ตอนที่ 6 น่าขันสิ้นดี
“จี้เยวี่ยเอ๋อผู้นั้นมีรูปลักษณ์เยี่ยงไรกัน ? ”
จือรุ่ยชะงักงันเล็กน้อย “บ่าวเองก็มิเคยพบนางมาก่อน ทว่าได้ยินเรื่องคุณหนูใหญ่ของจวนจี้มาบ้างเจ้าค่ะ”
สวีเสี่ยวเสียนรู้สึกสนอกสนใจขึ้นมา “ไหนลองเล่ามาสิ”
จือรุ่ยครุ่นคิดอยู่ในใจว่า สัญญาหมั้นหมายก็ได้ยกเลิกไปแล้ว เหตุใดถึงได้เอ่ยถามเรื่องคุณหนูใหญ่จวนจี้อีก มาเอ่ยถามตอนนี้จะไปมีประโยชน์อันใดกัน ? จะมิเป็นการหาเรื่องปวดหัวให้ตนเองเปล่า ๆ หรอกหรือ
“จวนจี้มีบุตรสาว 2 คน จี้เยวี่ยเอ๋อเป็นบุตรสาวคนโต ส่วนน้องสาวมีนามว่าจี้ซิงเอ๋อ ได้ยินมาว่าคุณหนูเยวี่ยเอ๋อ อาจารย์ของนางคือจางหวงกงซึ่งมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก เขาเดินทางมาจากเมืองฉางอัน บ่าวยังได้ยินมาอีกว่าพี่น้องสองคนนี้รูปร่างหน้าตางดงามมากยิ่งนัก เป็นดั่งผกาคู่แห่งเขตเหลียงอี้ของเรา”
ฝาแฝดเยี่ยงนั้นหรือ ?
ผกาคู่ ?
สวีเสี่ยวเสียนนึกถึงภาพนายอำเภอจี้ที่มีเคราสองข้างแก้ม จากนั้นก็ยกยิ้มขึ้นมา เขาครุ่นคิดอยู่ในใจว่าสาวใช้ผู้นี้เข้าใจเกี่ยวกับผกาคู่ผิดไปหรือไม่ ?
เมื่อเห็นท่าทางราวกับมิเชื่อของคุณชาย จือรุ่ยจึงกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้นแล้วเอ่ยต่อว่า “สำนักศึกษาจูหลินที่คุณชายเข้าศึกษา ก็มีนักเรียนจำนวนมากชื่นชอบในความสามารถและรูปโฉมที่งดงามของคุณหนูเยวี่ยเอ๋อมิใช่หรือเจ้าคะ ? ได้ยินมาว่าเทศกาลไหว้พระจันทร์เมื่อปีกลาย สำนักศึกษาจูหลินได้เฉลิมฉลองครบสามร้อยปีแห่งการก่อตั้งและได้จัดงานกวีจูหลินขึ้น ทั้งยังได้เชิญท่านจางหวนกงไปด้วย จางหวนกงได้พาคุณหนูเยวี่ยเอ๋อไปร่วมงานด้วย บทกวีของคุณหนูเยวี่ยเอ๋อทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง ทั้งยังได้รับรางวัลชนะเลิศอีกด้วย...เรื่องนี้คุณชายควรจะรู้นะเจ้าคะ ! ”
ข้าควรรู้เยี่ยงนั้นหรือ ?
เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้เขาควรจะรับรู้สิ ทว่าเหตุใดถึงมิมีความทรงจำนี้อยู่เลยเล่า ?
ในตอนนั้นเจ้างั่งนั่นทำอันใดอยู่กัน ?
