ตอนที่ 9 จิตใจของหญิงสาว
“ท่านพี่...”
จ้าวลี่อิงนั่งอยู่บนพื้นหญ้า มิใช่สิ ! ก้นของจี้ซิงเอ๋อยังคงเจ็บอยู่ นางได้เอ่ยถามด้วยใบหน้าทะมึน “เจ้าจะบอกว่าข้าถูกชายผู้นั้นหลอกเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
จี้เยวี่ยเอ๋อปิดปากแล้วกระตุกยิ้มขึ้นมาทันใด จนจูจ้งจี๋ที่นั่งมองจากฝั่งตรงข้ามใจกระตุกขึ้นมา นางรู้สึกว่าแม้แต่วิญญาณของตนเองก็ได้หายไปแล้ว
สายตาของคุณชายสูงศักดิ์ซูผิงอันที่นั่งอยู่ข้างเขาจดจ้องไปทางจี้ซิงเอ๋อร์ในชุดสีแดงอย่างมิลดละ ว่ากันว่าเจียงหนานมีสตรีงามดั่งภาพวาด คาดมิถึงว่าพื้นที่ยากจนที่อยู่ไกลโพ้นจะมีดอกไม้งามจนทำให้ใจสั่นอย่างสองพี่น้องคู่นี้ !
สตรีงามแห่งเจียงหนานส่วนใหญ่จะอ่อนโยน พี่สาวนามจี้เยวี่ยเอ๋อผู้นั้นมองดูแล้วเป็นคนนิสัยเรียบง่าย งดงามและอ่อนโยนเป็นอย่างมาก ทว่าน้องสาวของนางจี้ซิงเอ๋อกลับต่างกันคนละขั้ว นางบ้าระห่ำอยู่หลายส่วน ราวกับม้าป่าที่เลือดร้อน...ข้าชื่นชอบมากยิ่งนัก !
“เจ้าลองคิดดูสิ เจ้าเอ่ยว่าเขาเป็นชายหนุ่มอายุสิบหกสิบเจ็ดปี อุบัติเหตุก็มิได้รุนแรง ขนาดเจ้าลอยไปตกอยู่ตั้งไกลก็มิได้เป็นอันใดนี่ แล้วเขาจะหมดสติอย่างกะทันหันได้เยี่ยงไรกัน ? ”
“คงเพราะจะหลอกเอาเงินเจ้านั่นแหละ... แต่เยี่ยงไรเสีย เจ้าไปชนเขา ทั้งยังทำหลังคารถม้าของเขาพัง ก็สมควรแล้วที่จะต้องชดใช้”
จี้ซิงเอ๋อสูดหายใจเข้าลึก ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย สายตาเย็นเยียบ หน้าตาถมึงทึง “เชร้ง ! ” นางชักดาบออกมา ทันทีที่แสงอันเย็นเยียบสาดส่อง นางก็ได้ตวัดดาบไปตัดดอกไม้ป่าสองดอกจนปลิวว่อน จากนั้นก็ปักดาบด้ามลงกับพื้นธรณีดัง ฉึก ! นางขบกรามแน่นแล้วเอ่ยออกมาว่า “เหอะ หากมาให้ข้าพบเจออีกครา ดูสิว่าข้าจะจัดการเขาเยี่ยงไร ! ”
ซูผิงอันที่ได้เห็นเช่นนั้น ก็สะดุ้งโหยงขึ้นมาทันใด เขารู้สึกหนาวสั่นขึ้นมา จากนั้นก็ยกมือไปกอบกุมบริเวณเป้ากางเกง เขาหนีบขาเข้าหากันแน่นโดยมิรู้ตัว แกร่งกล้าเกินไปแล้ว เกินกว่าจะควบคุมได้ !
