ตอนที่ 14 หญิงสาวกระโดดกำแพง
สวีเสี่ยวเสียนกำลังคิดถึงช่วงเวลาที่สวยงามในอดีต
ใบหน้าอ่อนเยาว์มีทั้งความทุกข์และความสุข รวมไปถึงความคลุมเครือ ควันถูกปล่อยออกมาจากปากและจมูกของเขา
ท่าทางเช่นนี้ในสายตาของหลายฝู เขารู้สึกว่าคุณชายช่างสูงส่งและสง่างามมากยิ่งนัก !
ช่างดูลึกล้ำเสียจริง !
ร่างของคุณชายที่อยู่ท่ามกลางแสงสุริยาราวกับรูปปั้น ดูเหมือนราชสีห์ที่ตั้งอยู่หน้าศาลาว่าการ
“คุณชาย คุณชายขอรับ ! ”
เสียงของหลายฝูดังขึ้นมา ทำให้สวีเสี่ยวเสียนที่จมอยู่กับความทรงจำในอดีตได้สติขึ้นมา เขาพ่นควันออกมาจากปาก ลอยคลุ้งเต็มหน้าหลายฝู
“แค่ก ๆ ๆ...” หลายฝูยกมือขึ้นมากุมจมูกแล้วไอออกมาหลายที กลิ่นนี้ราวกับพิษที่ทำให้ตนกระอัก หลายฝูผู้หวงแหนในชีวิตของตนจึงรีบถอยหลังออกไปสองก้าว
สวีเสี่ยวเสียน ดีดนิ้วทำให้ขี้บุหรี่ตกลงไปในสระบัวเสียงดังฉี่ ก่อนจะสลายไป
“เกิดอันใดขึ้นกัน ? ”
“จือรุ่ยซื้อวัตถุดิบและเนื้อไก่กลับมาแล้วขอรับ”
สวีเสี่ยวเสียนดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันใด “รอข้าสักครู่ ไม่ ! เจ้าจงไปฆ่าไก่หนึ่งตัว ประเดี๋ยวข้าจะตามไป”
มีไก่ด้วยหรือ ?
หลายฝูฉีกยิ้มขึ้นมาอย่างอบอุ่น เมื่อวานนี้เต้าหู้ที่คุณชายทำรสชาติยอดเยี่ยมมากยิ่งนัก แม้ว่าจะรสเลิศถึงเพียงนั้น แต่คุณชายก็ยังส่ายหน้าแล้วเอ่ยออกมาว่า ขาดส่วนผสมสำคัญหลายอย่าง จึงทำให้เต้าหู้ผิงเฉียวกลายเป็นเต้าหู้ต้ม ช่างล้มเหลวสิ้นดี !
อาหารที่คุณชายเอ่ยว่ามันล้มเหลว ทว่าสำหรับหลายฝูกับจือรุ่ย พวกเขาต่างก็รู้สึกว่านี่คืออาหารเลิศรสในแดนมนุษย์ เช่นนั้นอาหารที่ประสบความสำเร็จของคุณชายจะอร่อยถึงเพียงใดเล่า ?
หลายฝูตั้งตารอคอยมากยิ่งนัก ก่อนจะวิ่งไปทางห้องครัวอย่างดีอกดีใจ
สวีเสี่ยวเสียนนำบุหรี่และไฟแชก ใส่เข้าไปในกระเป๋าปีนเขา จากนั้นเขาก็ล้วงเข้าไปด้านในแล้วหยิบมันฝรั่งขึ้นมา ของสิ่งนี้ ชาวบ้านที่หมู่บ้านไป่ฮวายัดใส่กระเป๋าให้ตนก่อนจะลงเขา เดิมทีเขาตั้งใจว่าจะทำมันฝรั่งตุ๋นเนื้อวัว แต่จือรุ่ยเอ่ยว่า “ยุคสมัยนี้มิให้ฆ่าวัว”
เอาเถิด วัวน่ารักน่าชังถึงเพียงนั้น เขาจะฆ่ามากินได้เยี่ยงไรเล่า ?