สวีเสี่ยวเสียนจัดระเบียบความทรงจำในสมอง ทว่ามิมีความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับกวีบทนั้นเลยแม้แต่น้อย เขาคิดในใจว่าเจ้าหนอนหนังสือนี่ใช้ชีวิตอย่างมิสนอกสนใจผู้ใด ช่างไร้เดียงสาเสียจริง
รถม้าแล่นออกไปจากตรอกเหลียงเยวี่ย ด้านนอกเริ่มครึกครื้นขึ้นมาเล็กน้อย สวีเสี่ยวเสียนจึงเอื้อมมือไปเลิกม่านขึ้นเพื่อดูข้างทาง พบว่าส่วนใหญ่เป็นร้านอาหาร บัดนี้เป็นเวลายามอู่พอดีจึงทำให้ครึกครื้นเป็นพิเศษ
จือรุ่ยเอ่ยว่าที่เขตเหลียงอี้มีถนนทางขวาง 3 สาย ทางยาว 3 สาย รวมกันเป็น 6 สาย ในยามกลางวันถนนสายที่คึกคักที่สุดจะเป็นถนนตลาดตะวันตก ที่นั่นมีสินค้ามากมายตระการตา ส่วนในยามราตรีนั้นสถานที่ที่ครื้นเครงที่สุดคือตรอกต้านสุ่ยและตรอกหลานกุย ที่นั่นมีหอนางโลมเพียงหนึ่งเดียวในเขตเหลียงอี้ !
ที่ตรอกต้านสุ่ยยังมีภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดในเขตเหลียงอี้อีกด้วยชื่อว่า...หอต้านสุ่ย !
ภัตตาคารเยี่ยงนั้นหรือ ?
ดวงตาของสวีเสี่ยวเสียนเป็นประกายขึ้นมาทันใด จากนั้นก็เหลียวซ้ายแลขวา หากว่าเขายังหาสถานที่ที่เหมาะสมในการทำการค้ามิได้ก็คงต้องไปที่หอต้านสุ่ยดู
เขามิได้จะไปกินอาหารที่หอต้านสุ่ย ทว่าเขามั่นใจเสียเหลือเกินว่าฝีมือการทำอาหารของตนมิแพ้ผู้ใด หากจะนำมาหลอกล่อคนโบราณคงมิใช่ปัญหาอันใด หากนำสูตรอาหารไปขายให้แก่หอต้านสุ่ย คาดว่าคงจะแลกเงินได้บ้างเล็กน้อย
ส่วนที่ตรอกหลานกุย...หอนางโลมก็เป็นสถานที่ที่มิเลวเลย ทว่าบัดนี้ในกระเป๋ามิมีเงิน จะให้เขาเชิดอกอย่างลูกผู้ชายได้เยี่ยงไรกัน
ดังนั้น...เวลานี้มิใช่เวลาที่จะมาคิดเรื่องอย่างว่า
เขตชนบทนั้นมิได้ใหญ่โตมากนัก เวลาเพียงชั่วครู่ รถม้าก็วิ่งมาถึงถนนตลาดตะวันตก สวีเสี่ยวเสียนและจือรุ่ยลงมาจากรถม้า พบว่าบนถนนมีผู้คนพลุกพล่านมากมาย
วันนี้เป็นวันที่สามเดือนสาม อากาศดียิ่งนัก ส่วนใหญ่บนท้องถนนเป็นสตรีที่แต่งกายงดงามเดินขวักไขว่ไปมา มองดูแล้วขนบธรรมเนียมของที่นี่คงจะเปิดกว้างมิน้อย
ทั้งสองคนเดินไปบนถนนที่ปูด้วยหินสีเขียว ทั้งสองด้านมีบ้านเรือนสองชั้นเรียงรายเป็นระเบียบ ชั้นหนึ่งเป็นประตูเรือน ชั้นสอง...ชั้นสองมีธงโบกสะบัดส่วนใหญ่เป็นหอน้ำชา ทว่าเป็นที่พักอาศัยของชาวบ้านเสียส่วนใหญ่
เขาเงยหน้าขึ้นมองไม้ไผ่ที่ค้ำหน้าต่างเอาไว้ตรงชั้นสอง โชคดีที่มิมีไม้ไผ่หล่นลงมากระทบกับศีรษะของเขา
สวีเสี่ยวเสียนมองดูด้วยความสนใจ มีร้านขายผ้า ร้านขายทอง ร้านเครื่องสำอางและร้านขายของชำ
เขาพาจือรุ่ยเดินเข้าไปในร้านขายผ้าที่มีนามว่าร้านผ้าไหมตระกูลจู ร้านผ้าร้านนี้กว้างขวางเป็นอย่างมาก ถูกตกแต่งอย่างละเอียดประณีต ด้านในมีสตรีนางหนึ่งกำลังเลือกผ้าโดยมีบ่าวรับใช้คอยติดตาม หลงจู๊ชราคนหนึ่งเดินเข้าไปแนะนำเนื้อผ้าให้แก่นางอย่างนอบน้อมว่า “คุณหนูโจวขอรับ ผ้าเหล่านี้เพิ่งจะส่งมาถึงเมื่อวาน ซึ่งถักทอโดยตระกูลซูแห่งซูโจว เป็นผ้าซูของแท้แน่นอนขอรับ ! ”
