ตอนที่ 2 คุกเข่า
“คุกเข่า ! ”
น้ำเสียงหนักแน่นดังก้องกังวาน ราวกับเสียงฟ้าผ่า
ร่างอ้วนท้วนของพ่อบ้านจางสะดุ้งเล็กน้อย ฝีเท้าของเขาชะงักงัน บนใบหน้าของเขาปรากฏความประหลาดใจขึ้นมา
เขามองไปทางสวีเสี่ยวเสียนอย่างเหลือเชื่อ จากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวแล้วยืนอยู่ในศาลา ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกละอายใจกับการกระทำของตนเมื่อครู่ ดวงตาทั้งคู่จ้องเขม็ง ใบหน้าเหี่ยวย่นหดเกร็ง “เจ้าว่าเยี่ยงไรนะ ? ”
14 ปีมาแล้ว เขาเป็นพ่อบ้านอยู่ที่จวนสวีนี้มา 14 ปีเต็ม !
ก่อนหน้านั้นบุตรนอกสมรสผู้นี้ เมื่อพบเขาก็มักจะเกรงกลัวดุจหนูพบแมว ทว่าวันนี้เขากินดีหมีมาหรือเยี่ยงไรกัน ?
สวีเสี่ยวเสียนเงยหน้าขึ้น รูม่านตาหดลง ดวงตาแข็งทื่อ จากนั้นก็ตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดังว่า “เจ้าเป็นเพียงบ่าวรับใช้ ข้าสั่งให้คุกเข่าลง ! ”
พ่อบ้านจางได้ยินเต็มสองรูหู เขาอ้าปากกว้างแล้วหัวเราะออกมา อยู่ ๆ เขาก็หุบยิ้มลง สายตาเคียดแค้นจ้องมองไปที่สวีเสี่ยวเสียน “เจ้าบุตรนอกคอก ก่อนหน้านี้เจ้าเชื่อฟังคำสั่งสอนของข้า ข้าจึงได้ไว้ชีวิตเจ้า ในวันนี้เจ้ารนหาที่ตายเอง ! ”
หัวใจของจือรุ่ยเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมา นางตะโกนออกไปด้านนอกด้วยเสียงอันดังว่า “หลายฝู หลายฝู...”
จากนั้นก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งวิ่งเข้ามาจากประตูพระจันทร์เสี้ยว
ทว่าเมื่อจือรุ่ยหันศีรษะกลับไปมอง กลับพบว่าบนใบหน้าของคุณชายพลันปรากฏรอยยิ้มสดใสขึ้นมา คุณชายตกใจจนเสียสติไปแล้วหรือเยี่ยงไร ?
จากนั้น นางก็พบว่าพ่อบ้านจางกำลังง้างมือขึ้น
ในขณะที่ฝ่ามือกำลังจะกระทบลงบนใบหน้าของคุณชาย อยู่ ๆ ในมือของคุณชายก็มีกระบองสั้นปรากฏขึ้นมา
กระบองสั้นฟาดลงไปที่เอวของพ่อบ้านจาง จือรุ่ยได้ยินเสียงดังกร้อบ จากนั้นก็พบว่ามือของพ่อบ้านจางชะงักค้างอยู่กลางอากาศ ร่างของเขากำลังสั่นสะท้าน
“อ๊าก... ! ”
เสียงร้องโหยหวนดังออกมาจากลำคอของพ่อบ้านจาง จากนั้นร่างอันอ้วนท้วนของพ่อบ้านจางก็ล้มลงกับพื้นเสียงดัง “ตุ้บ... ! ”
กล้ามเนื้อแขนและขาของเขายังคงกระตุกอย่างต่อเนื่อง ดวงตาของเขาพลันเบิกกว้าง มิได้มีความเย่อหยิ่งจองหองดังเดิม บัดนี้หลงเหลือเพียงแค่ความหวาดกลัวเท่านั้น
หลายฝูวิ่งมาถึงนอกศาลาแล้ว เขาจ้องมองไปยังร่างของพ่อบ้านจางที่นอนอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าตกตะลึง จากนั้นก็เงยหน้ามองดูคุณชาย สวีเสี่ยวเสียนเก็บกระบองเล็กลงไป แท้ที่จริงแล้วมันเป็นกระบองไฟฟ้า
เมื่อชาติก่อนเขาเป็นเจ้าหน้าที่บรรเทาความยากจน หลังจากแต่งงานได้มินาน ภรรยาของเขาเป็นกังวลว่าเมื่อเข้าไปในป่าลึกแล้วจะเป็นอันตรายจึงใส่มันเอาไว้ในกระเป๋า คาดมิถึงว่าจะได้นำมาใช้ในชาตินี้
ตั้งแต่ต้นจนจบ สวีเสี่ยวเสียนยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะหิน บัดนี้เขากำลังรินน้ำชาอยู่หนึ่งถ้วย ดูเหมือนว่ามิได้มีความรู้สึกใดกับเหตุการณ์เมื่อครู่นี้เลย
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้จือรุ่ยและหลายฝูตกตะลึงยิ่งนัก คุณชาย...คุณชายช่างเก่งกาจเสียเหลือเกิน !
