ตอนที่ 11 เต้าหู้ผิงเฉียว
รถม้าของสวีเสี่ยวเสียนเคลื่อนออกไปอย่างช้า ๆ บนถนนหินอ่อน
เขามิรู้ว่าตัวตนของเขาได้ถูกเปิดเผยแล้ว ในใจยังคงใคร่ครวญถึงเรื่องต่อจากนี้ เกรงว่าอาหารสองจานนั้นของหอต้านสุ่ยจะโด่งดังไปทั่วทั้งเมืองเหลียงอี้
เมื่อถึงเวลานั้นยามไปหอต้านสุ่ยอีกครา หากหลงจู๊เถาอยากได้สูตรอาหารเพิ่มเติม แน่นอนว่าราคาต่อสูตร...อย่างน้อยต้องขาย 200 ตำลึง
อืม...บัดนี้ปัญหาที่หนึ่งได้รับการแก้ไขแล้ว ในกระเป๋ามีเงินแล้ว แน่นอนว่ามิต้องทานบะหมี่น้ำซุปไร้รสชาตินั้นอีกต่อไปแล้ว
ร่างนี้ผอมบางจนเกินไป จำต้องบำรุงให้เต็มที่ “จือรุ่ย พรุ่งนี้จงไปซื้อแม่ไก่มาสักสองสามตัว นอกจากนี้ ข้าจะเขียนรายการซื้อของให้แก่เจ้า เจ้าจงไปซื้อส่วนผสมมาตามรายการซื้อของ ข้าจะสอนเจ้าทำอาหาร”
จือรุ่ยชะงักงัน ทำอาหาร ? สอนข้าทำอาหารเยี่ยงนั้นหรือ ?
คุณชาย ตลอดสิบปีที่ผ่านมานี้ท่านมิรู้ด้วยซ้ำว่าโรงครัวตั้งอยู่ที่ใด ?
“โอ้...ได้เจ้าค่ะ ! ” จือรุ่ยจิตใจอ่อนยวบ สุดท้ายนางก็มิได้ปักมีดเข้าที่อกของสวีเสี่ยวเสียน
จือรุ่ยเหลือบมองคุณชาย พลางครุ่นคิดว่า
คุณชายขึ้นไปชั้นบนกับหลงจู๊ผู้นั้น มิรู้ว่าไปทำอันใดเช่นกัน หลังจากที่ลงมาสีหน้าของคุณชายก็ถูกแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา ทว่าเยี่ยงไรเสียคุณชายมิได้ถูกตีจนตาย และยังคาดมิถึงว่าหลงจู๊ผู้นั้นจะเดินมาส่งคุณชายด้วยตนเอง... หรือว่าคุณชายอาศัยใบหน้าที่หล่อเหลาทำให้หลงจู๊ผู้นั้นยอมจำนน ?
“จือรุ่ย”
“เจ้าคะ ? ”
“เจ้าลองไปสอบถามมาว่า... ในเขตชานเมืองมีผู้ใดขายที่ดินบ้าง หากว่ามีก็จงถามมาว่า 1 หมู่ราคาเท่าใด ตระกูลของเราต้องจัดซื้อที่ดินไว้สักเล็กน้อยแล้ว”
จือรุ่ยเงยหน้ามองสวีเสี่ยวเสียน ภายในแววตาดูเป็นกังวลเล็กน้อย อาการป่วยของคุณชาย เหมือนว่าจะกำเริบขึ้นมาอีกคราแล้ว ราวกับว่าเขากลายเป็นโรคเพ้อฝันไปแล้ว
แน่นอนว่าการซื้อที่ดินถือเป็นเรื่องที่ดี ทว่าจำต้องมีเงิน !
วันนี้คุณชายหลอกเอาเงินจากสตรีผู้นั้นมาได้ 5 ตำลึง รวมกับ 2 ตำลึงที่เจ้าจางซิ่วเหลือไว้ให้... เมื่อนำมารวมกันแล้วในมือของคุณชายก็จะมีเงินเพียง 7 ตำลึงเท่านั้น แล้วท่านจะซื้อที่ดินได้เยี่ยงไร ?
