ตอนที่ 15 ไก่ของข้าเล่า ?
“คุณชายเจ้าคะ”
“อือ...”
“วันนี้บ่าวซื้อแม่ไก่มา 2 ตัว ส่วนผสมและเครื่องปรุงเหล่านั้นก็ได้ซื้อมาแล้ว ใช้เงินไปทั้งหมด 72 อีแปะ เหลือเงิน 28 อีแปะเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวบ่าวจะนำ 28 อีแปะมาให้ ทว่าคุณชายต้องให้บ่าว 1 ตำลึงนะเจ้าคะ”
1 ตำลึงเท่ากับหนึ่งพวงเงินหรือ 1,000 อีแปะ ดังนั้นราคานี้ถือว่าถูกมากยิ่งนัก... “เจ้าจะเอาเงินหนึ่งตำลึงไปทำอันใดกัน ? ”
สวีเสี่ยวเสียนเอ่ยถามขณะที่กำลังหั่นไก่
“บ่าวต้องจัดยาตามใบสั่งให้กับคุณชายเจ้าค่ะ ในอดีตเจ้าบ่าวชั่วจางซิ่วมิยอมให้เงิน คุณชายจึงมิได้ทานยาเป็นจริงเป็นจัง บ่าวคิดว่าตอนนี้คุณชายก็มีเงินแล้ว จึงจำต้องทานยา เพราะเยี่ยงไรเสียก็เป็นใบสั่งยาจากหมอเทวดา หากคุณชายทานยาเป็นประจำจะต้องหายดีอย่างแน่นอน คุณชายเห็นเป็นเยี่ยงไรบ้างเจ้าคะ ? ”
ยาชนิดนี้ราคาแพงมากยิ่งนัก แต่มิว่าจะเป็นยาชนิดใดก็แพงเหมือนกันนั่นแหละ
สวีเสี่ยวเสียนนำไก่ที่หั่นเสร็จแล้วโยนลงไปในหม้อดินเผา จากนั้นก็ใส่ขิงสองสามชิ้นตามลงไป “จือรุ่ย ข้าขอเอ่ยกับเจ้าตามตรง เงิน 1 ตำลึง ข้าสามารถมอบให้เจ้าได้อยู่แล้ว ทว่าอย่านำไปซื้อยาเลย ซื้อไก่มาทานมิดีกว่าหรือ ? ”
ไก่หนึ่งตัวราคาเพียง 50 อีแปะเท่านั้น ไก่ตัวเมียอายุสองสามปี มิได้ซื้อมาได้ง่าย ๆ เพราะทุกคนต่างเลี้ยงไว้เก็บไข่
1 ตำลึงสามารถซื้อไก่ได้มากถึง 20 ตัว !
มันมีคุณค่าทางสารอาหาร ทั้งยังช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรงและมีราคาถูกถึงเพียงนี้ ภายภาคหน้าจำต้องทานไก่ทุกวัน !
จือรุ่ยที่กำลังก่อไฟ เงยหน้าขึ้นมองคุณชาย “หากอาการป่วยของคุณชายมิได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน...” นางอยากเอ่ยว่าหากคุณชายจากไปตั้งแต่อายุยังน้อยแล้วจะทานไก่ได้เยี่ยงไรกัน ?
แต่นางรู้สึกว่ามิเป็นการดีเท่าใดที่จะเอ่ยเช่นนั้นออกไป นางเกรงว่าจะเป็นการทำร้ายจิตใจที่อ่อนแอของคุณชาย “บ่าวรู้สึกว่านำไปซื้อยาจะดีกว่าเจ้าค่ะ”
ภายภาคหน้าห้ามมอบเงินให้นางมากกว่าหนึ่งหรือสองตำลึงเป็นอันขาด
“เกลือเล่า ? ”
“โอ้...อยู่บนตู้เจ้าค่ะ”
สวีเสี่ยวเสียนหยิบไหเกลือขึ้นมาดู...เกลือเขียว !
