ตอนที่ 13 พิณทอง
ราตรีที่เงียบสงบ ม่านหน้าต่างสว่างขึ้นเล็กน้อย
“ท่านพี่ สวีเสี่ยวเสียนผู้นั้นหรือว่าจะหายป่วยแล้ว ? ” จี้ซิงเอ๋อเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ นางสวมใส่ชุดนอนสีแดง เอียงศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อรวบผมที่ยังมิแห้งดีมาไว้ข้างที่ถนัด
สองมือของนางเช็ดผมยาวที่เปียกชื้น พลางจ้องมองพี่สาวที่นั่งเหม่อลอยอยู่ที่หน้าต่าง จากนั้นจึงเอ่ยถามขึ้นมาหนึ่งประโยค
ราตรีนี้ยากที่จะจินตนาการถึงเป็นอย่างยิ่ง มันน่าตกตะลึงเกินไปแล้ว !
ซูผิงอันสั่งให้นำอาหารบนโต๊ะทั้งหมดออกไป หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นอาหารสองอย่างนั้นแทน
อาหารอีกจานมีชื่อว่าผัดหัวปลาเกล็ดเงิน โดยมีหัวปลาเกล็ดเงินเป็นส่วนผสมหลัก จับคู่กับผักกวางตุ้งที่สุกพอดี รสชาติของมันทำให้ผู้คนติดใจได้อย่างมิมีที่สิ้นสุด !
อาหารสองจานนี้ล้ำเลิศเป็นอย่างยิ่ง ต่างก็ได้รับคำชมจากทุกคนอย่างล้นหลาม
อาหารสองอย่างนี้น้อยคนนักที่จะรู้จัก ย่อมมิมีทางที่สวีเสี่ยวเสียนผู้มิเคยออกจากเขตเหลียงอี้จะขโมยสูตรมาได้
แล้วเขาสร้างอาหารเหล่านี้ออกมาได้เยี่ยงไร ?
มิใช่ว่าเขาคือหนอนหนังสือหรอกหรือ ?
หลังจากสอบเสร็จมิใช่ว่าเขาเป็นบ้าจนวิ่งล่อนจ้อนไปทั่วทั้งเมืองหรอกหรือ ?
หมอเทวดาได้ทำการวินิจฉัยเขาด้วยตนเองหรือว่าจะวินิจฉัยผิดพลาดไปกัน ?
สัญญาหมั้นหมายที่เขาคืนให้ยังคงวางอยู่บนโต๊ะ จี้เยวี่ยเอ๋อมิได้เปิดมันออกอ่านอีกเลย
บัดนี้นางรู้สึกสับสนเป็นอย่างยิ่ง หนอนหนังสือ คนบ้า คนโง่ในสายตาของชาวเมืองเหลียงอี้ เหตุใดเขาถึงสามารถคิดค้นอาหารที่เลิศรสเช่นนี้ออกมาได้กัน ?
งานเลี้ยงต้อนรับที่จัดขึ้นเพื่อซูผิงอันในราตรีนี้ ได้กลายเป็นงานเลี้ยงที่สนทนาถึงสวีเสี่ยวเสียนแทน ด้วยเหตุนี้เขาจึงกลายเป็นจุดสนใจขึ้นมา
ได้ยินโหลวหย่งเหนียนเอ่ยว่า กระเป๋าเงินในหนึ่งปีสี่ฤดูของสวีเสี่ยวเสียนมิมีทางมีเงินเกินกว่า 5 อีแปะ...เขาย่อมมิมีเงินไปซื้อส่วนผสมเหล่านั้นอย่างแน่นอน
ซูผิงอันเอ่ยว่าอาหารเช่นนี้ต้องอาศัยการฝึกปรือเป็นร้อยเป็นพันครั้งในการปรุงแต่ง ถึงจะมีรสชาติเฉกเช่นวันนี้ได้
ท้ายที่สุด นางก็มิอาจเข้าใจได้
