ตอนที่ 10 เขาคือเจ้าบ้านั่น !
สวีเสี่ยวเสียนมีสีหน้าพออกพอใจ เขาพาบ่าวรับใช้ทั้งสองคนเดินผ่านจูจ้งจี๋ไป
ในกระเป๋าเงินของเขามิได้ว่างเปล่าอีกต่อไป ด้านในมีตั๋วเงินมากถึง 200 ตำลึง !
เขาคาดมิถึงว่าราคาที่ตนเองเสนอไปสูงลิ่วนั้น หลงจู๊เถาจะมิต่อรองราคาเลยแม้แต่น้อย
นี่ถือเป็นเงินก้อนโตเลยทีเดียว เมื่อมีเงินก้อนนี้ ต่อไปหากเขาต้องการทำสิ่งใดก็จะง่ายดายมากยิ่งนัก อย่างเช่นซื้อที่ดินทำกิน
สถานที่แห่งนี้ค่อนข้างห่างไกล อีกทั้งยังค่อนข้างยากจน คาดว่าที่ดิน 1 หมู่ราคาคงมิเกิน 10 ตำลึง
เงิน 200 ตำลึงสามารถซื้อที่ดินได้ 20 หมู่ อืม...ดูเหมือนจะน้อยไปสักหน่อย
ทว่าก็มิเป็นไร หลังจากนี้ย่อมมีรายได้เข้ามามากมายเป็นแน่ สูตรอาหารหนึ่งอย่างสามารถขายได้ในราคา 100 ตำลึง เขาขายให้กับหลงจู๊แห่งหอต้านสุ่ยไปแล้ว 2 สูตร อืม...ในสมองของเขายังมีสูตรอาหารอีกกี่อย่างกันนะ ?
ดูเหมือนจะมีเพียงมิกี่อย่างแล้ว...
การสร้างฐานะให้มั่งคั่งเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ง่ายขึ้น เขาคิดว่า...เมื่ออาหารสองอย่างนั้นถูกทำออกมา สวีเสี่ยวเสียนเชื่อว่าหลงจู๊เถาคงจะตั้งหน้าตั้งตารอคอยการปรากฏตัวของเขาขึ้นอีกคราเป็นแน่
ช่วงนี้เขาจะไปปรากฏตัวที่หอต้านสุ่ยมิได้เป็นอันขาด เนื่องจากว่าราคาของสูตรอาหารจะต้องเพิ่มขึ้น เขาต้องควบคุมเกมนี้ให้ได้
สวีเสี่ยวเสียนเดินตรงไปทางรถม้าเก่า ๆ ของตนเองอย่างพออกพอใจ หลงจู๊เถาค่อย ๆ ละสายตากลับมาแล้วยิ้มอย่างมีความสุขเช่นกัน
เดิมทีเขาเองก็เกิดในตระกูลพ่อครัวเช่นกัน เมื่อเห็นวิธีการทำอาหารของคุณชายผู้นั้น เขาจึงมิลังเลแม้แต่น้อย
ประการแรก เขาได้พิจารณาแล้วว่าตัวตนของสวีเสี่ยวเสียนสูงส่งเกินจินตนาการ ประการที่สอง เนื่องจากการเลือกและการแปรรูปส่วนผสมในสูตรอาหารสองอย่างนี้ละเอียดอ่อนมากยิ่งนัก การใช้ส่วนผสมเหล่านี้มีความเฉพาะเจาะจงเป็นอย่างยิ่ง ด้วยการผสมผสานที่มหัศจรรย์นี้ เขาเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าอาหารจานนี้ต้องมาจากมือของพ่อครัวหลวงอย่างแน่นอน อาหารขององค์จักรพรรดิช่างเลิศล้ำมากยิ่งนัก !