เมื่อคืนยามที่ทำเต้าหู้ผิงเฉียว มีแสงสว่างมิมากนักจึงมิได้จับสังเกต มิน่าเล่าเต้าหู้ที่ทำจึงมีรสฝาด เกลือนี้...เขายื่นนิ้วไปแตะและนำใส่ปากเพื่อชิม เกลือเขียวมีรสชาติขมฝาดเข้มข้น แล้วแบบนี้อาหารที่ทำออกมาจะอร่อยได้เยี่ยงไร ?
มิได้การ ! ต้องทำเกลือขาวออกมาสักเล็กน้อยแล้ว
“จือรุ่ยในจวนของเรามีถ่านไม้หรือไม่ ? ”
“มีเจ้าค่ะ ! บ่าวชั่วผู้นั้นใช้ถ่านไม้เพื่ออบอุ่นร่างกายในฤดูหนาว เมื่อวานตอนที่ทำความสะอาดบ่าวเห็นมีเหลืออยู่มากโขเลยเจ้าค่ะ”
เมื่อมีถ่านไม้ก็สามารถทำเกลือขาวด้วยวิธีง่าย ๆ ได้แล้ว “เจ้าไปนำถ่านไม้มาจำนวนหนึ่ง ใช่ ! นำผ้าป่านที่สะอาด ๆ มาสองสามผืนด้วย”
“คุณชายต้องการทำอันใดเจ้าคะ ? ”
สวีเสี่ยวเสียนยกยิ้มขึ้น “ข้าต้องการแสดงปาหี่ให้เจ้าชม”
จือรุ่ยลุกขึ้นยืน ตบไล่ขี้เถาตามร่างกาย จากนั้นก็หันไปมองสวีเสี่ยวเสียน ในแววตาคู่นั้นมีความกังวลซ่อนอยู่เล็กน้อย
สวีเสี่ยวเสียนนำเกลือเขียวในไหเทลงเครื่องโม่และลงมือโม่อยู่เป็นเวลานาน จากนั้นก็นำผงแป้งที่ทำไว้เทลงไปในไหอีกครา
จือรุ่ยจ้องมองด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็เห็นคุณชายก็ใส่น้ำลงไปในไหนั้น “คุณชาย ! ”
แย่แล้ว...อาการป่วยของคุณชายกำเริบอีกแล้ว !
จือรุ่ยก้าวไปเบื้องหน้าหนึ่งก้าวและฉวยกระบวยตักน้ำในมือของคุณชายมาถือไว้มา “คุณชาย...เกลือมีราคาแพงนะเจ้าคะ ท่านทำเช่นนี้มิใช่ว่าเป็นการสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์หรอกหรือเจ้าคะ ? ”
สวีเสี่ยวเสียนรู้สึกหดหู่ใจมากยิ่งนัก เขาไร้หนทางที่จะอธิบายกับคนสมัยโบราณได้ว่านี่คือความรู้ทางเคมี
“ข้าบอกกับเจ้าแล้วมิใช่หรือ ว่าข้าต้องการแสดงปาหี่ให้เจ้าดู นอกจากนี้นี่คือเกลือของข้า ข้าจะทำเยี่ยงไรกับมันก็ได้ นำกระบวยตักน้ำคืนมา ! ”
จือรุ่ยก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกมิยุติธรรม นางส่งกระบวยตักน้ำคืนให้สวีเสี่ยวเสียนด้วยความมิเต็มใจอย่างยิ่งยวด น่าเสียดาย ที่เกลือครึ่งไหต้องเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ด้วยฝีมือของคุณชาย
จากนั้นนางก็เห็นสวีเสี่ยวเสียนเติมน้ำพลางคนให้เข้ากัน หลังจากนั้นก็เทน้ำเกลือผ่านผ้าป่านลงไปอีกโถหนึ่ง
สวีเสี่ยวเสียนใช้ค้อนทุบถ่านไม้ให้แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ จากนั้นก็ใช้ผ้าป่านห่อไว้สี่ชั้น จากนั้นก็นำกรวยสำหรับรินสุรามา นำถ่านไม้ที่ถูกห่อด้วยผ้าป่านไว้อย่างดีใส่ไว้ในกรวย “มา...มาช่วยข้าถือกรวยนี่ ! ”
สวีเสี่ยวเสียนยกโถขึ้นมา จากนั้นก็เทน้ำเกลือลงไปช้า ๆ เพียงมินานก็มีของเหลวไหลออกมาจากด้านล่างของกรวย
จากนั้นก็เทน้ำเกลือลงไปในหม้อ
“สุมไฟ ! ”
คุณชายต้องการทำอันใดกันแน่ ?