“อันใดกัน ? มิเชื่อเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
จือรุ่ยพยักหน้าอย่างเถรตรง
สวีเสี่ยวเสียนกระตุกยิ้ม จากนั้นก็เอ่ยเสียงแผ่วว่า “คุณชาย มีเงินแล้ว ! ”
จือรุ่ยอ้าปากหวอ คุณชายบอกว่ามีเงินแล้ว !
คุณชายขึ้นไปชั้นบนกับหลงจู๊ผู้นั้นเพียงหนึ่งจอกชาก็มีเงินแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
นางจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของคุณชาย หรือว่าคุณชายท่าน... ท่าน... จือรุ่ยร้องไห้ขึ้นมาทันใดพลางเอ่ยว่า “คุณชายเจ้าคะ... ข้าผิดแล้ว เพื่อตระกูลของเรา คุณชายได้จ่ายออกไป ได้จ่ายมากเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ภายภาคหน้า... ภายภาคหน้าคุณชายอย่าได้ไปอีกเลยนะเจ้าคะ หากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป แล้วภายภาคหน้าคุณชายจะมีชีวิตต่อไปได้เยี่ยงไรล่ะเจ้าคะ บ่าวทำงานเย็บปักถักร้อยได้ ภายภาคหน้าบ่าวจะรับงานเย็บปักให้มากขึ้น หากพวกเราใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายก็สามารถมีชีวิตต่อไปได้แล้วเจ้าค่ะ ! ”
สวีเสี่ยวเสียนเบิกตาโพลงขึ้นมาทันใด เขาจ้องมองจือรุ่ยที่กำลังร้องไห้น้ำตานองหน้าด้วยความตื่นตกใจ มิใช่ ! ข้าเพียงแค่ขายสูตรอาหารไปสองสูตรเท่านั้น เหตุใดถึงมิสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้กัน ?
บัดซบ !
สวีเสี่ยวเสียนเข้าใจขึ้นมาทันใด นางคิดอันใดอยู่กัน นางเห็นข้ากลายเป็นตัวอันใดไปแล้ว ?
“เหตุใดถึงร้องไห้เล่า ? เงินที่ข้าได้มานั้นขาวสะอาด มิได้เป็นเยี่ยงที่เจ้าคิดสักหน่อย”
จือรุ่ยยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตาพลางจ้องมองคุณชายร่างผอมบางที่อยู่เบื้องหน้า จากนั้นนางก็รู้สึกว่าคุณชายได้แข็งแกร่งขึ้นมาแล้ว
เพื่อตระกูล คุณชายต้องลำบากถึงเพียงนี้
คุณชายเป็นบัณฑิต มีศักดิ์ศรีของปัญญาชน เขาย่อมมิยอมรับเรื่องนี้เป็นแน่ ทว่าเขากลับแบกรับเอาไว้เพียงผู้เดียว... คุณชาย ยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว !
ภายภาคหน้านางจะต้องปฏิบัติตัวต่อคุณชายให้ดีขึ้นกว่าเดิม !
