เรื่อง : นายน้อยเจ้าสำราญ : คนบ้าแห่งต้าเฉิน (นิยายแปล) ปลดล๊อคตอนฟรี 3 วัน 1 ตอน
ตอนที่ 1 สามเดือนสาม
ตอนที่ 1 สามเดือนสาม
“คูเมืองเก้าโค้งสามเดือนสาม ต้นหลิวยาวสยาย
ฝุ่นหอมโหมทะยานดั่งม้ารมไปทั่วถนนสีทอง ชะล้างเศษผ้าของฤดูไม้ผลิ
หน่อไม้ขมปลาตะลุมพุกรสชาติบ้านเกิดที่เลิศรส ฝันของเจียงหนาน
หมอกบนผืนน้ำ ลมยามเย็นที่สงบนิ่ง ณ ประตูตะวันตก ปลดใบเรือแล่นกลับไป”
เมฆเคลื่อนไหวราวกับสายน้ำ จรดพู่กันราวกับหมอกควัน บทกวีฝันของเจียงหนานถูกจรดลงบนกระดาษ กลิ่นน้ำหมึกที่น่าวิงเวียนศีรษะอบอวลไปทั่วทั้งห้อง สีเข้มสีอ่อนแห้งกร้านเปียกชื้นตวัดตัดขาดและเชื่อมต่อกันไปมา ความหนาบางที่ปกปิดและเปิดเผยเกิดเป็นทิวทัศน์ที่ตระการตา !
ยามที่มองไปยังภาพอักขระผืนนี้ ก็พลันมีรอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าของสวีเสี่ยวเสียน
เขาวางพู่กันในมือลง จากนั้นก็เดินไปหยุดอยู่หน้ากำแพง บนกำแพงนั้นมีกระจกแขวนอยู่ ซึ่งกระจกบานนั้นได้สะท้อนภาพใบหน้าที่ค่อนข้างอ่อนเยาว์และซูบผอม
บนใบหน้ามีดวงตาสีทะมึนราวกับน้ำลึก
นัยน์ตาดำสนิทเป็นประกาย ! หากจ้องมองอย่างตั้งใจ ก็ดูเหมือนจะมีความลึกลับและยิ่งใหญ่แฝงอยู่
สวีเสี่ยวเสียนสูดลมหายใจเข้าลึกพลางยื่นมือออกไปลูบคลำกระจกใบนี้ จากนั้นก็เอ่ยพึมพำออกมาด้วยความขบขัน “สวัสดี สวีเสี่ยวเสียน ! ”
ริมฝีปากของคนในกระจกยกยิ้มขึ้นมาเช่นกัน ริมฝีปากเผยอออก ราวกับกำลังสนทนากับเขาอยู่ “สวัสดี สวีเสี่ยวเสียน ! ”
เขายักไหล่บางเล็กน้อย จากนั้นก็เลิกคิ้วเรียวยาวคู่นั้นขึ้น “ดีกับผีสิ ! ”
เขาถอนหายใจออกมา จากนั้นก็เดินกลับไปยังโต๊ะหนังสืออีกครา เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องนภาที่สว่างสดใสนอกบานหน้าต่าง เมื่อวานฝนเทลงมาทั้งคืน ดอกตูมสีเหลืองบนต้นหลิวตรงลานบ้านได้ผลิบานออกมาแล้ว วัชพืชสีเขียวขจีจำนวนมากผุดขึ้นมาบนหินจำลอง ทันใดนั้นเขาก็เพิ่งจะค้นพบว่า...ฤดูใบไม้ผลิได้มาเยือนแล้ว
วันที่สามเดือนสาม เขามายังโลกใบนี้ได้สามเดือนกับอีกสามวันแล้ว
เขาเดินออกไปที่ลานบ้าน จากนั้นก็นั่งลงในศาลาพลางมองสำรวจเรือนหลังนี้อีกครา
เรือนหลังนี้ถือว่ามิเลว ทว่าในฐานะเจ้าของเรือนนี้แต่เพียงผู้เดียว เขากลับได้อยู่อาศัยในเรือนด้านข้าง !
เมื่อสิบสี่ปีที่แล้วบิดาของเขาได้สิ้นใจที่เขตช่างหยางในราชวงศ์เหลียวเฉิน บิดาส่งเขาที่เป็นเด็กกำพร้ามายังสถานที่แห่งนี้ ที่นี่คือ...