“เจ้านี่นะ ชายหนุ่มผู้นั้นถือว่าจิตใจดี ข้ากังวลว่าเจ้าจะขาดทุนยิ่งกว่านี้ ช่างมันเถิด นี่มิใช่ปัญหาใหญ่อันใดเลย”
จี้ซิงเอ๋อร์ขบเม้มริมฝีปาก “เงินค่าขนมของข้าหมดแล้ว นี่เพิ่งจะวันที่สามเท่านั้นเอง แล้วข้าจะใช้ชีวิตต่อไปได้เยี่ยงไรเล่า”
“เมื่อกลับถึงจวนแล้ว ข้าจะให้เจ้าเอง”
จี้ซิงเอ๋อยิ้มระรื่นพลางกอดแขนพี่สาวเอาไว้ “ข้าทราบอยู่แล้วว่าท่านพี่ต่างหากที่ดีกับข้าที่สุด”
โจวรั่วหลานที่นั่งอยู่อีกด้าน จ้องมองจูจ้งจี๋ที่จ้องจี้เยวี่ยเอ๋ออย่างเหม่อลอย จากนั้นก็ผละสายตามามองใบหน้าของจี้เยวี่ยเอ๋อ“เยวี่ยเอ๋อ ในเมื่อเจ้าโง่รู้จักวางตนและทำการคืนสัญญาหมั้นหมายมาแล้ว เหตุใดเจ้าถึงมิโยนลูกบอลแพรปักกันเล่า ? ”
“เรื่องของความรู้สึกคือโชคชะตา ข้ามิได้เร่งรีบ”
“มิเร่งรีบ แต่ข้าเป็นห่วงเจ้า ! เยวี่ยเอ๋อ แท้จริงแล้วเจ้าชอบคนแบบใดกัน ? ”
“ข้าเองก็มิรู้เช่นกัน แค่สามารถดีกับข้าไปทั้งชีวิตได้ก็พอแล้ว... แน่นอนว่าหากเขามีความสามารถด้านการประพันธ์ ทั้งยังมีความมุ่งมั่นอันยิ่งใหญ่ด้วยแล้วก็จะดีเป็นอย่างยิ่ง เยี่ยงไรเสีย...” จี้เยวี่ยเอ๋อผุดยิ้มออกมา พลางครุ่นคิดว่าคนลักษณะเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง เกรงว่าจะมิมีในเขตเหลียงอี้แห่งนี้ “ช่างเถิด ให้เป็นเรื่องของโชคชะตาเถิด”
ดวงตาของจูจ้งจี๋มองตรง ราวกับก้อนหินที่หนักอึ้งในใจได้หายไปแล้ว เจ้าโง่ได้คืนสัญญาหมั้นหมายแล้ว จี้เยวี่ยเอ๋อเป็นอิสระแล้ว เยี่ยงนี้ตนก็ถือว่ามีโอกาสสินะ
เขากำลังครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ ทว่าจี้ซิงเอ๋อกลับจ้องเขาตาเขม็ง “มองอันใด ? เจ้าอย่าได้คิดอันใดกับพี่สาวของข้าเป็นอันขาด พี่สาวของข้าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ เจ้ามิมีความสามารถด้านใดเลย เมื่อใดที่เจ้าสามารถประพันธ์บทกวีบทความออกมาได้ดีกว่าพี่สาวของข้าแล้วค่อยมาสนทนากัน เหอะ...ผู้ชาย ! ”
ผู้ชาย !
ทันใดนั้นภาพของชายคนนั้นก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของนาง !
ดวงตาคู่นั้นและท่าทางน้ำลายไหลนั่น ช่างน่าเกลียดเสียจริง !
เขาเอาแต่จินตนาการถึงเรือนร่างของหญิงสาว !
ทั้งยังเอาเปรียบข้าผู้นี้อีกด้วย !
เขาหลอกเอาเงินข้า !
ช่างน่ารังเกียจสิ้นดี !