เขาจ้องมองมันฝรั่งในมือของตนเอง ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้วสินะ เจ้าสิ่งนี้เริ่มงอกรากแล้ว !
มิได้การล่ะ ! หลังจากกินอาหารเรียบร้อยแล้ว ข้าจะปลูกเจ้านี่ที่เรือนด้านหลัง มิรู้ว่าในโลกนี้มีมันฝรั่งแล้วหรือยัง
เขาสะพายกระเป๋าปีนเขาแล้วเดินเข้าไปในเรือนหลัก จากนั้นก็นำกระเป๋าปีนเขาใบนี้ซุกซ่อนไว้ที่ใต้เตียงอย่างดี สวีเสี่ยวเสียนเดินออกมาที่ชานเรือน เขากำลังเตรียมตัวตุ๋นซุปไก่และทำไก่ฝอย
เสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่และการเดินทาง ถือเป็นเรื่องสำคัญมากยิ่งนัก ดังนั้นจำต้องใส่ใจในขั้นตอนการทำ
……
……
หลังจากที่จี้ซิงเอ๋อได้รับเงินจากพี่สาวของนาง 5 ตำลึงเป็นค่าแรง ทันทีที่สุริยาลอยเด่น นางก็ลอบออกไปจากประตูเรือน จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังตรอกเหลียงเยว่ จนมาถึงหน้าประตูใหญ่ของจวนสวีในที่สุด
ที่ตรอกนี้ค่อนข้างเงียบสงบ จี้ซิงเอ๋อสำรวจไปรอบ ๆ พบว่ากำแพงจวนมิได้สูงเท่าใดนัก หลังจากเหลียวซ้ายแลขวาเพื่อสังเกตผู้คนที่ผ่านไปมาแล้ว นางก็หาจังหวะก้าวถอยหลังออกไปห้าก้าว แล้วกระโดดด้วยขาเรียวยาวทั้งสองข้างขึ้นไปบนกำแพงจวน นางไต่ขึ้นไปอีกสามก้าวก่อนจะใช้มือทั้งสองจับไปที่ขอบกำแพง
ขาเรียวยาวของนางสัมผัสลงที่กำแพงด้านบน บัดนี้ร่างของนางยืนอยู่บนกำแพงเรียบร้อยแล้ว ส่งสายตาสอดส่องเข้าไปด้านในราวกับแมวขโมย แม้แต่ยามกลางวันที่นี่ช่างเงียบเหงาเสียเหลือเกิน
จากนั้นนางก็พลิกตัวแล้วกระโดดลงสู่พื้นเสียงดัง “ตุ๊บ ! ” ตำแหน่งที่นางกระโดดลงมานั้นคือสวนดอกไม้ของเรือนด้านข้าง เมื่อนางยกเท้าขึ้นพบว่านางได้เหยียบดอกไม้ไปหลายดอก หลังจากพิจารณาดูรอบ ๆ แล้วนางก็วิ่งเข้าไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว
ที่นี่มิเลวเลย !