ราชวงศ์ต้าเฉิน
เป่ยเหลียง
รัฐเหลียง
เขตเหลียงอี้ !
หรือเรียกกันง่าย ๆ ว่าเหลียงเหลียง
ตัวเขามีนามว่าสวีเสี่ยวเสียน ฝานจือ...แต่เดิมยามที่บิดาตั้งชื่อให้ แท้จริงแล้วบิดาหวังให้เขาสุขสบายหรือวุ่นวายกันแน่ หรือว่าตอนนั้นเกิดความขัดแย้งอย่างหนักภายในจิตใจของคนผู้นั้นกัน
เขามีนามว่าเสียน ถูกส่งมายังเขตแดนทางเหนือของราชวงศ์เฉิน บิดาคงวาดหวังให้เขาอยู่อย่างสุขสบาย
ประจวบเหมาะกับที่ชาสมุนไพรต้มเสร็จพอดี ก็มีสตรีนางหนึ่งสวมชุดกระโปรงสีเขียววิ่งเข้ามาทางประตูพระจันทร์เสี้ยวด้วยท่าทีลนลาน นางเดินเข้ามาตามระเบียงทางเดิน ชุดของนางพลิ้วไหวราวกับผีเสื้อที่โบยบินไปมา... พรุ่งนี้คงต้องให้นางเปลี่ยนไปใส่ชุดสีเหลืองเสียแล้ว
นางมีนามว่าจือรุ่ย เป็นน้องสาวที่บิดารับเลี้ยง นางเติบใหญ่มาพร้อมกันกับเขา บัดนี้นางกลายมาเป็นสาวใช้ของเขาแล้ว หลายปีมานี้หากมิใช่เพราะมีจือรุ่ยคอยปรนนิบัติ เกรงว่าเจ้าของร่างนี้คงตกตายไปนานแล้ว หากเป็นเช่นนั้นก็มิทราบเช่นกันว่าผู้ใดจะได้ข้ามกาลเวลามาในขณะนั้น แต่คาดว่าคงมามิถึงตนเป็นแน่
“คุณชาย คุณชายเจ้าคะ...”
จือรุ่ยวิ่งมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของสวีเสี่ยวเสียนด้วยท่าทีตื่นตระหนก หน้าอกสั่นกระเพื่อม นางกลืนน้ำลายเข้าไปอึกใหญ่ ยังมิทันได้เอ่ยอันใด คุณชายก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน
น้ำเสียงของคุณชายนั้นราบเรียบเป็นอย่างยิ่ง มิเหมือนกับในอดีตโดยสิ้นเชิง เพราะน้ำเสียงที่ราบเรียบนั้น ทำให้นางรู้สึกไร้หนทางจะต่อต้าน จะอธิบายความรู้สึกนี้เยี่ยงไรดี ?
จือรุ่ยรู้สึกว่าน้ำเสียงนี้ราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ราวกับเสียงธรรมชาติที่สงบและมั่นคงอย่างเห็นได้ชัด
“นั่ง ! ”
คุณชายเอ่ยขึ้นมาเพียงหนึ่งคำ
จือรุ่ยยอมนั่งลงฝั่งตรงข้ามของคุณชายแต่โดยดี นางเหลือบตามองคุณชายที่นางคอยปรนนิบัติรับใช้มาตลอดยี่สิบปี พลันเกิดความรู้สึกมิคุ้นชินขึ้นมา
เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย สามเดือนที่ผ่านมา คุณชายที่นั่งอยู่เบื้องหน้ากับคุณชายที่นางคุ้นเคย มิเหมือนกันเลยสักนิด
คุณชายในอดีตเอาแต่ร่ำเรียนและขี้ขลาดมากยิ่งนัก เขามิมีทางมานั่งดื่มชาอยู่ในศาลาโล่ง ๆ นี้เป็นแน่ เมื่อเห็นตนปรี่เข้ามาด้วยท่าทีกระวีกระวาด เขาก็จะหวาดกลัวจนหน้าเปลี่ยนสี เพราะเขามักจะคิดว่าพ่อบ้านจางมาหาเรื่องเขาอีกเป็นแน่
ทว่าหลังจากที่คุณชายหายป่วยก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน เขาอ่านตำราน้อยลง ทว่าหันไปคัดลายมือมากขึ้น ซึ่งอักขระเหล่านั้นสวยยิ่งกว่าในอดีตเสียอีก
