ตอนที่ 3 เจรจา
จือรุ่ยชะงักงัน อยู่ที่การตัดสินใจของนางเยี่ยงนั้นหรือ ?
ในส่วนนี้มีสัญญาหมั้นหมายอยู่ เป็นกระดาษขาวเขียนด้วยหมึกดำไว้อย่างดี เมื่อหมั้นหมายแล้วหากฝ่ายหญิงคิดจะถอนหมั้นเพียงฝ่ายเดียวก็จะต้องขอทะเบียนสมรสคืนจากฝ่ายชาย มิเช่นนั้นจะกลายเป็นการตบแต่งสามีถึง 2 คน เยี่ยงนั้นคงถูกนินทาลับหลังเป็นแน่
ดังนั้นจือรุ่ยจึงมั่นใจว่านายอำเภอจี้จะต้องมาเยือนถึงหน้าประตูเรือนเพื่อเรียกคืนสัญญานั่นเป็นแน่ แต่เหมือนว่าคุณชายจะมิใส่ใจเรื่องใหญ่นี้เลยสักนิด เขาช่างโง่เขลาเสียจริง
จือรุ่ยหันหลังกลับไปยังโรงครัว หลายฝูได้มัดทั้งสามคนเอาไว้อย่างหนาแน่นแล้ว
“หลายฝูเอ๋ย”
“ขอรับ...” หลายฝูนวดแก้มข้างที่แดงและบวมเป่ง
“เจ้าเข้ามาในจวนแห่งนี้ได้ 1 ปีแล้วใช่หรือไม่ ? ”
หลายฝูโค้งกายคำนับและตอบกลับอย่างรวดเร็ว “เรียนคุณชาย...ข้าน้อยเข้ามาในจวนแห่งนี้ได้ 1 ปีกับอีก 1 เดือนแล้วขอรับ”
สวีเสี่ยวเสียนลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าพ่อบ้านจางและย่อตัวลงไป เขายื่นมือข้างหนึ่งออกไปบีบหน้าอวบอ้วนของพ่อบ้านจาง “ต่อจากนี้ เจ้าจงอยู่ที่จวนนี้ต่อไป บัดนี้ในจวนมีเพียงพวกเราสามคนเท่านั้น หากเจ้าเชื่อฟังข้า ข้าก็จะปฏิบัติต่อพวกเจ้าอย่างเป็นธรรม”
หลายฝูคุกเข่าลงกับพื้นดังตึง “ข้าน้อยจะเชื่อฟังคำสั่งของคุณชายขอรับ”
วิชาเซียนของคุณชายเมื่อครู่ น่าหวาดกลัวอย่างแท้จริง บ่าวชั่วจำนวนมากต่างก็หวาดกลัวคุณชายจนเผ่นแน่บไปแล้ว การป่วยหนักครานั้นของคุณชายราวกับได้รับพรจากเทพเจ้า เมื่อครานั้นหมอเทวดาเคยวินิจฉัยไว้ว่ามิมีทางรักษาได้แล้ว ทว่าบัดนี้คุณชายกลับมามีชีวิตเป็นปกติอีกคราแล้ว
จะต้องมีเทพเจ้ามาช่วยชีวิตคุณชายเอาไว้เป็นแน่ ทั้งยังประทานวิชาเซียนที่น่าทึ่งให้แก่คุณชายอีกด้วย ภายภาคหน้าหากติดตามคุณชายไป จะต้องมีชีวิตที่ดีขึ้นเป็นแน่
“อืม...เจ้าลุกเถิด จงปลุกเขาให้ตื่น”
หลายฝูรับน้ำที่จือรุ่ยส่งมา จากนั้นก็สาดลงไปบนใบหน้าของพ่อบ้านจางในคราเดียว พ่อบ้านจางได้สติตื่นขึ้นมา
เขาลืมตาขึ้นมามองเห็นใบหน้าอ่อนเยาว์เป็นอันดับแรก เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายแปลกไปเล็กน้อยอีกด้วย
บนใบหน้านั้นมีรอยยิ้มเย้ยหยันประดับอยู่บาง ๆ รูม่านตาหดลงเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่อีกฝ่ายปล่อยออกมา
“สุนัขเยี่ยงเจ้า สมควรที่จะขึ้นคร่อมหัวคุณชายเยี่ยงข้าหรือ ? ”
สวีเสี่ยวเสียนยื่นมือข้างหนึ่งออกไปตบหน้าพ่อบ้านจาง “ข้าเหมือนจะจำได้ว่าเจ้าชื่อจางซิ่ว เอ่ยมาสิ โฉนดที่ดินของเรือนนี้รวมถึงทรัพย์สมบัติต่าง ๆ อยู่ที่ใดกัน ? ”
“เจ้ามัน...”