ดูกว้างขวางมากยิ่งนัก ตกแต่งได้ละเอียดและประณีต พิถีพิถันกว่าจวนของนางเสียด้วยซ้ำ มิรู้ว่าก่อนหน้านี้บิดาของสวีเสี่ยวเสียนเป็นคนเยี่ยงไร
ทว่าน่าเสียดายที่จวนนี้เงียบเหงามากยิ่งนัก ทั้งยังไร้ซึ่งผู้คนจึงทำให้ดูวังเวงไปสักหน่อย โชคดีที่บัดนี้สุริยาได้สาดส่องลงมาแล้ว หากเป็นยามราตรีแล้วล่ะก็...จี้ซิงเอ๋อเพียงคิดก็ใจเต้นรัวขึ้นมาแล้ว เนื่องจากนางกลัวผี
นางหลบอยู่หลังเสาต้นหนึ่ง จี้ซิงเอ๋อยื่นศีรษะออกไปดูซ้ายขวา ที่นี่คือเรือนด้านหลัง บัดนี้สวีเสี่ยวเสียนได้จัดการกับบ่าวโฉดชั่วผู้นั้นไปแล้ว คาดว่าเขาคงย้ายไปอาศัยอยู่ที่เรือนหลักแล้ว
นางมิได้รีบร้อนแต่อย่างใด นางเดินไปมาเพื่อทำตัวให้คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ จากนั้นก็เข้าสำรวจเรือนด้านหลัง
นางจินตนาการว่าตนเป็นจอมยุทธ์สาวที่สวมชุดสีดำแนบกายออกเคลื่อนไหวในยามราตรี นางกำลังลงมืออย่างแผ่วเบาแม้ยามกลางวัน ในที่สุดก็เดินมาถึงเรือนที่สวีเสี่ยวเสียนเคยอาศัยอยู่ ทันใดนั้นนางก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
ประตูของเรือนนั้นถูกเปิดอยู่ นางผลักเพียงเบา ๆ ประตูก็เปิดออกแล้ว จากนั้นก็ยื่นศีรษะเข้าไปดู ด้านในมิมีผู้ใดอยู่...ปลอดภัย
นางก้าวเท้าเข้าไปด้านใน จากนั้นก็ปิดประตูจากข้างใน นางพบว่าด้านในถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีเพียงเตียงไม้แกะสลักหนึ่งหลังและโต๊ะเขียนหนังสือที่ทำมาจากไม้ฮวาลี่หนึ่งตัว บนโต๊ะนั้นมีหนังสือกองอยู่เล็กน้อย ด้านข้างเป็นอุปกรณ์เครื่องเขียน
นางเดินไปที่โต๊ะหนังสือแล้วนั่งลง เห็นกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะหนังสือ
บนกระดาษมีอักขระเขียนไว้ น้ำหมึกได้เหือดแห้งไปเนิ่นนานแล้วจึงทำให้มีสีดำเข้ม ดวงตาของหญิงสาวเปล่งประกายระยับ จากนั้นก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ “โอ้...”
อักขระบนกระดาษแผ่นนั้น คือลักษณะการเขียนแบบตัวบรรจง แต่ละอักขระราวกับดอกท้อที่ผลิบาน แม้ว่าจี้ซิงเอ๋อจะมิชอบอ่านหนังสือสักเท่าใดนัก แต่นางก็รับรู้ได้ว่าอักขระเหล่านี้เขียนได้ยอดเยี่ยมยิ่ง เนื่องจากมองไปแล้วดูงดงามเสียยิ่งกว่าอักขระที่พี่สาวของนางเขียนเสียอีก
รอยยิ้มได้ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของหญิงสาว จากนั้นนางก็หยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาอ่านด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
พิณทองมีห้าสิบสายไร้เหตุผล หนึ่งสายหนึ่งเสาคิดถึงปีเรืองรอง
จวงเชิงเสียวเลอะเลือนถึงผีเสื้อ ใจหวังตี้ชุนฝากฝังที่นกแขกเต้า
ไข่มุกจันทราที่สดใสหลั่งน้ำตาในทะเลมรกต นาสีครามอากาศอุ่นหยกเกิดเป็นควัน
ความรู้สึกนี้ถือได้ว่าเป็นการระลึกถึง แต่ตอนนั้นมันหายไป”
นัยน์ตาของหญิงสาวเปล่งประกายมากยิ่งขึ้น ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเบิกบานใจ นางอ่านซ้ำไปซ้ำมาถึงสามรอบด้วยกัน ความรู้สึกนี้ถือได้ว่าเป็นการระลึกถึง แต่ตอนนั้นมันหายไป... ในจวนสวีมีเพียงสวีเสี่ยวเสียนคนเดียวที่ได้ร่ำเรียนหนังสือ ดังนั้นย่อมเป็นเขาที่เขียนมันขึ้นมา หรือว่า...