ทว่าทันใดนั้นเอง ในตอนที่พ่อบ้านจางร้องโหยหวนออกมาส่งผลให้ลูกสมุนของมันพากันกรูเข้ามานับสิบคน
พวกเขาเดินตรงเข้ามาในศาลา จากนั้นก็ก้มหน้ามองดูพ่อบ้านจางที่นอนกองอยู่บนพื้นอย่างเป็นห่วง บัดนี้สีหน้าของแต่ละคนดูเดือดดาลเป็นอย่างมาก
“จัดการมันเสีย ! ”
เมื่อหลายฝูได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตกใจขึ้นมาทันใด เขารีบวิ่งเข้าไปป้องกันคุณชายเอาไว้ ด้วยแขนเพียงข้างเดียว “หวางซาน ซุนเสี่ยวเอ้อร์ พวกเจ้า...”
“จัดการมันให้ตาย ! ”
“ตุ้บ... ! ”
เท้าของหวางซานเตะเข้าที่ช่องท้องของหลายฝู สวีเสี่ยวเสียนขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเขาจึงยื่นมือออกไปพยุงหลังของหลายฝูเอาไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว เพราะหลายฝูเป็นเกราะกำบังให้แก่เขา เมื่อครู่เขาจึงมิถูกเตะ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งของเขาที่ถือกระบองไฟฟ้าอยู่นั้นได้พุ่งตรงออกไปที่เอวของหวางซานทันที
เสียงไฟฟ้าช็อตดังขึ้นมาครู่หนึ่ง จากนั้นหวางซานก็ยืนชักเกร็งไปทั้งอย่างนั้น
ช่างน่ากลัวมากยิ่งนัก ลูกสมุนอีกเก้าคนที่เหลือยืนผงะ สวีเสี่ยวเสียนเก็บกระบองลง จากนั้นหวางซานก็ล้มลงกับพื้น สวีเสี่ยวเสียนกำกระบองไฟฟ้าเอาไว้แล้วฟาดไปที่ซุนเสี่ยวเอ้อร์ เป็นไปตามที่คาด เพียงมิกี่อึดใจต่อมาซุนเสี่ยวเอ้อร์ก็ล้มลงกับพื้นทันใด
“มันเป็นปิศาจ ! ”
“รีบหนีเร็วเข้า... ! ”
ลูกสมุนทั้งแปดพากันก้าวขาวิ่งออกไป หลายฝูที่ถูกเตะเมื่อครู่ยังรู้สึกจุกอยู่มิน้อย ดังนั้นสวีเสี่ยวเสียนจึงไล่ตามพวกเขาออกไปอย่างดุเดือด และท้ายที่สุดพวกเขาทั้งแปดก็ถูกไล่ออกไปนอกจวน
เขาปิดประตูจวนลง จากนั้นก็เก็บกระบองสั้นไว้ที่เอว เขาหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหอบ เมื่อได้พักผ่อนหายใจหายคอจนรู้สึกดีขึ้นมาแล้ว เขาจึงเดินกลับเข้าไปด้านใน
ในจวนสวีมีคนอาศัยอยู่มากมาย
เขาประมาทจนเกินไป เดิมทีเขาเพียงต้องการกุมตัวพ่อบ้านจางผู้เดียวเท่านั้น
จากนั้นก็ขับไล่ทาสผู้หยิ่งผยองผู้นี้ออกไปจากจวนเสีย ความสงบสุขจะได้หวนคืนกลับมาเสียที คาดมิถึงว่าพวกลูกสมุนเหล่านั้นจะกล้าเอาตนเองเข้าแลกเพื่อพ่อบ้านจาง !