“เพี๊ยะ... ! ” เสียงตบหน้าดังขึ้นมาอีกครา สวีเสี่ยวเสียนพลิกฝ่ามือตบเข้าที่ใบหน้า จนคอและศีรษะของจางซิ่วหันไปอีกด้าน จากนั้นเขาก็ได้กระอักเลือดออกมาจนเต็มปาก
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก สวีเสี่ยวเสียนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จึงให้หลายฝูไปเปิดประตู ส่วนเขายังคงย่อตัวอยู่เบื้องหน้าของจางซิ่ว บนใบหน้าของเขายังคงประดับด้วยรอยยิ้ม
“มิเห็นโลงศพมิหลั่งน้ำตาสินะ จือรุ่ย เจ้าจงไปหักกิ่งหลิวมาให้ข้า แล้วมาดูกันว่าข้าจะตีสุนัขเยี่ยงไร ! ”
จือรุ่ยแทบจะรู้สึกว่าตนเองกำลังตกอยู่ในความฝันก็มิปาน ในช่วงหลายปีมานี้ นางเคยฝันเยี่ยงนี้มาแล้วจริง ๆ ในความฝันนั้นคุณชายได้ตบตีบ่าวชั่วจนหัวหด เขาน่ายำเกรงมากยิ่งนัก
ทว่าหลังจากที่ตื่นขึ้นมาจากความฝัน คุณชายก็ยังคงเป็นคุณชายที่อ่อนแอคนเดิม
นางได้สิ้นหวังไปเนิ่นนานแล้ว นางรู้สึกว่าชั่วชีวิตนี้ของคุณชาย เกรงว่าเขาจะต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ฝ่าเท้าของบ่าวชั่วที่หลงในอำนาจ นอกเสียจากคุณชายจะกลายเป็นบุตรเขยของนายอำเภอจี้ หรือไม่คุณชายก็ต้องสอบเอาตำแหน่งจิ้นซื่อมาให้ได้ จากนั้นก็เข้ารับราชการขุนนาง
ทว่าคุณชายกลับสอบมิผ่าน มิได้เป็นแม้แต่เจี่ยหยวน ดูเหมือนว่าจะมิมีหวังกับตำแหน่งจิ้นซื่อแล้วเช่นกัน
ดังนั้นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของจือรุ่ยก็คือให้คุณชายแต่งงานกับคุณหนูตระกูลจี้ มีเพียงหนทางนี้เท่านั้น ที่บ่าวชั่วจะได้รับการลงโทษ ต่อจากนั้นคุณชายจะได้มีชีวิตอย่างที่ควรจะมีสักที
แต่ดูเหมือนว่าวันนี้ความฝันนั้นจะกลายเป็นจริงแล้ว คุณชายใช้กระบองวิเศษด้ามนั้นสยบบ่าวชั่วผู้นี้ลงได้ บัดนี้คุณชายได้เริ่มชำระสะสางแล้ว การเปลี่ยนแปลงนี้น่าตกใจมากยิ่งนัก จนถึงขั้นที่จือรุ่ยสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าท่าทีที่อ่อนแอในอดีตของคุณชายเป็นการแสร้งทำหรือไม่ ?
มิเช่นนั้น...คุณชายจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้เยี่ยงไร ?