สุดท้ายซูผิงอันก็ได้สรุปออกมาว่า สิ่งที่เรียกว่าคนบ้านั้น แท้จริงแล้วก็มีบางส่วนที่แตกต่างจากคนทั่วไปอยู่ ดังนั้นเกรงว่าสวีเสี่ยวเสียนอาจจะได้รับพรจากการบ้าคลั่ง จนถึงขั้นที่เขามีความรู้อย่างลึกซึ้งด้านอาหาร
แน่นอนว่าคำอธิบายดังกล่าวลึกซึ้งเป็นอย่างมาก แต่นอกเหนือจากนั้นก็มิสามารถอธิบายเป็นอื่นใดได้อีก
น่าเสียดาย แม้ว่าเขาจะมีฝีมือในด้านการทำอาหารมากเพียงใด สุดท้ายเขาก็ยังเป็นคนบ้าอยู่ดี อย่างมากที่สุดก็เป็นพ่อครัวที่มีฝีมือน่าทึ่ง ทว่ามิได้เป็นสุภาพบุรุษ
สุภาพบุรุษต้องอยู่ห่างจากโรงครัว
จี้เยวี่ยเอ๋อถอนหายใจออกมาช้า ๆ
“คำวินิจฉัยของหมอเทวดามิมีทางผิดพลาดอย่างแน่นอน มิต้องไปยุ่งอันใดกับเขาหรอก ห้าตำลึงนี้เจ้าเก็บไว้ อย่าได้ออกไปวุ่นวายอีก”
เมื่อสิ้นเสียงของจี้เยวี่ยเอ๋อ บิดาของพวกนางก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่เหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก
“ช่วงนี้...พวกเจ้าอย่าออกไปข้างนอกเลย”
จี้เยวี่ยเอ๋อลุกขึ้นยืน “ท่านพ่อเชิญนั่ง เกิดเรื่องอันใดขึ้นเยี่ยงนั้นหรือเจ้าคะ ? ”
“วันนี้เจ้าเห็นศพพระสงฆ์ที่ทะเลสาบฉายหยุนหรือไม่ ? หลังจากที่ทำการตรวสอบแล้ว พระสงฆ์รูปนี้เป็นพระจากวัดชิงหยุนที่ตั้งอยู่นอกเมือง เขาถูกแทงเข้าที่ร่างห้าจุดจนถึงแก่ชีวิต เป็นคดีฆาตกรรม และยามอู่ของวันนี้ หยางหยวนเหว่ยจากตรอกหยางหลิวทางตอนเหนือของเมืองได้เข้ามาแจ้งความที่ศาลาว่าการ บุตรชายของเขาเพิ่งแต่งงานไปเมื่อวาน ทว่าวันนี้บุตรชายของเขากลับตกตายในเรือนหอ ร่างของเขาถูกแทงทั้งหมดสิบจุด...ศีรษะถูกตัดออกไป ซึ่งบัดนี้ก็ยังหามิเจอ”
“ส่วนร่างสะใภ้ของหยางหยวนเหว่ยขาดครึ่งท่อน ทั้งยังถูกจับแขวนคออีกด้วย”
“บัดนี้ยังมิมีปมของคดี ทว่าฆาตกรนั้นโหดเหี้ยมมากยิ่งนัก พวกเจ้าจงจำเอาไว้ว่าอย่าออกไปนอกบ้านเป็นอันขาด”
“ลูกทราบแล้ว...ท่านพ่อ ลูกรบกวนให้ท่านพ่อไปขอสัญญาหมั้นหมายกลับคืนมา ทว่าลูกยังคงมีเรื่องขอร้องมิจบมิสิ้น วอนท่านพ่อช่วยตอบรับด้วยเจ้าค่ะ”
“เรื่องอันใดกัน ? ”
จี้เยวี่ยเอ๋อขบเม้มริมฝีปากแน่น นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ที่จวนของสวีเสี่ยวเสียนมิใช่ว่ามีบ่าวชั่วรังแกนายอยู่หรอกหรือเจ้าคะ ? ลูกอยากขอให้ท่านพ่อช่วยลงโทษบ่าวชั่วผู้นั้นด้วย”