และเขาก็มักจะมานั่งอยู่ในศาลาแห่งนี้ เขาจะต้มชาหนึ่งกาและเด็ดดอกหญ้าในลานบ้านด้วยตนเอง เขาเอ่ยว่านี่คือชาสมุนไพร หลังจากนั้นก็จะนั่งดื่มชาอยู่เงียบ ๆ พลางทอดมองดอกเหมยบานและเกล็ดหิมะที่โปรยปรายลงมาอย่างเงียบงัน
ดวงตามืดมนคู่นั้น บัดนี้เปล่งประกายระยับ ดวงตาสีดำขลับของคุณชายราวกับมีมนต์ขลัง เมื่อใดที่ตนได้สบตากับเขา ตนก็มักจะเบนสายตาออกไปโดยที่มิรู้ตัว
มิใช่เพราะหวาดกลัว ทว่าจือรุ่ยมักจะรู้สึกว่าในแววตาของคุณชายมีความเศร้าโศกที่ยากจะอธิบายได้อยู่ เป็นความเศร้าที่เลือนราง ราวกับเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่มีหมอกหนาคอยบดบัง จนมองมิเห็นภูเขาฉวี
ราวกับมีบางอย่างแฝงอยู่ในดวงตาคู่นั้น ราวกับดวงตาคู่นั้นสามารถอ่านความคิดที่อยู่ในก้นบึ้งจิตใจของผู้อื่นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
“ใช่ ! เจ้าไปเรียกพ่อบ้านจางมาพบข้าสักหน่อย”
จือรุ่ยยังมิทันได้เอ่ยอันใด สวีเสี่ยวเสียนก็ชิงเอ่ยออกมาก่อน เขายังคงมีท่าทีเรียบเฉยดั่งแสงสุริยายามฤดูใบไม้ผลิที่อบอุ่น ทว่าราวกับมีเสียงฟ้าร้องในฤดูใบไม้ผลิดังขึ้นที่ข้างหูของจือรุ่ย ทำให้นางตกตะลึงอย่างมิรู้สึกตัวอยู่ชั่วขณะ
คุณชายเอ่ยว่าให้เรียกพ่อบ้านจางมาพบ !
ในอดีตคุณชายมักจะไปพบพ่อบ้านจางที่เรือนหลักด้วยท่าทีหวาดผวา
เป็นไปได้หรือไม่ว่าข้าจะฟังผิดไป ?
จือรุ่ยกำอาภรณ์ของตนเองเอาไว้แน่น ปากบางขยับเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างแผ่วเบาว่า
“...คุณชายเอ่ยว่าเยี่ยงไรนะเจ้าคะ ? ”
“ข้าเอ่ยว่าไปเรียกพ่อบ้านจางมาพบข้า ! ”
“ไอหยา...” จือรุ่ยรู้สึกมึนงงอยู่หลายอึดใจ พอได้สติแล้วจึงรีบลุกขึ้นยืนทันใด มือที่กำชายกระโปรงเอาไว้แน่นราวกับลืมคลายออก จากนั้นนางก็เดินตรงไปยังประตูพระจันทร์เสี้ยว
วันที่หนึ่ง เดือนหนึ่ง คุณชายป่วยหนักอาการสาหัส พ่อบ้านจางเฝ้าภาวนาให้คุณชายตกตายไปเสีย หากคุณชายสิ้นใจแล้ว ทุกอย่างในเรือนหลังนี้เกรงว่าจะตกเป็นของพ่อบ้านจางทั้งสิ้น
แท้จริงแล้วต่อให้คุณชายยังมิสิ้นใจ จวนที่ใหญ่โตหลังนี้ก็ถูกควบคุมโดยพ่อบ้านจางอยู่แล้ว
ก่อนหน้าที่นายท่านจะสิ้นใจ เขาได้มอบเงินก้อนโตไว้ให้คุณชายถึง 5,000 ตำลึง หากจัดการได้อย่างเหมาะสมก็สามารถมีอาหารและเสื้อผ้าให้คุณชายได้อยู่อย่างสุขสบายไปชั่วชีวิต
ทว่าเงินเหล่านั้นกลับอยู่ในการครอบครองของพ่อบ้านจาง คุณชายมิมีแม้แต่กระเป๋าเงินพกติดตัวเลยด้วยซ้ำ
พ่อบ้านจางใช้เงินของคุณชายเลี้ยงบ่าว 10 คนในเรือน ยามออกไปข้างนอกก็จะนั่งรถม้าที่หรูหราออกไป ทว่าเมื่อคุณชายออกไปข้างนอกจะมีเพียงรถม้าเก่า ๆ สภาพผุพังเท่านั้น
บ่าวชั่วรังแกนาย เป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งเมืองว่าคุณชายนั้นสุดแสนจะอ่อนแอ บัดนี้กลายเป็นเรื่องตลกขบขันของเมืองเหลียงอี้ไปแล้ว
นี่คือสิ่งที่จือรุ่ยเดือดดาลและยอมมิได้ !