จือรุ่ยหักกิ่งหลิวมา 10 กิ่ง จากนั้นก็นำไปส่งในศาลา สวีเสี่ยวเสียนมัดกิ่งหลิว 3 กิ่งเอาไว้ด้วยกัน
เขาใช้กิ่งหลิวตีลงไปบนใบหน้าของจางซิ่ว “อ๊าก... ! ” เสียงน่าสมเพชดังขึ้นมาพลันเกิดรอยแผลสามเส้นขึ้นบนใบหน้าของจางซิ่ว
หลายฝูเดินนำนายอำเภอจี้มาจนถึงประตูพระจันทร์เสี้ยวพอดิบพอดี เขาได้ยินเสียงร้องโหยหวนของจางซิ่วดังขึ้นมา นายอำเภอจี้สะดุ้งจนตัวโยน ต่อจากนั้นก็เห็นสวีเสี่ยวเสียนกำลังเฆี่ยนตีจางซิ่วอย่างบ้าคลั่ง
เสียงร้องโหยหวนน่าเวทนาได้ดังขึ้นมาจากปากของจางซิ่วอย่างต่อเนื่อง ในยามที่เขาเดินอย่างร้อนรนจนไปถึงศาลาหลังนี้ เสื้อผ้าอาภรณ์บนร่างของจางซิ่วก็ขาดวิ่น โลหิตไหลอาบท่วมกายของเขาเกรอะกรัง
สวีเสี่ยวเสียนได้วางก้านหลิวลง เขาสูดหายใจเข้าไปหนึ่งครา จากนั้นจึงหันไปโค้งคำนับให้กับนายอำเภอจี้ “คารวะท่านนายอำเภอ ข้ากำลังสั่งสอนบ่าวชั่วในเรือน จึงมิสามารถออกไปต้อนรับท่านได้ ท่านนายอำเภอโปรดอภัยให้ข้าด้วย”
นายอำเภอจี้คิ้วขมวดมุ่น เขาลูบเครายาวของตนเองไปมา จากนั้นก็ชี้ไปที่จางซิ่วที่ยังคงร้องโหยหวน “ต่อให้เป็นคนในจวนของเจ้าก็ตาม ทว่ามิสามารถลงไม้ลงมือให้ถึงแก่ชีวิตได้ มิเช่นนั้นคงจบมิสวยเป็นแน่”
เมื่อเอ่ยจบ นายอำเภอจี้ก็สะดุ้งขึ้นมาทันใด มิใช่ว่าสวีเสี่ยวเสียนเป็นโรคประสาทหรอกหรือ... ใช่ ! ในยามนี้เกรงว่าอาการบ้าคงจะกำเริบ
เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาจึงถอยหลังไปสองก้าว จ้องมองไปทางสวีเสี่ยวเสียนด้วยสายตาตกตะลึง มิว่าเยี่ยงไรก็ตาม มิสามารถให้บุตรีแต่งงานกับคนบ้าเยี่ยงนี้ได้เป็นอันขาด
“เรียนท่านนายอำเภอ ข้านั้นเป็นโรคประสาท ตามกฎหมายของราชวงศ์เฉินแล้ว ผู้ที่เป็นโรคประสาทต่อให้สังหารคน ก็จะมิได้รับโทษอันใด”
“ทว่าคนดูแลจะต้องรับโทษแทน ! ”
สวีเสี่ยวเสียนแสยะยิ้มพลางชี้ไปทางหลายฝู “เขาคือคนดูแลของข้า”
หลายฝูหวาดผวา บัดซบ ! มิน่าเล่าคุณชายถึงปฏิบัติต่อข้าดีถึงเพียงนี้ เดิมทีแล้วเขาต้องการให้ข้ารับโทษแทนนั่นเอง !
มิใช่ ! ข้ากลายเป็นคนดูแลของคุณชายตั้งแต่เมื่อใดกัน ?
เขาคุกเข่าลงเบื้องหน้าของสวีเสี่ยวเสียนดังตึง จากนั้นก็กอดขาของสวีเสี่ยวเสียนเอาไว้แน่น ก่อนจะเอ่ยออกมาพร้อมน้ำตา “คุณชาย คุณชายขอรับ ข้าน้อยยังมิ 18 ...”
เจ้าหมอนี่มิรู้จักให้ความร่วมมือเอาเสียเลย ภายภาคหน้าคงต้องฝึกฝนให้มากขึ้นสักหน่อยแล้ว
สวีเสี่ยวเสียนสะบัดขาออกจากการเกาะกุมจนหลายฝูกระเด็นออกห่าง จากนั้นก็หยิบกิ่งหลิวที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา “เอ่ยออกมาสิ ข้าเป็นโรคประสาทใช่หรือไม่ ? ”
“ใช่ ๆ ๆ ขอรับ... ! ”
“เจ้าคือคนดูแลข้าใช่หรือไม่ ? ”
หลายฝูรู้สึกอยากตายขึ้นมา “คุณชาย ข้าน้อยมิใช่ผู้ดูแลของคุณชายจริง ๆ นะขอรับ”
เจ้าสุนัขนี่ !