เมื่อรถม้ามาถึงตรอกเหลียงเยวี่ย สวีเสี่ยวเสียนก็เห็นร้านเต้าหู้ร้านหนึ่ง บนแผงนั้นยังมีเต้าหู้เหลืออยู่หนึ่งก้อน
“จอดรถ ๆ ! ”
หลายฝูหยุดรถม้ากะทันหัน สวีเสี่ยวเสียนเดินลงไป จนมาถึงหน้าร้านเต้าหู้ เขาเงยหน้าขึ้นมองป้ายหน้าร้าน...ซุนเอ้อเหนียงเต้าหู้อ่อน
เมื่อดึงสายตากลับมาในระดับปกติ ก็เห็นสตรีเจ้าเนื้ออายุราว 30 ปีนั่งอยู่หลังแผง อืม...เต้าหู้อ่อน
“เถ้าแก่เนี้ย ซื้อเต้าหู้ 1 ก้อน”
“2 อีแปะ หยิบเองได้เลย”
สวีเสี่ยวเสียนถือเต้าหู้ขึ้นรถม้า จากนั้นก็มีชายคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องที่อยู่ด้านหลัง “เหมือนจะเป็น สวีเสี่ยวเสียน”
“...สวีเสี่ยวเสียน ? เจ้าบ้านั่นซื้อเต้าหู้ไปทำอันใดกัน ? ”
“บางทีเขาอาจจะต้องการฆ่าตัวตาย”
“ไร้สาระ ! ขายหมดแล้ว เก็บร้าน”
ภายในรถม้า จือรุ่ยเอ่ยถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ “คุณชายซื้อเต้าหู้ไปทำอันใดเยี่ยงนั้นหรือเจ้าคะ ? ”
“ค่ำนี้ข้าจะทำอาหารอันเลื่องชื่อของหวายหยางให้พวกเจ้าทาน...เต้าหู้ผิงเฉียว”
“หวายหยางคือที่ใดเยี่ยงนั้นหรือเจ้าคะ ? ”
“...หยางโจว”
โรคของคุณชาย มิอาจหยุดยาได้ พรุ่งนี้ต้องไปซื้อยาสักหน่อยแล้ว จำต้องยอมเสียเงิน 1 ตำลึง
.....
.....
หอต้านสุ่ย
สีหน้าของเถาสีดูงุนงง
เขาได้ทำเต้าหู้ผิงเฉียวออกมาแล้ว ทั้งยังได้ลองชิมด้วยตนเองอีกด้วย รสชาติของมันอร่อยมากยิ่งนัก !
เขาซื้อสูตรอาหารนี้มาจากคนบ้าด้วยเงิน 100 ตำลึง เขาคือคนบ้า ! ทว่ารสชาติกลับเลิศรสมิมีที่ติอย่างแท้จริง
รสสัมผัสที่นุ่มลึกอยู่ที่การปรุงรสด้วยหัวปลาและน้ำซุปไก่ เรียกได้ว่ายอดเยี่ยมจนมิอาจบรรยายได้
เถาสีคีบเต้าหู้ขึ้นมาหนึ่งชิ้น เป่าและกินเข้าไป อืม...หอมสดชื่น รสชาติของน้ำซุปกลมกล่อม เต้าหู้นี้มีรสชาติอร่อยมากจริง ๆ
หรือว่ารสนิยมของตนจะมีปัญหากัน ?
“หนิวต้า เจ้าลองชิมอาหารจานนี้ แล้วบอกความรู้สึกของเจ้ามา”
หนิวต้าป่าวคือพ่อครัวหลักของหอต้านสุ่ย เต้าหู้ผิงเฉียวจานนี้เขาลงมือทำตามสูตรนั้นด้วยตนเอง เขาย่อมตั้งตาคอยเป็นอย่างมากเช่นกัน
ดังนั้น หนิวต้าป่าวจึงคีบเต้าหู้ขึ้นมาและโยนเข้าปากอย่างรวดเร็ว... “ไอหยา...ร้อน ๆ เอ๋...อร่อยยิ่งนัก ซี้ด...”
“หลงจู๊ขอรับ อาหารจานนี้ต้องโด่งดังเป็นแน่ มันน่าทึ่งมากยิ่งนัก ! น่าทึ่งอย่างแท้จริง ! น่าเสียดายที่ขาดส่วนผสมอย่างไข่ปูและกุ้งแห้งไป มิเช่นนั้นรสชาติต้องล้ำเลิศขึ้นเป็นแน่ขอรับ ! ”
เอ่ยได้ว่า มิได้เกิดปัญหากับรสนิยมของตน สูตรอาหารนี้เป็นของจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?