ทั้งหมดควรจะตกเป็นของคุณชาย ทว่ากลับถูกบ่าวชั่วครอบครอง เพียงเพราะคุณชายเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญาของเมืองเหลียงอี้ !
นางขบเม้มริมฝีปาก กู่ร้องถึงความมิเป็นธรรมเพื่อคุณชายอยู่ภายในใจอีกครา นางลอบคิดอยู่ในใจว่าเมื่อใดกันที่คุณชายจะมีท่าทีให้สมกับที่คุณชายพึงจะมี ?
สวีเสี่ยวเสียนนั่งดื่มชาอยู่ในศาลา คิ้วเรียวสวยคู่นั้นขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เขาค่อนข้างสับสนกับชีวิตในตอนนี้
ในสามเดือนนี้ เขาเข้าใจถึงสถานการณ์ของโลกนี้โดยประมาณแล้ว ต้าเฉินก่อตั้งประเทศมา 60 ปีแล้ว นักรบมีจำนวนมาก ทว่านักวรรณกรรมและขุนนางกำลังซบเซา ปัจจุบันจักรพรรดิไท่เสวียนให้ความสำคัญกับวรรณกรรมเป็นอย่างมาก จึงทำให้สถานภาพของนักวรรณกรรมสูงส่งเป็นอย่างมาก แม้ตนจะมิมีผู้ใดคอยแนะนำ ทว่าก็มีสถานะเป็นซิ่วไฉ
เอ่ยตามความเป็นจริง มิว่าเยี่ยงไรพ่อบ้านผู้นี้ก็มิมีทางใจกล้าวางอำนาจบาตรใหญ่คร่อมหัวผู้เป็นนายได้ ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าของร่างเดิมก็สูงส่งอย่างเห็นได้ชัด อย่าเอ่ยถึงเจี่ยหยวน1เลย เพระคาดมิถึงว่าจะมิมีชื่อของเขา !
เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีบางอย่างอยู่เบื้องหลัง และเรื่องนี้ก็ยังซับซ้อนมากอีกด้วย
บัดนี้ตนได้ครอบครองร่างนี้แล้ว เยี่ยงนั้นก็ต้องจัดการเรื่องที่อยู่เบื้องหลังนี้ให้กระจ่าง มิเช่นนั้นตนที่เป็นผู้ทะลุมิติมาอาจจะถูกลอบสังหารจนตายได้ !