เมื่อจี้จงถานได้ยินดังนั้น เขาจึงยกยิ้มขึ้นมาทันใด “หากเจ้ามิเอ่ยขึ้นมาข้าก็เกือบจะลืมเรื่องนี้ไปเสียแล้ว ช่วงเช้าวันนี้พ่อได้ไปที่จวนสวี ได้เห็นสวีเสี่ยวเสียนผู้นั้นกำลังลงทัณฑ์บ่าวชั่วพอดิบพอดี”
“เขาลงมือได้โหดเหี้ยมยิ่งนัก เขาใช้ก้านหลิวเฆี่ยนบ่าวชั่วผู้นั้นจนเลือดอาบไปทั้งร่าง ใช่ ! ตระกูลเรามิได้ติดหนี้อันใดเขา เขาใช้ทะเบียนสมรสแลกกับชีวิตของบ่าวชั่วผู้นั้น บัดนี้บ่าวชั่วผู้นั้นถูกคุมขังอยู่ในคุกแล้ว พอคดีฆาตกรรมคลี่คลาย พ่อค่อยไปจัดการเรื่องเล็กน้อยของเขา”
ปากเล็กของจี้เยวี่ยเอ๋อเผยอขึ้นเล็กน้อย นางเงยหน้าขึ้นมองบิดา บนใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ท่านพ่อ ท่านเอ่ยว่า...เขาได้จัดการบ่าวชั่วผู้นั้นไปแล้วหรือเจ้าคะ ? ”
“ใช่ ! หากมิใช่เพราะคำวินิจฉัยของหมอเทวดาก่อนหน้านี้ พ่อคงคิดว่าอาการป่วยของเขาหายดีแล้ว บัดนี้ก็ดึกมากแล้ว พวกเจ้ารีบพักผ่อนเถิด จงจำเอาไว้ว่าอย่าออกไปนอกเรือนเป็นอันขาด”
จี้จงถานลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป ทว่าจี้เยวี่ยเอ๋อยังคงนั่งอยู่กับที่ นางยากจะเชื่อได้ลง
วันนี้สวีเสี่ยวเสียนได้จัดการบ่าวชั่วที่ข่มเหงเขามานานนับสิบสี่ปี และเขาได้คิดค้นสูตรอาหารที่น่าทึ่งออกมาถึงสองสูตร ทั้งยังนำสูตรอาหารไปขายให้แก่หอต้านสุ่ยอีกด้วย
เป็นไปได้หรือที่หนอนหนังสือ คนโง่ คนบ้าผู้หนึ่งจะสามารถทำได้ ?
“ท่านพี่ ข้ารู้สึกว่า เขาคงแสดงอาการป่วยออกมาเป็นระยะ ๆ ทว่าสุดท้ายแล้วก็ยังถือว่าป่วยอยู่ดี ท่านอย่าได้ใส่ใจอันใดเขาเลย หากเขาอาการกำเริบแล้ววิ่งออกมาด้วยสภาพเปลือยกายหรือทำเรื่องใหญ่ที่สะเทือนไปถึงชั้นฟ้า แบบนั้นมันน่ากลัวจนเกินไป”
จี้เยวี่ยเอ๋อพยักหน้าน้อย ๆ จากนั้นดวงตาของนางก็ทอประกายขึ้นมา นางจ้องมองไปยังใบหน้าของจี้ซิงเอ๋อแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “พรุ่งนี้...เจ้าจงลอบไปสังเกตุการณ์ที่จวนสวีว่าแท้จริงแล้ว เขากำลังทำอันใดอยู่กันแน่ ? ”
จี้ซิงเอ๋อเบะปาก “ท่านพ่อมิได้ห้ามให้พวกเราออกนอกเรือนหรอกหรือ ? ”
“5 ตำลึง ! ”
จี้ซิงเอ๋อยิ้มระรื่นขึ้นมาทันใด ทั้งยังตอบตกลงแบบมิยั้งคิดอีกด้วย “ตกลง ! ”
......
......
สุริยาลอยเด่น
ออกกำลังกายยามเช้านั้นดีเยี่ยงไร ?