หญิงสาวเอียงศีรษะครุ่นคิด “หรือว่าเป็นเพราะท่านพ่อทวงคืนหนังสือสัญญาหมั้นหมาย จึงทำให้เขาจิตตกถึงเพียงนี้ ? เขาน่าจะชอบท่านพี่ ทว่าท้ายที่สุดแล้วท่านพี่ก็มิได้แต่งงานกับเขา เขาจึงได้ระบายมันออกมาโดยเขียนเป็นบทกวีที่งดงามและทำให้ผู้อ่านประทับใจเช่นนี้ ? ”
“ความรู้สึกนี้ถือได้ว่าเป็นการระลึกถึง เฮ้อ...ช่างน่าเสียดายอย่างแท้จริง หากเจ้าหมอนี่มิใช่คนบ้า หากท่านพี่ได้เห็นกวีบทนี้ มิแน่ว่าท่านพี่อาจจะชอบ”
หญิงสาวถอนหายใจออกมาอย่างน่าเสียดาย โชคชะตามักชอบเล่นตลกกับผู้คน นางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็นำกระดาษแผ่นนี้เก็บลงไปในกระเป๋าเสื้อ นางจะต้องนำกลับไปให้พี่สาวดูให้จงได้
เมื่อนางเก็บกระดาษใบนี้ลงไปแล้ว พบว่ายังมีกระดาษอีกแผ่น กระดาษใบนั้น เป็นตัวอักษรที่เขียนโดยใช้รูปแบบสิงซู ซึ่งแตกต่างไปจากตัวอักษรแบบบรรจงเป็นระเบียบเรียบร้อยโดยสิ้นเชิง
“เอ๋...”
นางรู้สึกแปลกใจมากขึ้นไปอีก ดังนั้นนางจึงหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาอ่าน
“คูเมืองเก้าโค้งสามเดือนสาม ต้นหลิวยาวสยาย
ฝุ่นหอมโหมทะยานดั่งม้ารมไปทั่วถนนสีทอง ชะล้างเศษผ้าของฤดูไม้ผลิ
หน่อไม้ขมปลาตะลุมพุกรสชาติบ้านเกิดที่เลิศรส ฝันของเจียงหนาน
หมอกบนผืนน้ำลมยามเย็นที่สงบนิ่ง ณ ประตูตะวันตก ปลดใบเรือแล่นกลับไป
สามเดือนสาม กวีบทนี้เห็นได้ชัดว่าเพิ่งประพันธ์เมื่อวานนี้
เขามิเคยเดินทางออกจากเขตเหลียงอี้เสียด้วยซ้ำ แล้วเขาเอาความฝันถึงเจียงหนานมาจากที่ใดกัน ?
เห็นได้ชัดว่าสวีเสี่ยวเสียนชื่นชอบในอาหารการกิน อย่างเช่น....อาหารทั้งสองชนิดที่หอต้านสุ่ยเมื่อคืนนี้
น่าประหลาดมากยิ่งนัก เขาเป็นเพียงหนอนหนังสือที่มิเคยเดินทางออกจากเขตเหลียงอี้เลยสักครา อีกทั้งยังเป็นโรคประสาท แต่เขากลับจินตนาการฝันถึงเจียงหนาน เขาระลึกถึงรสชาติของหน่อไม้ขมปลาตะลุมพุกอันเลิศรส นี่มัน...มิสมเหตุสมผลเอาเสียเลย !
เขาไปเอาหน่อไม้ขมกับปลาตะลุมพุกมาจากที่ใด ?
คาดว่าคงจะอร่อยมากเป็นแน่ !
หากได้ลิ้มลองรสชาติคงจะดีมิน้อย
บัดนี้หญิงสาวผู้ชื่นชอบในการกิน ทำได้เพียงกลืนน้ำลายลงคอ ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากด้านนอก นางจึงรีบเก็บกระดาษแผ่นนั้นลง ก่อนจะวิ่งไปซ่อนตัวอยู่หลังหน้าต่าง จากนั้นก็โผล่ศีรษะน้อย ๆ กับดวงตากลมโตออกมาดู เห็นชายผู้หนึ่งท่าทางเหมือนบ่าวรับใช้ กำลังขุดดินอยู่บริเวณมุมหนึ่งของลาน
เขาขุดดินเพื่อทำอันใดกัน ?
ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว สวีเสี่ยวเสียนจะปลูกดอกไม้เยี่ยงนั้นหรือ ?