ประกอบกับลายมืออันงดงามที่บรรจงเขียนลงบนกระดาษ อักขระเช่นนี้หากมิได้ฝึกฝนมานานนับสิบปีคงมิอาจเขียนออกมาได้ ทว่านี่กลับเป็นอักขระที่ถูกเขียนออกมาจากคุณชายที่อายุน้อยถึงเพียงนี้
ที่เอ่ยกันว่ามีชาติตระกูลสูงส่งเป็นเช่นนี้นี่เอง ทั้งหนักแน่นและสง่างาม
หลงจู๊เถารู้สึกยินดีเป็นยิ่งนัก การที่เขาต้องจ่ายเงิน 200 ตำลึงเพื่อซื้อสูตรอาหาร เขามิได้รู้สึกเสียดายเลยแม้แต่น้อย
เขามองตามหลังสวีเสี่ยวเสียนไป จากนั้นถึงได้สังเกตเห็นว่าคุณชายจูเดินทางมาถึงแล้ว
เขาจึงรีบเข้าไปทักทายทันที ทว่ากลับได้ยินจี้ซิงเอ๋อเอ่ยขึ้นมาว่า
“ท่านพี่ เขาผู้นั้นคือคนที่หลอกลวงข้า ! ”
จี้เยว่เอ๋อหันหลังกลับไปมองดูร่างที่เดินจากไป โหลวหย่งเหนียนมองตามไป จากนั้นก็ตกตะลึงขึ้นมาทันใด เขาชี้ไปยังความมืดพลางตะโกนขึ้นมาว่า “นั่น ! สวีเสี่ยวเสียนมิใช่หรือ ? ”
สวีเสี่ยวเสียน ?
หัวใจของจี้เยวี่ยเอ๋อได้สั่นสะท้านขึ้นมาทันใด เนื่องจากคนผู้นั้นเคยเป็นคู่หมั้นของนางมาก่อน ทั้งยังมิเคยพบหน้ากันมาก่อนอีกด้วย เมื่อครู่นางมัวแต่คิดเรื่องอื่นอยู่จึงมองมิเห็น...ว่าแต่เหตุใดเขาถึงมาที่นี่เล่า ?
อาหารที่ร้านต้านสุ่ยราคาแพงที่สุดในเขตเหลียงอี้ มิใช่ว่าจวนของเขาถูกบ่าวรับใช้นำเงินไปถลุงจนสิ้นแล้วหรอกหรือ ในกระเป๋าของสวีเสี่ยวเสียนจะมีเงินสักกี่ตำลึงกันเชียว ?
จริงสิ ! เขาหลอกเอาเงินน้องสาวของนางไป 5 ตำลึง คาดว่าคงจะนำมาใช้ที่นี่
“ว่าเยี่ยงไรนะ ? เจ้าว่าเขาคือสวีเสี่ยวเสียนเยี่ยงนั้นหรือ ? สวีเสี่ยวเสียนใดกัน ? ” จี้ซิงเอ๋อเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“เมืองเหลียงอี้ของเรามีสวีเสี่ยวเสียนกี่คนเล่า ? แน่นอนว่าต้องเป็นเจ้าบ้านั่นน่ะสิ ! ”
จี้ซิงเอ๋ออ้าปากค้าง เจ้าหนอนหนังสือนั่น มิใช่ ! เจ้าบ้านั่นตอนที่หลอกนางเมื่อครู่หาได้เหมือนคนเสียสติแต่อย่างใด
เขาฉลาดเป็นกรด คาดว่าเป็นโหลวหย่งเหนียนที่มองผิดไป
“มิได้มองผิดไปใช่หรือไม่ ? ”
“ข้าและเขารู้จักกันมานานโข ต่อให้ถูกเผาเป็นผุยผงก็ยังจำได้ ข้าจะมองผิดได้เยี่ยงไรกัน ? ”