สวีเสี่ยวเสียนเดินออกมาจากเรือนหลักเพื่อยืดเส้นยืดสาย เมื่อในกระเป๋ามีเงินแล้ว เขาย่อมนอนหลับได้อย่างมิต้องเป็นกังวล
ใช่ ! เรือนด้านข้างยังมีกระเป๋าปีนเขาแสนล้ำค่าอยู่ มิสามารถให้ผู้ใดขโมยไปได้เป็นอันขาด
เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงเดินไปยังเรือนด้านข้าง เขามีความทรงจำที่ลึกซึ้งกับสถานที่แห่งนี้ เพราะถึงเยี่ยงไรก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาตั้งสิบสี่ปี
เขาหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ จ้องมองกระดาษแผ่นหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ บนกระดาษเป็นบทกวีที่เขาเขียนขึ้นมาเมื่อวานยามเช้าตรู่
“คูเมืองเก้าโค้งสามเดือนสาม ต้นหลิวยาวสยาย
ฝุ่นหอมโหมทะยานดั่งม้ารมไปทั่วถนนสีทอง ชะล้างเศษผ้าของฤดูไม้ผลิ”
เศษผ้าของฤดูไม้ผลิ ใช่แล้ว ! ต้องให้จือรุ่ยไปซื้อผ้ามาสักเล็กน้อย ทุกคนควรจะมีชุดใหม่ใส่กันสักสองชุด
มาอยู่โลกนี้ได้สามเดือนกว่าแล้ว ฉินรั่วซีภรรยาเมื่อชาติที่แล้วมักจะสวมชุดกระโปรงตัวยาวสีเขียวมรกตในฤดูกาลเช่นนี้ นางมักจะเดินเตร่ท่ามกลางดอกหลิวริมแม่น้ำ อาบแสงสุริยาในฤดูใบไม้ผลิที่สดใสแลดูเกียจคร้าน
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก มือยังคงฝนหมึก ทว่าในหัวกำลังระลึกถึงชาติที่แล้ว รั่วซี...ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน !
เขาดึงกระดาษออกมาหนึ่งแผ่น จุ่มพู่กันลงไปในน้ำหมึกสีดำทะมึน จากนั้นก็ตวัดพู่กันลงบนกระดาษ
“พิณทองมีห้าสิบสายไร้เหตุผล หนึ่งสายหนึ่งเสาคิดถึงปีเรืองรอง
จวงเชิงเสียวเลอะเลือนถึงผีเสื้อ ใจหวังตี้ชุนฝากฝังที่นกแขกเต้า
ไข่มุกจันทราที่สดใสหลั่งน้ำตาในทะเลมรกต นาสีครามอากาศอุ่นหยกเกิดเป็นควัน
ความรู้สึกนี้ถือได้ว่าเป็นการระลึกถึง แต่ตอนนั้นมันหายไป”
บนกระดาษแผ่นนั้นปรากฏความงดงามแต่เรียบง่าย อักขระสวยสด ดูอ่อนโยนและสวยงามเป็นอย่างมาก
สวีเสี่ยวเสียนวางพู่กันลง สูดหายใจเข้าลึก เจ้าแซ่หวางผู้นั้น !
ให้ตายเถิด !
เขาหันหลังพลางลากกระเป๋าปีนเขาออกมาจากใต้เตียง จากนั้นก็สะพายไว้บนบ่า จ้องมองไปยังอักขระบนโต๊ะอีกคราก่อนจะออกไปจากเรือนที่อยู่อาศัยมาตลอดสิบสี่ปีเต็ม จากนั้นก็เดินกลับไปยังเรือนหลัก เขาเดินไปบนถนนหินกรวดที่ถูกแสงสุริยาแผดเผา จนมาถึงศาลาริมน้ำเซียนหยุน
เขาวางกระเป๋าปีนเขาลง ล้วงเข้าไปในกระเป๋าปีนเขาที่ปูดโปน หยิบบุหรี่ออกมาหนึ่งซองพร้อมกับไฟแช็คหนึ่งอัน
รั่วซีอยากให้เขาเลิกบุหรี่ เขาเลิกได้สองปีแล้ว ทว่าสุดท้ายก็กลับมาสูบอีก
เขาจุดบุหรี่แล้วสูดหายใจเข้าลึก ปากของสวีเสี่ยวเสียนพ่นควันหนาออกมา ในขณะที่มองปลาว่ายน้ำอยู่ใต้สระบัวอย่างรื่นเริง
หลายฝูที่กำลังวิ่งเข้ามา ถึงกับตื่นตระหนกเสียยกใหญ่
ไอหยา...ให้ตายเถิด !
คุณชาย คุณชายสามารถกลืนเมฆและพ่นหมอกได้เยี่ยงนั้นหรือขอรับ ?