ตอนที่ 45 ผู้อาวุโสท่านนั้นต้องเป็นปรมาจารย์วิถีกระบี่เป็นแน่
เห็นว่านักพรตฉางเสวียนมิมีทีท่าว่าจะล้อเล่น เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงต่างก็มองหน้ากันทันที
‘หรือว่าหลายปีมานี้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนจะได้รับโอกาสใหญ่อะไรมา ? ’
คิดถึงตรงนี้ดวงตาของสวีฉิงเทียนก็ฉายประกายบางอย่างที่มิอาจหาความหมายได้ออกมา
“ทุกท่าน พวกเราอย่ามัวแต่ยืนคุยกันตรงนี้เลย เชิญเข้าไปสนทนากันด้านในตำหนักไท่เสวียนจะดีกว่า ! ”
“ใช่แล้ว การประลองของพวกเรายังจัดอีกหลายวัน พวกเราเข้าไปสนทนากันด้านในตำหนักไท่เสวียนดีกว่า”
“......”
ขณะที่กลุ่มนักพรตฉางเสวียนกำลังเชิญคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง เข้าไปยังตำหนักไท่เสวียนนั้น
ยอดเขาหนึ่งที่อยู่มิห่างจากยอดเขาหลักเท่าไรนัก จู่ ๆ ก็มีประกายกระบี่สีทองเจิดจ้าพุ่งขึ้นมา
ประกายกระบี่สีทองงดงามตระการตาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ทะลวงผ่านเมฆหมอกที่ปกคลุมในพริบตา ราวกับต้องการทะลุผ่านประตูสวรรค์ในตำนานเพื่อก่อเกิดเป็นเซียน
เมื่อมองออกไปก็พบกับประกายกระบี่สาดแสงเจิดจ้า ลำแสงกระจายออกไปทั่วทุกทิศทุกทาง พวยพุ่งขึ้นเป็นชั้น ๆ ช่างดูงดงามตระการยิ่งนัก
ยอดเขาลูกนั้นมีนามว่ายอดเขาฉางหมิง
ตามชื่อที่กล่าวไว้ ที่แห่งนี้เป็นที่พำนักของผู้สืบทอดแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน หลี่ฉางหมิงนั่นเอง
เห็นได้ชัดว่าหลี่ฉางหมิงนั้นคงจะสามารถบรรลุขึ้นไปอีกขั้นแล้ว !
เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง ที่ได้เห็นภาพนี้ต่างหยุดฝีเท้าลงทันที อดมิได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น
เนื่องจากศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงนั่นมีชื่อเสียงด้านวิถีหมากล้อมและวิถีกระบี่ เช่นนั้นพวกเขาย่อมรู้ดีถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
ในตอนนั้นเองผู้อาวุโสท่านหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงจึงเอ่ยขึ้นว่า “พี่เหอ ผู้สืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนผู้นี้ ก่อนหน้านี้มิเคยบำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่มาก่อนจริงหรือ ? ”
เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนที่ได้ยินคำถามนี้ ต่างยิ้มออกมาอย่างเข้าใจ
แม้พวกเขาจะมิได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมามากนัก แต่ก็ยังเหลือบมองไปยังอินฉางเฟิง ที่บัดนี้สีหน้ากลับเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ก่อนจะกวาดตามองผู้อาวุโสและศิษย์คนอื่น ๆ ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง
ราวกับกำลังบอกว่าเห็นหรือไม่ นี่ก็คือผู้สืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ที่พึ่งจะบำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่ยังมิถึงหนึ่งเดือน ก็สามารถแตกฉานในวิถีกระบี่ได้ถึงเพียงนี้แล้ว !
ดูผู้สืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงของพวกเจ้าสิ บำเพ็ญเพียรมายี่สิบกว่าปีพึ่งจะฝึกได้เพียงเท่านี้เอง
“ศิษย์น้องกู่ ! ”
สวีฉิงเทียนขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นท่าทางแปลก ๆ ของคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ก่อนจะหันไปหาชายชราแซ่กู่
แน่นอนว่าเวลานี้ผู้ที่เหมือนถูกสบประมาทมากที่สุดย่อมต้องเป็นอินฉางเฟิง
มิว่าอย่างไรเขาก็คาดมิถึงว่า หลี่ฉางหมิงที่เขาสามารถเอาชนะได้อย่างเฉียดฉิวเกือบทุกครั้งในงานประลองของสองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ จะมีพรสวรรค์ในวิถีกระบี่ถึงเพียงนี้ !