หลงจู๊สะบัดผ้าเบา ๆ แล้วเอ่ยว่า “คุณหนูดูสีสันความเงางามของเนื้อผ้าสิขอรับ ลวดลายที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ ให้สัมผัสที่อ่อนนุ่มมากยิ่งนัก หากนำไปให้ช่างตัดผ้าชั้นดีตัดเป็นชุด จะต้องเป็นกระโปรงที่งดงามที่สุดอย่างแน่นอนขอรับ”
สตรีนางนั้นดูชื่นชอบมากเช่นกัน “เช่นนั้นข้าขอผ้าพับนี้ อ้อ ! พับนี้ด้วย อืม...นี่ก็มิเลว เอามาให้ข้าทั้งหมดแล้วให้คนนำไปส่งที่ร้านหลิวอีโส่ว ข้าฝากบอกหลิวอีโส่วด้วยว่า วันพรุ่งนี้เชิญไปที่จวนข้าเพื่อตัดชุดใหม่ เอาล่ะ...ข้าต้องไปแล้ว”
“ขอรับ ข้าน้อยจะรีบไปจัดการประเดี๋ยวนี้”
แม่นางแซ่โจวผู้นั้นหันหลังเดินจากไปอย่างช้า ๆ ก่อนจะยกยิ้มขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ไปกันเถิด เยวี่ยเอ๋อรอข้าอยู่ที่ทะเลสาบฉายหยุนแล้ว ฮึ ๆ...”
นางยังมิทันเอ่ยจบ ภายในร้านก็ปรากฏร่างของชายหนุ่มที่แต่งกายดูดี 2 คนเข้ามา
ชายหนุ่มคนหนึ่งดวงตาเป็นประกายแวววับ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “รั่วหลาน ? เมื่อครู่เจ้าได้ยินหรือไม่ นางเอ่ยว่าเยวี่ยเอ๋ออยู่ที่ทะเลสาบฉายหยุนใช่หรือไม่ ? ”
“พี่ใหญ่ ท่านเป็นอันใดไป ? สูญเสียจิตวิญญาณเมื่อได้ยินชื่อของเยวี่ยเอ๋อหรือเยี่ยงไร ? ”
“นางหมั้นหมายกับเจ้าบ้านั่นมิใช่หรือ ? เหตุใดนางถึงไปที่ทะเลสาบฉายหยุนเล่า ? ”
“ช่างมิรู้อันใดเสียแล้ว นายอำเภอจี้จะยอมให้เยวี่ยเอ๋อออกเรือนกับคนบ้าได้เยี่ยงไรกัน ? เมื่อวานนี้เยวี่ยเอ๋อเอ่ยกับข้าว่า บัดนี้นายอำเภอจี้ได้ขอถอนคืนสัญญาหมั้นหมายกับจวนสวีแล้ว ดังนั้นเยวี่ยเอ๋อจึงกลับมาเป็นอิสระอีกครา คุณชายจูควรจับตามองสักหน่อย หากเยวี่ยเอ๋อโยนลูกบอลแพรปักไปแล้วจะมานั่งเสียดายมิได้แล้วนะ ! ”
คุณชายจูรู้สึกยินดีมากยิ่งนัก เขาหันหลังกลับไปยกมือขึ้นคารวะชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลัง แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “คุณชายซู...พวกเราเดินทางไปที่ทะเลสาบฉายหยุนดีหรือไม่ ? ”
คุณชายซูยืนเอามือไล่หลัง สีหน้านิ่งเรียบดุจไก่ตัวผู้ขนงามที่หยิ่งผยองตอบกลับไปว่า “ตามใจ”
“เช่นนั้นก็ไปกันประเดี๋ยวนี้เลยเป็นเยี่ยงไร ! ”
ทั้งสองคนจึงหันหลังเดินออกไปจากร้าน โจวรั่วหลานจ้องมองไปยังร่างของชายหนุ่มแซ่ซูผู้นั้นด้วยสายตาประหลาดใจ
ตระกูลจูเป็นตระกูลเศรษฐีอันดับหนึ่งของเขตเหลียงอี้ ทำการค้าผ้าที่ใหญ่ที่สุดในเขตนี้ โดยทั่วไปแล้วคุณชายจูมักมีนิสัยหยิ่งผยอง ทว่ากลับมีท่าทีนอบน้อมต่อคุณชายซูเช่นนี้ เขตเหลียงอี้มิได้กว้างขวางสักเท่าใดนัก ทว่านางมิเคยพบคุณชายแซ่ซูผู้นี้มาก่อน ประกอบกับเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่นั้นเป็นผ้าทอซูอย่างแท้จริง...หรือเขาจะเป็นคนจากจวนซูแห่งซูโจวกัน ?