ชายหนุ่มควรจะดุดันเฉกเช่นชายหนุ่ม เมื่อครู่หากมิได้หลายฝูเข้ามาบังลูกเตะนั้นเอาไว้ คาดว่าเขาเองก็คงจะล้มลงเช่นกัน
“หลายฝู จับพวกมันมัดไว้ ! ” สวีเสี่ยวเสียนกลับไปนั่งที่ศาลาอีกคราหนึ่ง จากนั้นจึงหันกลับไปยิ้มให้จือรุ่ย
“เมื่อครู่เจ้ามีธุระอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
บัดนี้จือรุ่ยเพิ่งได้สติกลับคืนมา นางกลืนน้ำลายลงคอแล้วเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตน จากนั้นนางก็เอ่ยออกมาอย่างติด ๆ ขัด ๆ ว่า “อ่า...คือ วันนี้วันที่สามเดือนสามมิใช่หรือเจ้าคะ ? บ่าวได้ยินมาว่าจี้เยวี่ยเอ๋อบุตรสาวของนายอำเภอจี้ นาง...นางเดินทางไปยังทะเลสาบฉายหยุน ประเดี๋ยว...ประเดี๋ยวคาดว่านายอำเภอจี้คงจะเดินทางมายกเลิกการหมั้นหมาย”
วันที่สาม เดือนสาม เทศกาลซ่างซื่อ
ในวันนี้สตรีที่ยังมิได้ออกเรือน จะเดินทางไปยังหอซิ่ว ณ ทะเลสาบฉายหยุน เพื่อโยนลูกบอลแพรปักเลือกคู่ครอง
จี้เยวี่ยเอ๋อ บุตรสาวของนายอำเภอจี้ผู้นี้ นางถือเป็นคู่หมั้นของสวีเสี่ยวเสียน
แท้ที่จริงเรื่องนี้ก็มิได้มีอันใดมากนัก เรื่องคร่าว ๆ ก็มีเพียงเท่านี้
เจ้าของร่างนี้ เดิมทีเป็นผู้เคร่งตำรา เมื่อปีกลายเขาได้เข้าร่วมการสอบประจำท้องถิ่น และได้รับคัดเลือกให้เป็นอันดับที่หนึ่ง ! เดิมทีเขาควรได้เป็นเจี่ยหยวน หากทุกสิ่งดำเนินการไปตามปกติ บัดนี้เขาจะต้องเตรียมเข้าร่วมการสอบ ณ เมืองซีหลิงแห่งราชวงศ์เฉิน
หากเขาได้รับคัดเลือกให้เป็นเจี่ยหยวน แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องที่ดีมากยิ่งนักสำหรับเขตเหลียงอี้ ถ้าหากว่าเขาได้รับคัดเลือกให้เป็นจิ้นซื่อต่ออีก เขาก็จะสามารถโบยบินไปในท้องนภาที่กว้างไกลดุจอินทรีได้
ต่อให้มิได้รับการคัดเลือก ทว่าจากตำแหน่งเจี่ยหยวน ก็สามารถทำให้เขาเข้ารับตำแหน่งขุนนางในวังได้เช่นกัน
ชายหนุ่มเช่นนี้ ควรได้รับการสนับสนุนมากยิ่งนัก
ด้วยเหตุนี้ นายอำเภอจี้แห่งเขตเหลียงอี้จึงได้เดินทางมายังจวนสวี อีกทั้งยังพาแม่สื่อมาด้วย แม่สื่อเอ่ยวาจาหว่านล้อมออกมามากมาย ท้ายที่สุดสวีเสี่ยวเสียนจึงได้ตอบตกลงนางไป
เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้ ทั้งสองตระกูลจึงได้ตกลงกันเรื่องหมั้นหมาย โดยฝ่ายหญิงก็คือจี้เยวี่ยเอ๋อบุตรสาวคนโตของนายอำเภอจี้
ทว่าโชคชะตากลับมิเข้าข้าง เมื่อรายชื่อถูกประกาศออกมา อย่าว่าแต่เจี่ยหยวนเลย แม้แต่รายชื่อบนป้ายประกาศก็ยังมิมีแม้แต่ชื่อของเขา !