อีกทั้งดูจากประกายกระบี่อันงดงามนั่นแล้ว ความแตกฉานในวิถีกระบี่ของหลี่ฉางหมิงตอนนี้คงมิได้ด้อยไปกว่าเขาเป็นแน่
‘หรือว่าเจ้าคนนี้จะเป็นอัจฉริยะในการบำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่จริง ๆ ! ’
ตอนนั้นเองนักพรตหยวนเจี้ยนก็ได้เอามือไพล่หลัง ก่อนจะถอดถอนใจพลางเอ่ยประโยคที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงออกมา “ฉางหมิงช่างมีพรสวรรค์จริง ๆ ใช้เวลาเพียงแค่เดือนเดียวก็สามารถแตกฉานในวิถีกระบี่ได้ถึงเพียงนี้ แม้แต่ข้าก็ยังอดจะอิจฉามิได้จริง ๆ ! ”
‘อะไรนะ ? ’
‘แค่หนึ่งเดือนเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘เพียงเดือนเดียวกลับแตกฉานในวิถีกระบี่ได้ถึงเพียงนี้ ! ’
‘เช่นนั้นผู้สืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนผู้นี้ จะมีพรสวรรค์ในวิถีกระบี่ขนาดไหนกัน ? ’
‘เป็นไปมิได้ ! ’
‘เป็นไปมิได้เด็ดขาด ! ’
เหล่าผู้อาวุโสของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงต่างสบตากัน สีหน้าของแต่ละคนต่างเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ขณะเดียวกันพวกเขาก็เริ่มเพ่งสมาธิเพื่อใช้สื่อสารกันอย่างลับ ๆ
“เจ้าเฒ่าหยวนเจี้ยนพูดจริงงั้นหรือ เวลาหนึ่งเดือนกลับสามารถแตกฉานในวิถีกระบี่ได้เพียงนี้ จะต้องมีพรสวรรค์ล้ำเลิศเพียงใดกัน ! ”
“ใช่แล้ว หากเป็นเช่นนั้นจริงก็น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว”
“ที่สำคัญก็คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนแม้จะมีสายกระบี่วิญญาณ แต่น่าเสียดายที่มิใช่สายสืบทอดหลัก แม้หลี่ฉางหมิงจะเป็นถึงผู้สืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน แต่หากอยู่ที่นี่ พรสวรรค์ในวิถีกระบี่ของเขาจะต้องถูกฝังอย่างแน่นอน”
“ศิษย์พี่นี่ท่านหมายความว่า ท่านคิดจะให้หลี่ฉางหมิงมาอยู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงหรือขอรับ”
“ข้ามีความคิดเช่นนั้นจริง ๆ แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงผู้สืบทอดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน หากให้เขาย้ายมาอยู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงจริง เกรงว่าสองดินแดนศักดิ์สิทธิ์คงได้เปิดศึกกันก็คราวนี้”
“ศิษย์พี่ทุกท่าน ข้าคิดว่าเจ้าเฒ่าหยวนเจี้ยนอาจจะกำลังโอ้อวด เพื่อให้พวกเราเสียหน้าก็เป็นได้”
“ข้าคิดว่ามีความเป็นไปได้ เพราะอย่างไรเสียงานประลองของศิษย์ทั้งสองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ถูกจัดขึ้นทุกสิบปี เขาอาจมิได้ใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนก็เป็นได้”
“ตาเฒ่านี่ช่างเจ้าเล่ห์จริง ๆ ! ”
“......”
