรรคมารต่าง ๆ ก็ได้มีการเคลื่อนไหว ทุกพรรคต่างมุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของทุ่งน้ำแข็ง ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือขึ้นไปของดินแดนรกร้างแห่งนี้
มีดินแดนศักดิ์สิทธิ์หนึ่งของฝ่ายมารที่อยู่ลึกเข้าไปในทุ่งน้ำแข็งของดินแดนรกร้างทางตอนเหนือ
และที่เรียกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของฝ่ายมารนั้น แท้จริงแล้วเป็นหุบเหวโบราณ
มิรู้เพราะเหตุใดภายในหุบเหวที่จมอยู่ใต้หิมะมาเกือบแสนปี จู่ ๆ จึงได้มีพลังปีศาจรุนแรงปะทุออกมา และได้ปกคลุมพื้นที่ครึ่งหนึ่งของทุ่งน้ำแข็งเอาไว้
การที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่ากลัวเช่นนี้ พรรคมารต่าง ๆ จะมิตื่นตระหนกได้เยี่ยงไรกัน ?
อีกทั้งนานมาแล้วมีตำนานเล่าขาน เกี่ยวกันดินแดนรกร้างอันเป็นที่ตั้งของฝ่ายมาร
ส่วนลึกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในทุ่งน้ำแข็ง มีจักรพรรดิมารที่โดดเด่นที่สุดในสายธารแห่งประวัติศาสตร์อันยาวนานของฝ่ายมารหลับใหลอยู่
เมื่อใดที่จักรพรรดิมารผู้นี้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั่วทั้งใต้หล้า ขณะเดียวกันก็หมายความว่าช่วงเวลาที่ฝ่ายมารจะได้ครอบครองแผ่นดินนี้ใกล้เข้ามาแล้ว
เช่นนั้นทันทีที่ทราบว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น เหล่าผู้แข็งแกร่งของพรรคมารต่างพากันมุ่งหน้าไปยังทุ่งน้ำแข็งทันที
“ผ่านมาหลายปี ในที่สุดดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เกิดความเคลื่อนไหว หมายความว่าท่านจักรพรรดิปีศาจองค์นั้นกำลังจะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ! ”
“ครั้นหลังจากที่ท่านผู้อาวุโสผู้นี้หลับใหล พวกเราก็ถูกผู้แข็งแกร่งของเผ่ามนุษย์ขับไล่มายังดินแดนรกร้างว่างเปล่าทางตอนเหนือแห่งนี้ ให้มีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ ครานี้พวกเราจะทำให้พวกมนุษย์ได้รู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดมากกว่าที่พวกเราได้รับเป็นพันเป็นหมื่นเท่า ! ”
“ใช่แล้ว เมื่อใดที่จักรพรรดิมารนำพวกเราไปยึดจงหยวนได้แล้ว พวกเราก็จะเนรเทศพวกมนุษย์มาอยู่ที่รกร้างเช่นนี้บ้าง!”
“ท่านประมุข ท่านร้องไห้เพราะเหตุใดขอรับ ? ”
“เจ้าโง่ การที่จักรพรรดิมารตื่นขึ้นมา ก็หมายความในที่สุดความลำบากของพวกเราก็จะได้จบลงเสียทียังไงเล่า ! ”
...................................
ขณะเดียวกันเทือกเขาแดนใต้ที่เผ่าปีศาจยึดครองก็มีเสียงแหบแห้งเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ผู้ใดกันเป็นคนเล่นเพลงฮั่วฟาน ? ”