สวีเสี่ยวเสียนขบกรามอย่างนึกชิงชัง ในตอนที่คิดจะยกแส้ขึ้นมาเฆี่ยนเจ้าหมอนี่ นายอำเภอจี้ก็รีบเข้ามาขวางไว้เสียก่อน
เขามีเรื่องสำคัญต้องรีบจัดการ คงจะน่าอับอายหากบุตรีโยนลูกบอลแพรปักออกไปแล้ว แต่ยังมิได้รับสัญญาหมั้นหมายนั่นกลับคืนมา
“วันนี้ข้ามาเพราะมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะเจรจากับเจ้า”
“เชิญท่านนั่งก่อนเถิด”
“อ่า...มิจำเป็นต้องนั่งหรอก ข้ายังมีงานที่ศาลาว่าการอยู่อีก เป็นเรื่องเล็ก ๆ เท่านั้น บุตรสาวของข้าจี้เยวี่ยเอ๋อได้พบเจอคนที่ถูกตาต้องใจมาเนิ่นนานแล้ว ทว่าในยามที่ข้ามาหารือเรื่องหมั้นหมายกับเจ้าในตอนนั้น ข้ายังมิทราบถึงเรื่องนี้ ดังนั้น...”
สวีเสี่ยวเสียนหัวเราะขึ้นมา “เป็นเรื่องเล็กน้อยจริง ๆ ด้วย”
นายอำเภอจี้ยิ้มระรื่นขึ้นมาทันใด ถือว่าคนบ้าผู้นี้ยังมีเหตุผลอยู่บ้าง “แล้วสัญญานั่นเล่า...”
“รอประเดี๋ยว” สวีเสี่ยวเสียนเอ่ยขัด จิตใจของนายอำเภอจี้สั่นสะท้านขึ้นมาทันใด หรือว่าสวีเสี่ยวเสียนจะเปลี่ยนใจ ทว่าต่อจากนั้นก็ได้ยินสวีเสี่ยวเสียนเอ่ยว่า “บ่าวชั่วผู้นี้คือพ่อบ้านในจวนของข้า เป็นบ่าวชั่วที่รังแกนายมาเป็นเวลานาน เขายึดครองทรัพย์สินในจวนไปทั้งหมด ทั้งยังข่มเหงข้ามาจนถึงตอนนี้ ข้าต้องการให้บ่าวผู้นี้ตาย...มิทราบว่าท่านนายอำเภอคิดเห็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
นายอำเภอจี้ตกตะลึงขึ้นมาทันใด เจ้าหมอนี่ต้องการใช้ทะเบียนสมรสซื้อชีวิตบ่าวชั่วผู้นี้เยี่ยงนั้นหรือ ?
ดวงตาเล็กกลอกกลิ้งไปมาพลางลูบเคราแพะบนมุมปากของตนเอง เขานิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อยและจ้องมองไปทางสวีเสี่ยวเสียน “ข้าจะถือเสียว่ามิเคยพบเห็น”
“ไม่... ! ” สวีเสี่ยวเสียนส่ายหน้า “ข้าคิดว่าบ่าวชั่วผู้นี้สมควรตายอยู่ในคุกของที่ว่าการเขต”
นายอำเภอจี้ขมวดคิ้วมุ่น ลำคอตั้งตรงขึ้นมา ดวงตายังคงจับจ้องไปที่สวีเสี่ยวเสียน เจ้าหมอนี่คิดมาดีเลยทีเดียว หากบ่าวชั่วผู้นี้ตายในคุกก็จะมิเกี่ยวข้องอันใดกับเขาเลยแม้แต่น้อย นักโทษที่ตายในคุกก็มีให้เห็นอยู่ร่ำไป เพื่อชีวิตอันแสนสุขของบุตรี...เรื่องนี้มิได้ยากเกินความสามารถของเขา
เมื่อจางซิ่วได้ยินดังนั้นก็ตื่นกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ “คุณชาย คุณชายขอรับ...”
เขาถูกมัดในท่าคุกเข่ากับพื้น เขาพยายามเคลื่อนไปด้านหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาอ้าปากที่เต็มไปด้วยเลือดแล้วเอ่ยออกมาว่า “คุณชาย ข้าน้อยสมควรตาย ! ข้าน้อยสมควรตาย ! ข้าน้อยจะบอกที่เก็บทรัพย์สมบัติที่ชิงมาให้แก่คุณชายทั้งหมดขอรับ”
สวีเสี่ยวเสียนหันกลับมามองจางซิ่ว รอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเขา “คิดดีแล้วหรือ ? ”
“ข้าน้อยคิดดีแล้วขอรับ คุณชายโปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิด ข้าน้อยยังมีแม่อายุ 80 ...”