“...” จี้ซิงเอ๋อกลืนน้ำลายลงคอแล้วเม้มปากแน่น นางพบว่าโหลวหย่งเหนียนส่ายหน้าแล้วถอนหายใจยาวออกมา “แม้จะรู้จักเขามานานถึงห้าปีแล้ว แต่ก็มิเคยสนทนากันสักประโยค เฮ้อ...จะว่าไปแล้ว สวีเสี่ยวเสียนก็น่าสงสารมากยิ่งนัก เขามีความสามารถที่สูงส่ง แต่มีความทะเยอทะยานในการศึกษามากจนเกินไป แต่ละวันจมอยู่กับกองหนังสือ มิรู้ว่าโลกภายนอกเป็นเยี่ยงไร เขามิมีสหายแม้แต่คนเดียว”
“จะว่าไปแล้วพวกเจ้าอาจจะมิเชื่อ เดิมทีท่านอาจารย์เป็นห่วงเขามากยิ่งนัก เอ่ยว่าท้ายที่สุดต่อให้เขาสามารถสอบคัดเลือกได้สำเร็จก็มิอาจมีบั้นปลายชีวิตที่สงบสุขได้”
“เขาซื่อสัตย์และขี้ขลาดจนเกินไป มิรู้ความยืดหยุ่น มิแยกแยะใด ๆ มิรู้ร้อนรู้หนาว...แท้จริงแล้วก็มิต่างอันใดจากคนบ้าเลยสักนิด ! คนเช่นนี้แม้เข้าไปในวังก็มิอาจได้รับการเลื่อนตำแหน่งใด ๆ หากเขาออกไปยังโลกภายนอกเกรงว่าจะถูกทำร้ายเอาได้ บางทีเขาอาจจะถูกหลอกเอาเงินไปจนสิ้น เฮ้อ... ! ”
จี้ซิงเอ๋อรู้สึกปวดใจทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น นางรู้สึกราวกับว่าถูกแทงอย่างรุนแรง นี่หมายความว่าเยี่ยงไร ?
ข้าต่างหากเล่าที่ถูกชายหนุ่มผู้นั้นหลอกเอาเงินไป เยี่ยงนั้นก็หมายความว่าข้าสู้มิได้แม้แต่คนบ้าน่ะสิ ?
บัดนี้...หัวใจของหลงจู๊เถารู้สึกราวกับว่าถูกมีดปักลงกลางอกเช่นกัน !
เขาเงยหน้าขึ้นมองดูแสงสลัวของสุริยายามเย็นในตรอกต้านสุ่ย ในสมองฉายภาพเหตุการณ์ในห้องน้ำชาเมื่อครู่ขึ้นมาอีกครา
“หลงจู๊เถา วันนี้ข้าอารมณ์ดีมิน้อย ดังนั้นสูตรอาหารเหล่านี้ ข้าจะขายให้เจ้าเพียง 200 ตำลึงเท่านั้น เห็นเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ข้าเห็นว่าเจ้าจริงใจ อีกทั้งข้าต้องการให้ชาวบ้านในเขตเหลียงอี้ได้ลิ้มลองอาหารเลิศรสเหล่านี้ ข้าจึงได้ยอมขายให้แก่เจ้าในราคา 200 ตำลึงเป็นกรณีพิเศษ”
สวีเสี่ยวเสียนตวัดพู่กันลงบนกระดาษ เขาใช้เวลาเพียงมินานก็เขียนสูตรอาหารทั้งสองอย่างเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว
ในตอนนั้น เถาสีเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าคุณชายผู้นี้กำลังอารมณ์ดีถึงได้ตกลงกับเขา เนื่องจากตำราอาหารที่สูงส่งเช่นนี้โดยมากมักจะมิยอมบอกผู้อื่นง่าย ๆ
ต่อให้ขายก็คงมิขายเพียง 100 ตำลึง !
เนื่องจากนี่คืออาหารของจักรพรรดิ !
คนเช่นนี้เป็นคนบ้าเยี่ยงนั้นหรือ ?
มองดูแล้วมิเหมือนคนบ้าเลยสักนิด !
ทว่าเขามีนามว่าสวีเสี่ยวเสียน นี่มันไร้สาระสิ้นดี !