“หลงจู๊ขอรับ วิธีทำอาหารจานนี้ได้มาจากที่ใดกัน ? ช่างสูงส่งมากยิ่งนัก ต้องเป็นผู้ที่มีฝีมือในด้านการทำอาหารที่สูงส่งจนน่าทึ่งเป็นแน่ หรืออาจจะเป็นคนตะกละที่ทานอาหารมาทุกชนิดแล้วก็เป็นได้ ! ”
เถาสีจะสามารถเอ่ยอันใดได้อีกกัน ?
ผู้มีฝีมือในด้านการทำอาหารที่สูงส่งกับผีสิ ! คนตะกละบ้าอันใดกัน ! อาหารจานนี้มาจากฝีมือของคนบ้าผู้หนึ่ง !
“ทำตามนี้อีกสักจาน ข้าจะนำไปส่งยังห้องรับรองเซียนเค่อหลายที่ชั้นสองด้วยตนเอง จะขอให้คุณชายจูชิมสักหน่อย”
“ได้ขอรับ ! ”
ภายในห้องรับรองเซียนเค่อหลาย จูจ้งจี๋กำลังแนะนำอาหารบนโต๊ะแต่ละจานให้กับซูผิงอันอย่างสุภาพ
“คุณชายซู นี่คือปลาแม่น้ำนึ่งเป็นของขึ้นชื่อในเขตเหลียงอี้ของเรา ท่านลองชิมดูขอรับ”
“รสชาติถือว่าใช้ได้ ทว่าหากลองชิมดูดี ๆ ยังล้างกลิ่นโคลนออกไปได้มิหมด”
“คุณชายซู นี่คือไก่ตุ๋นน้ำแดง ซึ่งใช้แม่ไก่ที่มีอายุสามปีขึ้นไป ท่านลองชิมดูขอรับ”
“ใช้ไฟนานเกินไปสามส่วน เหนียวไปเล็กน้อย”
“......”
จี้ซิงเอ๋อเบะปาก พลางยื่นตะเกียบออกไปคีบขาไก่หนึ่งข้างให้แก่พี่สาว “หากฟันยังดีอยู่ อย่าเอ่ยว่าเหนียวเลย ต่อให้เป็นต้นไม้ก็สามารถเคี้ยวได้”
ใบหน้าขาวของซูผิงอันขึ้นสีแดงระเรื่อ “ซิงเอ๋อเอ่ยได้มีเหตุผลยิ่งนัก มา ๆ ๆ ทุกคนมาทานร่วมกันเถิด”
“โปรดเรียกข้าว่าจี้ซิงเอ๋อ”
“...ได้ คุณหนูจี้ซิงเอ๋อ ข้าขอชนสุรากับเจ้าหนึ่งจอก ! ”
“ขอบใจ ! ”
จี้ซิงเอ๋อมิได้เกรงใจแม้แต่น้อย นางยกจอกสุราขึ้นมากระดกจนหมดในคราเดียว
ในยามนั้นเอง เถาสีก็ได้ถืออาหารจานใหญ่เข้ามาในห้องรับรอง พลางเอ่ยยิ้ม ๆ ว่า “คุณชายทั้งหลาย ทางร้านมีอาหารจานใหม่มาแนะนำ ขอเชิญทุกท่านลองลิ้มรสสักคำสองคำขอรับ”
เต้าหู้เยี่ยงนั้นหรือ ?
ใบหน้าของจูจ้งจี๋ดำทะมึน
เต้าหู้สองแผ่นกับจานทองแดงสามารถนำเข้ามาในงานเลี้ยงได้เยี่ยงนั้นหรือ ?
มิเห็นหรือว่าปลาแม่น้ำนึ่งกับไก่ตุ๋นน้ำแดงต่างก็มิเข้าตาคุณชายซูผู้นี้เลย เจ้านำเต้าหู้เข้ามาเช่นนี้ เจ้าต้องการสร้างปัญหาให้แก่ข้าเยี่ยงนั้นหรือ ?