“เลิกเอ่ยวาจาไร้สาระได้แล้ว จือรุ่ย หลายฝู เจ้าทั้งสองคุมตัวบ่าวชั่วผู้นี้ไปตามทรัพย์สมบัติทั้งหมดกลับคืนมา ข้าจะรออยู่ที่นี่กับท่านนายอำเภอ”
หลายฝูรู้สึกราวกับได้รับการอภัยโทษ เขารีบกุลีกุจอขึ้นมาจากพื้น จากนั้นก็คุมตัวจางซิ่วเดินออกไปทางประตูพระจันทร์เสี้ยว สวีเสี่ยวเสียนจึงเชิญนายอำเภอจี้นั่งลงอีกครา
เขาต้มชาสมุนไพรใหม่อีกหนึ่งกา โดยมิสนใจสายตาของนายอำเภอจี้ที่มองมาทางเขา “อำนาจของท่านนายอำเภอ เมื่อครู่ท่านก็ได้ยินบ่าวชั่วผู้นี้สารภาพผิดแล้ว ท่านสามารถตัดสินคดีได้แล้วใช่หรือไม่ ? ” เขารินชาให้นายอำเภอจี้หนึ่งจอก จากนั้นก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “โทษประหาร ! ”
“ความผิดเท่านี้ยังมิสามารถตัดสินให้ตายได้ ! ”
“ข้าคิดว่าเป็นการตายโดยอุบัติเหตุ อย่างเช่น...ฆ่าตัวตาย จุกอกตาย หรือดื่มน้ำจนสำลักตาย”
นายอำเภอจี้ที่เพิ่งยกจอกชาขึ้นมาก็ได้วางกลับลงไปดังเดิม สวีเสี่ยวเสียนเงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “ในเรื่องนี้ท่านนายอำเภอย่อมชำนาญกว่าข้า เรื่องนี้คงต้องรบกวนท่านแล้ว เพราะข้าถูกบ่าวชั่วผู้นั้นข่มเหงมามิน้อยเลยทีเดียว”
เขาลุกขึ้นยืน “ข้าจะไปนำสัญญามาให้นายท่าน”
เขาจ้องมองไปยังแผ่นหลังของสวีเสี่ยวเสียน รอยย่นได้ปรากฏขึ้นเหนือคิ้วของนายอำเภอจี้บาง ๆ เขาทราบเรื่องบ่าวชั่วข่มเหงนายในจวนสวีดี เยี่ยงไรเสียเมืองเหลียงอี้ก็มิได้ใหญ่โต ทว่าชาวเมืองมิได้แจ้งต่อทางการ ทางการเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ เดิมทีเขาคิดว่าหากบุตรีแต่งงานกับเขาแล้ว ตนจะตามไปจัดการบ่าวชั่วในคราเดียว คาดมิถึงว่าวันนี้จะเห็นเขาลงมือด้วยสายตาของตนเอง ดังนั้นแท้จริงแล้วเขาเป็นบ้าจริง ๆ หรือแสร้งบ้ากันแน่ ?
มีคนบ้าประสาทเสียที่ฉลาดถึงเพียงนี้ด้วยหรือ ?
หรือหมอเทวดาจะวินิจฉัยผิด ?