ซูผิงอันเม้มปากแน่น กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ สองขาหนีบเข้าหากันแน่นมากยิ่งขึ้นไปอีก
จูจ้งจี๋รีบดึงสายตากลับมาพลางยกยิ้มอย่างเขินอาย “เวลาก็ได้ล่วงเลยมามากแล้ว ข้าได้จองโต๊ะอาหารไว้ที่หอต้านสุ่ยเพื่อเลี้ยงต้อนรับคุณชายซูที่เดินทางมาไกล ข้าอยากจะเชิญเหล่าสาวงามทั้งหลายมาร่วมสนุกด้วยกัน”
“ข้ามิไปแล้ว รั่วหลาน พวกเจ้าไปเถิด”
“ได้เยี่ยงไรกัน ? คุณชายซูมาจากซูโจวเลยเชียว เจ้าเองก็เป็นหนึ่งในเจ้าของเขตเหลียงอี้ของเรา อย่าได้ทำให้คุณชายซูกลับไปเอ่ยได้ว่าพวกเราชาวเหลียงอี้ มิมีความรู้เรื่องการต้อนรับแขก” โจวรั่วหลานต้องการส่งเสริมเรื่องของจูจ้งจี๋และเยวี่ยเอ๋อ เพราะเยี่ยงไรเสียจูจ้งจี๋ก็เป็นญาติผู้พี่ของนาง
ต่อให้จี้เยวี่ยเอ๋อจะมีความสามารถสูงส่งเพียงใด นางก็เป็นเพียงสตรี มิสามารถเข้าไปเป็นขุนนางในราชสำนักได้อยู่ดี สุดท้ายก็ต้องแต่งงานและคอยเลี้ยงดูบุตร
แต่งกับตระกูลที่ร่ำรวยอันดับหนึ่งเพื่อไปเป็นนายหญิงผู้มั่งคั่ง ย่อมดีกว่าแต่งงานกับคนโง่นั่นเป็นร้อยเท่าพันเท่าอยู่แล้ว
ซูผิงอันโบกมือไปมา แล้วเอ่ยยิ้ม ๆ ว่า “ข้าได้ยินชื่อเสียงของแม่นางเยวี่ยเอ๋อมาเนิ่นนานแล้ว ข้าได้อ่านตำรากวีมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อยากจะขอให้แม่นางเยวี่ยเอ๋อช่วยสอนบทความบทกวีสักเล็กน้อย หากแม่นางเยวี่ยเอ๋อมีเวลาว่างก็ไปด้วยกันเถิด”
“ตัวข้านั้นมิกล้าสั่งสอนผู้ใดหรอกเจ้าค่ะ” จี้เยวี่ยเอ๋อครุ่นคิด การหักหน้าจูจ้งจี๋นั้นมิใช่ปัญหาใหญ่อันใด ทว่าในเมื่อคุณชายซูเอ่ยเช่นนี้แล้ว หากมิไปก็เท่ากับว่าตนนั้นถือตัวมากเกินไป
“น้อมกระทำดีกว่าทำตามคำสั่ง ขอบคุณคำเชิญของคุณชายจูและคุณชายซูเจ้าค่ะ”
จูจ้งจี๋ดีใจเป็นอย่างมาก “เยวี่ยเอ๋อ ข้ายังได้เชิญเจี่ยหยวนโหลวหย่งเหนียนผู้มีพรสวรรค์จากสำนักศึกษาจูหลินมาอีกด้วย พรุ่งนี้เขาจะออกเดินทางไปยังเมืองหลวงซีหลิงเพื่อเข้าร่วมการสอบ ถือเป็นการเลี้ยงส่งเขาด้วยเช่นกัน”
จี้เยวี่ยเอ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็มิได้ออกความเห็นใด
ทุกคนต่างก็ขึ้นรถม้าของตนเองไป จี้เยวี่ยเอ๋อควบอยู่บนหลังม้าสีขาวของจี้ซิงเอ๋อ ครุ่นคิดว่าเดิมทีเจี่ยหยวนควรจะเป็นสวีเสี่ยวเสียน ทว่าสุดท้ายเขากลับมิได้รับตำแหน่งใดเลย แม้แต่บิดาของนางก็มิทราบเหตุผลเช่นกัน
เรื่องนี้น่าแปลกใจมากยิ่งนัก
หนอนหนังสือผู้นั้น... หนอนหนังสือที่น่าสงสาร ท่ามกลางความหนาวเหน็บนับสิบปี สุดท้ายก็มิได้รับอันใดกลับมาเลยสักอย่าง ทั้งยังถูกทำร้ายจนเกิดอาการป่วยผิดปกติทางประสาทอีกด้วย
เดิมทีที่บิดาจัดการเรื่องการหมั้นหมาย นางมิได้ขัดขืนแต่อย่างใด เพราะสวีเสี่ยวเสียนสามารถสอบได้อันดับสูงสุดในระดับท้องถิ่น นั่นหมายความว่าเขาเป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง
สำหรับหนอนหนังสือ ต้องอ่านตำราเยี่ยงไรถึงจะสามารถเรียกได้ว่าเป็นหนอนหนังสือ ?