หลังจากเหล่าผู้อาวุโสดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงสื่อสารกันทางจิตแล้ว สายตาที่มองนักพรตหยวนเจี้ยนต่างก็เต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
ส่วนบางคนที่มีนิสัยมุทะลุยังมองด้วยสีหน้าเย็นชาและสายตาเคียดแค้น และมีท่าทางตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด
นักพรตหยวนเจี้ยนที่เห็นภาพตรงหน้าก็ได้แต่งุนงง
‘ตาแก่พวกนี้เป็นอะไรไป ? ’
‘เมื่อครู่ข้ามิได้พูดอะไรผิดไปนี่นา ! ’
เวลานี้แม้แต่เจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงอย่างสวีฉิงเทียน ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเช่นกัน
มิว่าหลี่ฉางหมิงจะบำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่มาหนึ่งเดือน สิบปี หรือนานกว่านั้น
จากประกายกระบี่เมื่อครู่ เขา ผู้บำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่สายหลักและอยู่ขั้นกลางของแดนเทวา ย่อมต้องรับรู้ได้เหนือกว่าผู้อื่น
วินาทีที่ประกายกระบี่สีทองอันงดงามพุ่งขึ้นมา เขาได้ปล่อยจิตสัมผัสของเขาออกไปทันที
และเขาก็ได้รับรู้ถึงเจตจำนงที่แท้จริงของกระบี่ จากประกายของกระบี่นั้นว่ารุนแรงเพียงใด
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจที่สุดก็คือ เจตจำนงแท้จริงของกระบี่ที่แฝงอยู่ในนั้นช่างบริสุทธิ์ยิ่งนัก เกรงว่าแม้แต่เขาเองก็มิอาจเทียบได้
และสิ่งนี้อาจก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ได้
อีกทั้งก่อนหน้านี้ที่นักพรตฉางเสวียนได้กล่าวเอาไว้ว่า เพราะหลี่ฉางหมิงได้ฟังคำแนะนำของผู้อาวุโสลึกลับผู้หนึ่ง จึงได้เปลี่ยนมาบำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่
แสดงว่าผู้อาวุโสที่นักพรตฉางเสวียนกล่าวถึง จะต้องเป็นปรมาจารย์วิถีกระบี่เป็นแน่
อีกทั้งเจตจำนงแท้จริงของกระบี่ที่บริสุทธิ์ยิ่ง ที่เขาสัมผัสได้จากประกายกระบี่เมื่อครู่
แสดงให้เห็นว่าหลี่ฉางหมิงได้รับการสืบทอดโดยตรงจากปรมาจารย์ลึกลับท่านนั้นแล้ว
หรืออีกความเป็นไปได้นั่นก็คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน เจอสถานที่บำเพ็ญเพียรของปรมาจารย์วิถีกระบี่บางท่านเข้า จึงได้รับการถ่ายทอดที่สมบูรณ์แบบมา
สวีฉิงเทียนคิดถึงตรงนี้จึงเหลือบมองนักพรตฉางเสวียนที่แม้สีหน้าจะดูยิ้มแย้ม แต่รอยยิ้มนั้นกลับแฝงบางอย่างเอาไว้
‘รอให้ถึงเวลาที่ทั้งสองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ประลองกันก่อนเถิด ข้าและเจ้ายังมีการแข่งขันหมากล้อมรออยู่ ! ’
ถึงเวลานั้น เขามิเชื่อหรอกว่าจะมิสามารถล้วงความลับจากปากของนักพรตฉางเสวียนได้
“แค่ก ๆ ! ”
สวีฉิงเทียนแสร้งทำเป็นกระแอมออกมาเบา ๆ
นักพรตฉางเสวียนจึงได้สติขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะสบตากับสวีฉิงเทียนและได้เอ่ยเชิญทุกคนอีกครั้ง “ทุกท่าน เชิญด้านในเถิด ! ”
……………………..
ขณะเดียวกันเย่ฉางชิงที่กำลังให้คำแนะนำเรื่องดนตรีแก่ถานไถชิงเสวี่ยอยู่นั้น ก็จามออกมาโดยไร้สาเหตุ
เขาหันไปมองทางทิศเหนือ ก่อนจะเม้มริมฝีปากและพึมพำออกมา “หรือว่าจะมีคนแช่งข้าอยู่ ? ก็มิน่าจะเป็นไปได้นี่นา ! ”
“ท่านเย่ เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ ? ”
“ข้ามิเป็นไร พวกเราคุยกันต่อเถอะ ! ”