เรื่องนี้เป็นดั่งสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางใจของสวีเสี่ยวเสียน นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็ดูเหมือนจะเป็นโรคทางจิตและมักจะวิ่งโห่ร้องไปทั่วทั้งเมืองเหลียงอี้ จนกระทั่งวันหนึ่ง...เขาก็ได้ทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงขึ้นมา ซึ่งนั่นก็คือแก้ผ้าวิ่งรอบหมู่บ้าน !
“เจ้าเด็กกำพร้าจวนสวีเสียสติไปแล้ว ! ”
“พวกเจ้ามิรู้หรอก การที่เขาตั้งอกตั้งใจศึกษาตำรามานานนับสิบปี ก็เพื่อที่จะเดินทางไปเมืองซีหลิงมิใช่หรือ ? ”
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาต้องการตรวจสอบสาเหตุการตายของบิดา ? ”
“ฮึ ๆ เวลาผ่านไป 14 ปีแล้ว จะไปตรวจสอบสิ่งใดได้กัน ? จะไปหาหลักฐานมาจากที่ใด ? อีกอย่าง...เขาเป็นเพียงพวกคลั่งตำรา จะรู้วิธีสืบคดีได้เยี่ยงไร ? ”
“ข้าได้ยินมาว่าเรื่องในครานั้นเป็นฝีมือของขุนนางในวังหลวง”
“ระวังปากของเจ้าให้ดี มันเป็นเพียงคำบอกเล่าที่เล่าต่อกันมาเท่านั้น มิได้มีหลักฐานสักหน่อย ระวังปากจะพาลหาเรื่อง ! ”
“เฮ้อ...นี่ละหนาชีวิต ! ”
สรุปโดยรวมก็คือ สวีเสี่ยวเสียนเกิดคลุ้มคลั่งเสียสติไปแล้ว
หลังจากเจ็บป่วยในครานั้น นายอำเภอจี้ก็ได้เดินทางไปยังเมืองเหลียงโจวเพื่อเชิญหมอเทวดามารักษา ทว่าการตรวจไข้ของหมอ ให้ผลว่าเขานั้นมีความผิดปกติทางจิตหรือเสียสติไปแล้วก็ว่าได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับโชคชะตา...ไร้หนทางรักษา
ผู้ที่อึดอัดใจยิ่งกว่าผู้ใดในตอนนี้ก็คือนายอำเภอจี้ ให้ตายสิ ! เขาตาบอดไปได้เยี่ยงไร
เขาคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน คิดว่าตนเองจะสามารถหาสามีที่มีความสามารถให้แก่บุตรสาวได้ ทว่าท้ายที่สุดแล้วกลับคว้าคนเสียสติมาให้ลูกสาว... มิได้การล่ะ ! จะให้บุตรสาวของตนตกลงไปในกองไฟนี้มิได้เป็นอันขาด !
เรื่องที่จี้เยวี่ยเอ๋อเดินทางไปยังทะเลสาบฉายหยุนนั้นบังเอิญถูกจือรุ่ยได้ยินเข้า ดังนั้นจือรุ่ยจึงรีบเดินทางกลับมารายงานให้แก่คุณชายทราบ นางหวังว่าคุณชายจะเดินทางไปห้ามปรามเอาไว้ บัดนี้คุณชายหมดสิ้นทุกสิ่งแล้ว จะให้เขาสูญเสียภรรยาไปอีกมิได้
อีกอย่าง สามเดือนมานี้ คุณชายก็ดูกลับมาปกติแล้วมิใช่หรือ ?
ทว่าสวีเสี่ยวเสียนมิเคยพบกับจี้เยวี่ยเอ๋อมาก่อน ดังนั้นเขาจึงมิได้สนใจ
“เรื่องเช่นนี้ อยู่ที่การตัดสินใจของนาง...เจ้าจงไปนำน้ำมาให้ข้า 1 ถัง”