ในขณะที่โจวรั่วหลานเดินออกไปข้างนอก นางได้บังเอิญพบเข้ากับสวีเสี่ยวเสียน นางเพียงชายตามองเท่านั้น มิได้เก็บมาใส่ใจ
สวีเสี่ยวเสียนได้ยินเรื่องราวทั้งหมดอย่างชัดเจน เขารู้สึกตกตะลึงมากยิ่งนัก จี้เยวี่ยเอ๋อไปร่วมโยนลูกบอลแพรปักที่ทะเลสาบฉายหยุนจริง ๆ หรือ ? นางคงมีตัวเลือกมากมายเลยสินะ !
ส่วนจือรุ่ยได้แต่เหล่ตามองคุณชาย นางครุ่นคิดอยู่ในใจว่าคุณชายคนเมื่อครู่แย่งคู่หมั้นไปจากคุณชาย ทว่าคุณชายเป็นคนปล่อยนางไปง่าย ๆ เอง จะไปโทษผู้ใดได้เล่า ?
สวีเสี่ยวเสียนเลิกคิ้วขึ้นพลางนึกไปถึงหน้าตาของนายอำเภอจี้ที่มิต่างอันใดกับลิง เขารู้สึกว่าคนโบราณนี่ตาต่ำเสียจริง
“หลงจู๊ ผ้าพับนี้ขายเยี่ยงไร ? ”
เขายื่นมือไปสัมผัสกับเนื้อผ้า มันลื่นและเย็นสบายเป็นอย่างมาก
“คุณชายขอรับ ผ้าชนิดนี้หนึ่งพับราคา 10 ตำลึง ท่านลองดู...”
“อืม...ข้ามิดูแล้ว ข้ายังมีธุระอื่นอีก”
สวีเสี่ยวเสียนหันหลังเดินจากไป ในใจของเขาตะโกนร่ำร้องเสียงดังว่า แม่นางเมื่อครู่ซื้อผ้าคราเดียวสามสี่พับ เงิน 30 ตำลึงนางมิได้แม้แต่จะเอ่ยถามราคา !
ช่างสร้างความอับอายให้แก่ข้าผู้ทะลุมิติมาเสียเหลือเกิน น่าขันสิ้นดี !
ให้ตายเถิด ! เงินมิใช่ทุกสิ่งจริง ๆ ทว่าหากมิมีเงินก็มิอาจทำสิ่งใดได้เลย !
ดังนั้นจำต้องหาเงิน !
เขาต้องหาเงินให้มาก ๆ !
สวีเสี่ยวเสียนตั้งใจอย่างแน่วแน่ ทว่าเขามิรู้หรอกว่าหลงจู๊ผู้นั้นได้หัวเราะเยาะเขาออกมา ชายหนุ่มคนเมื่อครู่สวมเพียงผ้าลินินธรรมดา ๆ เท่านั้น แล้วเขาจะเอาเงินจากที่ใดมาซื้อผ้าชั้นดีเช่นนี้กัน ?