ผู้ที่ชอบอ่านตำราจะสามารถเป็นคู่ครองที่ดีได้ คนเช่นนี้ย่อมเชื่อฟัง เขามิมีทางไปร้านพนัน มิมีทางไปร่วมงานเลี้ยงที่น่าเบื่อ และที่สำคัญคือมิมีทางไปหอนางโลม !
ชายหนุ่มเยี่ยงนี้ มักจะอยู่แต่ในบ้านเรือน หากโยนหนังสือให้เขาหนึ่งเล่ม เขาก็จะจมอยู่ตรงนั้นได้เป็นเวลานาน โดยมิต้องเป็นกังวล !
สำหรับนิสัยของเขาที่อ่อนแอนั้น คาดว่าคงเป็นเพราะอ่านแต่ตำรามิเข้าหาวิถีนักรบ
บ่าวชั่วในจวนสวีก็มิได้สำคัญอันใด หากแต่งเข้าไปแล้วก็จำต้องจัดการโดยปริยาย
น่าเสียดายที่เขาถูกพายุโหมกระหน่ำจนเป็นโรคประสาท เยี่ยงนี้มิอาจแต่งงานได้แล้ว มิใช่เพราะอนาคตของเขา ทว่าชั่วชีวิตนี้จะเป็นเยี่ยงไรต่อไปหากต้องเผชิญหน้ากับคนบ้าคนหนึ่ง ?
“ท่านพี่”
“หือ ? ”
“แท้จริงแล้ว...เจ้าแซ่จูนั่นก็มิเลวนะเจ้าคะ”
“เอ่ยอันใดกัน เรื่องของข้าเจ้ามิต้องยุ่ง ว่าแต่ตัวเจ้าเถอะ เอาแต่ตวัดดาบตวัดกระบี่ทั้งวัน ทั้งยังอยากจะเป็นจอมยุทธ์พเนจรอีก เจ้าต้องเข้าใจว่าเจ้านั้นก็อายุ 16 ปีแล้วเช่นกัน เกิดช้ากว่าข้าเพียงครึ่งจอกชาเท่านั้น สมควรเก็บกิริยาและหาสามีได้แล้ว”
จี้ซิงเอ๋อเบะปากทันพลัน “สามีของข้า ต้องสวมเสื้อเกราะตัวใหญ่ในมือกุมดาบ เป็นแม่ทัพใหญ่ผู้น่าเกรงขาม จะต้องมีความสามารถล้มม้าคว่ำคนได้ คนป่าเถื่อนในแดนเหนือของเราต้องยอมศิโรราบให้แก่เขา”
มุมปากของจี้เยวี่ยเอ๋อวาดขึ้นเป็นเส้นโค้ง “สุริยาเพิ่งจะลับขอบฟ้าเท่านั้น เจ้าก็ฝันแล้วหรือ”
“เหอะ ข้าจะต้องตามหาจนเจออย่างแน่นอน ! ”
เอาเถิด หญิงสาวคนใดจะมิมีคนรักในฝันกันบ้างเล่า ? มิใช่ว่าข้าฝันอยากมีสามีที่มีพรสวรรค์ไร้เทียมทานเช่นกันหรอกหรือ ?
คณะเดินทางได้แวะรับเจี่ยหยวนโหลวหย่งเหนียนท่านนั้นและเดินทางมาจนถึงหอต้านสุ่ย
เมื่อลงจากรถม้า ก็เดินตรงเข้าไปด้านในหอต้านสุ่ยภายใต้การนำทางของจูจ้งจี๋
อ่า...เหตุใดเถาสีถึงมิออกมาต้อนรับข้ากัน ?
ในยามที่จูจ้งจี๋กำลังงุนงงอยูนั้น ก็เห็นเถาสีกำลังส่งคุณชายท่านหนึ่งออกมา ทั้งสองบอกลากันที่หน้าประตู ด้วยท่าทีรักใคร่เป็นอย่างมาก...