เด็กหนุ่มผู้นี้ยืมอำนาจของตนทำให้บ่าวชั่วนั้นยอมจำนน แน่นอนว่าหากตนมิได้มาในวันนี้ เกรงว่าเขาคงจะตีจนบ่าวชั่วนั่นยอมจำนนด้วยตนเอง
ทั้งยังอยากให้บ่าวชั่วผู้นั้นตกตายอยู่ในคุก... ความคิดนี้แม้แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าโหดร้ายเป็นอย่างมาก
ในยามที่นายอำเภอจี้กำลังครุ่นคิดบางอย่าง สวีเสี่ยวเสียนก็ได้นำสัญญาหมั้นหมายมามอบให้กับนายอำเภอจี้อย่างนอบน้อม “ยังมีบ่าวชั่วอีก 2 คน รบกวนนายท่านพาตัวเข้าคุกไปด้วยเลย สองคนนี้จะเป็นหรือตายนั้น...ทั้งหมดแล้วแต่ท่านจะเห็นสมควร ! ”
นายอำเภอจี้รับสัญญาหมั้นหมายกลับไป ลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่อยู่ในใจ เขาสอดสัญญาหมั้นหมายเข้าอกเสื้ออย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ได้เอ่ยถามขึ้นมาว่า “โรคของเจ้า...เป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“เรียนนายท่าน อาการกำเริบเป็นบางครา ยากที่จะควบคุมตนเองได้”
เขาย่อมมิอาจยอมรับความจริงได้ หนังสือรับรองโรคประสาทฉบับนั้นสำคัญเป็นอย่างมาก หากทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จะได้อาศัยของชิ้นนี้เพื่อพ้นโทษ เพียงแต่ว่า...คงต้องปฏิบัติต่อหลายฝูให้ดีขึ้นอีกสักเล็กน้อยแล้ว !
“เฮ้อ...หากโรคของเจ้าหายดีแล้วจริง ๆ อาศัยความรู้ความสามารถของเจ้าเข้าร่วมการสอบเซียงฉื้ออีกครา ย่อมสามารถเป็นจวี่เหรินได้อย่างแน่นอน และหากได้ข้าแนะนำอีกสักเล็กน้อย เจ้าย่อมสามารถเข้ารับตำแหน่งขุนนางได้เป็นแน่”
เป็นขุนนางเยี่ยงนั้นหรือ ?
ลืมไปเถิด อุดมการณ์ที่ใหญ่ที่สุดในชาติที่แล้วมิใช่ว่าอยากมีชีวิตอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้หรอกหรือ ?
จวนหลังใหญ่สามทางเข้าที่หรูหรา มีบ่าวรับใช้ชายหนึ่งหญิงหนึ่งคอยปรนนิบัติ ต่อจากนี้เวลาออกจากจวนก็จะมีรถม้าที่หรูหรา หากเจ้าชั่วจางซิ่วยังมิใช้เงินห้าพันนั้นจนหมดไป เขาก็จะนำไปซื้อที่นาและตั้งตนเป็นเจ้าของที่ดิน ใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างอิสระและสบายใจ รายได้ของนายอำเภอต่อเดือนมิเกินสองหรือสามตำลึงหรอก
บัดนี้เขาได้เกษียณตอนอายุ 17 ปี เขาจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มในทุก ๆ วัน !
เว้นเสียแต่ว่าข้าจะเสียสติไปแล้วจริง ๆ นั่นแหละ ถึงจะไปเป็นขุนนางเพื่อสร้างความลำบากใจให้แก่ตนเอง
“ความกรุณาของท่าน ข้าน้อยได้รับเอาไว้แล้ว ข้าเองก็อยากจะใช้สิ่งที่เรียนรู้มาทั้งชีวิตตอบแทนราชสำนัก ทว่าถึงเยี่ยงไรก็มีเพียงความตั้งใจแต่ไร้ซึ่งกำลัง”
นายอำเภอจี้รู้สึกเสียใจเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นยืน “เอาเถิด ฝานจือเอ๋ย ข้าเป็นหนี้น้ำใจเจ้า ภายภาคหน้าหากมีเรื่องอันใด เจ้าสามารถไปหาข้า ณ ที่ว่าการได้ ข้าจะช่วยเหลือเจ้าเอง”
“ประเดี๋ยวข้าจะส่งเจ้าหน้าที่มารับบ่าวชั่วทั้งหลาย หากฝานจือมิสะดวก ก็ให้บ่าวรับใช้ไปลงบันทึกที่ศาลาว่าการด้วยก็แล้วกัน”
“ขอบพระคุณท่านนายอำเภอมากยิ่งนักขอรับ ! ”
ทันใดนั้นเอง บุคคลที่น่าจะเป็นผู้ช่วยคนหนึ่งก็ได้ปรี่เข้ามาอย่างร้อนรน
“นายท่าน นายท่านขอรับ พบศพที่ทะเลสาบฉายหยุนขอรับ ! ”
ทันใดนั้นนายอำเภอจี้ก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันใด ผู้ช่วยคนนั้นยังเอ่ยอีกว่า “เป็นพระสงฆ์ขอรับ ! ”