ชื่อเสียงของสวีเสี่ยวเสียนโด่งดังมากยิ่งนักในเมืองเหลียงอี้ เมื่อฤดูหนาวปีกลายท่ามกลางหิมะที่ตกหนัก สวีเสี่ยวเสียนได้แก้ผ้าวิ่งท่ามกลางหิมะ แม้จะมิได้วิ่งมาถึงตรอกต้านสุ่ย ทว่าข่าวนี้ก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองเหลียงอี้
ได้ยินมาว่านายอำเภอจี้ได้เชิญหมอเทวดาเดินทางมาตรวจอาการของเขาด้วยตนเอง และหมอเทวดายังตัดสินว่าเขามีอาการทางประสาท
สิ่งนี้มิผิดเพี้ยนเป็นแน่
หลงจู๊เถาพยายามครุ่นคิด สวีเสี่ยวเสียนพาบ่าวรับใช้ทั้งสองคนเดินทางมาทานข้าว แต่เมื่อเขาได้รับเงินแล้วก็เดินทางจากไปอย่างรวดเร็ว...
หลงจู๊เถาชะงักงันลงทันใด สวีเสี่ยวเสียนมิได้ตั้งใจมากินข้าว !
เขาเพียงต้องการนำสูตรอาหารเหล่านั้นมาหลอกขายให้ตน !
สวีเสี่ยวเสียนมิเคยเดินทางออกจากเมืองเหลียงอี้ จวนสวีของเขาถูกบ่าวล้างผลาญจนสิ้น เขาจะเอาครัวส่วนตัวมาจากที่ใด ?
ยิ่งไปกว่านั้น เขาจะไปรู้จักกับพ่อครัวหลวงได้เยี่ยงไร !
เช่นนั้นที่เขาเอ่ยว่าอาหารเหล่านี้ เขาและพ่อครัวหลวงร่วมกันคิดค้นขึ้นมา...เขาเอ่ยเท็จ !
นั่นสิ ! เขาเป็นเพียงแค่คนบ้า
ทว่าข้ากลับถูกคนบ้าหลอก !
ใบหน้าของหลงจู๊เถาจึงเขียวคล้ำขึ้นมาทันใด
“หลงจู๊เถา หลงจู๊เถา... ! ” จูจ้งจี๋รู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย หลงจู๊เถามองตามสวีเสี่ยวเสียนที่จากไปตามิกะพริบ อีกทั้งยังดูเหมือนอาลัยอาวรณ์เสียเหลือเกิน !
ราตรีนี้ข้าเป็นแขกคนสำคัญของหอต้านสุ่ย !
เถาสีถูกเสียงเรียกของจูจ้งจี๋ปลุกให้ตื่นจากภวังค์ มิได้การ ! ต้องรีบไปลองทำอาหารตามสูตรที่เจ้าบ้านั่นขายให้กับตนว่าจะได้ผลจริงหรือไม่
เงิน 200 ตำลึงของข้า !
“ขอรับ...”
“เจ้าเป็นอันใดไป ? ก็แค่คนบ้ามิใช่หรือเยี่ยงไร ? หลงจู๊เถาต้องออกมาส่งเขาด้วยตนเองเช่นนี้เชียวหรือ ? ”
“มิใช่ขอรับ...คุณชายจูเชิญด้านใน คุณหนูและคุณชายทุกท่านเชิญด้านในก่อนขอรับ ! ”
จูจ้งจี๋รู้สึกว่าวันนี้หลงจู๊เถาดูผิดปกติไป ดูท่าทีใจลอยมิอยู่กับเนื้อกับตัว
“สวีเสี่ยวเสียนมาทำอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“...กินข้าว”
“จริงหรือ ? ”
เถาสีกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เขารู้สึกว่าบัดนี้ขมขื่นกว่ากินแมลงวันเข้าไปเสียอีก เขาถูกคนบ้าหลอก...ให้ตายเขาก็มิอาจเอ่ยออกไปได้ !
“จริงขอรับ ! ”
พวกเขาเดินขึ้นไปที่ห้องส่วนตัวบนชั้นสอง เถาสีรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำชา จากนั้นก็หยิบสูตรอาหารขึ้นมาก่อนจะวิ่งไปที่ห้องครัวอย่างรวดเร็ว
อาหารชนิดนี้มีชื่อว่า...เต้าหู้ผิงเฉียว
เต้าหู้... เงิน 100 ตำลึงกับรายการอาหารเต้าหู้ !
บัดนี้เถาสีมิอาจฝืนยิ้มออกมาได้ เขาอยากร้องไห้ออกมาเสียจริง