ดังนั้นก้าวแรกนี้จำต้องชิงอำนาจในจวนกลับมาให้ได้เสียก่อน ต้องหาเหตุผลที่พ่อบ้านจางกล้ากำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้ให้ได้
เขามองดูร่างที่บอบบางของตนเองพลางครุ่นคิดขึ้นมาว่า ร่างของบ่าวชั่วผู้นั้นทั้งกำยำทั้งไร้เหตุผล... ด้วยร่างที่ผอมบางของตนในตอนนี้หากจะลงมือ ตนต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบเป็นแน่
เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง จากนั้นก็ดึงกระเป๋าปีนภูเขาใบโตออกมาจากใต้เตียง นิยายทะลุมิติในโลกปัจจุบัน...การทะลุมิติมาก็มักจะมีสิ่งของบางอย่างติดตัวมาด้วยเสมอ
เขาค้นหาสิ่งของในกระเป๋าใบนั้น ในมือมีกระบองสั้นสีดำติดมือมาด้วย
เขาสอดกระบองเล็กไว้ที่เอว จากนั้นสวีเสี่ยวเสียนก็แสร้งดื่มชาอย่างมีความสุขต่อไป
เขาเริ่มคุ้นชินกับวันเวลาเช่นนี้อย่างช้า ๆ อีกทั้งยังหลงใหลมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้วย
มิมีโทรศัพท์ มิมีโทรทัศน์และมิมีกิจกรรมสนุกสนานใด ๆ ทั้งสิ้น มิจำเป็นต้องประจบสอพลอเพื่อหน้าที่การงาน มิจำเป็นต้องฝืนยิ้มเพื่อคบค้าสมาคมกับผู้ใด ยามราตรีก็ล้มตัวลงนอนอย่างรวดเร็ว ยามเช้าก็ตื่นแต่เช้าตรู่วนเวียนเป็นวัฏจักรอยู่อย่างนี้
วันเวลาเป็นไปอย่างน่าเบื่อ จังหวะชีวิตก็ช้าเป็นอย่างมาก ในตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการนำอำนาจในการควบคุมจวนสวีกลับมาสู่มือของตน เรียกเงินที่บิดาทิ้งไว้ให้กลับมา จากนั้นก็นำไปซื้อที่ดิน และเรียนรู้จากฟู่เสี่ยวกวนเพื่อเป็นนายน้อยเจ้าสำราญ
ชาติที่แล้วเขาเป็นเด็กกำพร้า สิ่งเดียวที่เขาคิดถึงก็คือภรรยาที่เพิ่งแต่งงาน เฮ้อ...เพื่อนบ้านแซ่หวัง หาเพื่อนบ้านดี ๆ มิได้เลย
คาดมิถึงว่าเมื่อมายังโลกใบนี้ก็ยังเป็นเด็กกำพร้าอีก หรือว่าข้าจะดวงผูกกับการเป็นเด็กกำพร้ากัน ?
เขายิ้มอย่างโง่เขลา เมื่อเหลือบสายตาขึ้นมาก็เห็นว่าจือรุ่ยเดินนำพ่อบ้านจางมาด้วยท่าทีประหม่า
พ่อบ้านจางเกิดความอึดอัดขึ้นมาในใจ วันนี้เกิดอันใดกับเจ้าโง่นี่กัน คาดมิถึงว่าเขาจะให้สาวใช้มาตามตน ดูเหมือนว่าจะต้องเพิ่มสีให้เขาดูสักหน่อยแล้ว
จือรุ่ยยืนมองอย่างหวาดกลัวอยู่อีกด้าน มือเล็กกำกระโปรงเอาไว้แน่นอย่างมิรู้ตัว
สายตาของนางจ้องมองไปยังร่างของพ่อบ้านจางและคุณชายอย่างจดจ่อ จากนั้นก็อดที่จะกังวลใจขึ้นมามิได้
รูปร่างของพ่อบ้านจางนั้นอ้วนท้วนราวกับหมี เห็นได้ชัดว่าคุณชายตัวบางกว่ามากเมื่อเทียบกับเขา... จือรุ่ยเม้มริมปาก ครุ่นคิดในใจว่าหากพ่อบ้านจางกล้าเสิบสานใส่คุณชาย นางจะปรี่เข้าไปกัดเขาสักคราให้จงได้ !
ไม่ ! จำต้องลงมือหลาย ๆ ครา
พ่อบ้านจางยืนอยู่เบื้องหน้าของสวีเสี่ยวเสียน สองมือไขว้หลังเสมือนกิ้งก่าได้ทอง เขามองสวีเสี่ยวเสียนที่วางจอกชาลง ทันใดนั้นสวีเสี่ยวเสียนก็ชำเลืองมองมาทางเขาแล้วเอ่ยออกมาสองคำ
ซึ่งสองคำนั้นก็คือ “คุกเข่า ! ”
1เจี่ยหยวน คือ ผู้ที่สอบได้อันดับที่หนึ่งหรืออันดับสูงสุดในการสอบระดับมณฑล