จือรุ่ยมิเข้าใจในสิ่งที่คุณชายกำลังทำอยู่ นางนั่งลงหน้าเตาอีกครา จากนั้นก็เริ่มสุมไฟตามคำสั่งของคุณชาย
สวีเสี่ยวเสียนมิได้อธิบายอันใดให้แก่นาง เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป น้ำในหม้อค่อย ๆ ระเหยออกไปจนหมด เหลือทิ้งไว้เพียงเกลือสีเขียวอ่อนที่ก้นหม้อ
เขาโกยเกลือลงไปในเครื่องโม่ จากนั้นก็ลงมือโม่อย่างดุเดือด พอโม่เสร็จแล้วก็ใช้ปลายนิ้วแตะไปที่เกลือ จากนั้นก็นำไปแตะที่ปลายลิ้นเพื่อลิ้มรส อือ...มิมีรสขมฝาดนั้นแล้ว
มิเลว ! เพราะไร้ซึ่งหนทางที่จะทำให้เป็นเกลือขาวโดยสมบูรณ์ได้ ทว่าเพียงเท่านี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว
“จือรุ่ย เจ้าลองชิมดู”
การกระทำแสนประหลาดของคุณชายก็เพื่อสิ่งนี้เยี่ยงนั้นหรือ ?
นี่ยังเป็นเกลืออยู่อีกหรือ ?
มันมิใช่ก้อนผลึกอีกต่อไป มันแปรเปลี่ยนเป็นเม็ดละเอียด สีของมันอ่อนกว่าก้อนผลึกเกลือเขียวอยู่มากโข ของสิ่งนี้นำไปทำอันใดได้กัน ?
จือรุ่ยใช้ปลายนิ้วแตะไปที่เกลือ จากนั้นก็นำมาแตะที่ปลายลิ้นเพื่อลองลิ้มรส...เค็ม !
ก็ยังเป็นเกลือดังเดิม
เอ๋...จือรุ่ยชะงักงันทันใด รสชาติขมฝาดที่คุ้นเคยนั่นเล่า ?
เหตุใดถึงได้หายไปแล้วล่ะ ?
สวีเสี่ยวเสียนจ้องมองจือรุ่ยด้วยสีหน้าระรื่น “เป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ปาหี่ของข้าดีหรือไม่ ? ”
“นี่...รสชาตินี้ดีกว่ามากโข รสขมฝาดหายไปที่ใดแล้วเจ้าคะ ? ”
สวีเสี่ยวเสียนชี้ไปยังเศษถ่านไม้ในถุงนั้น “ถูกมันดูดไปจนสิ้นแล้ว...เกลือหนึ่งชั่งราคาเท่าใด ? ”
ช่างมหัศจรรย์มากยิ่งนัก จือรุ่ยจ้องมองไปทางคุณชาย ทันใดนั้นนางก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา เหตุใดคุณชายถึงทำของสิ่งนี้ขึ้นมาได้กัน ?
“เกลือเขียวชั้นดีราคา 500 อีแปะ เป็นเกลือเขียวเหมือนกันกับที่จวนของเรา เกลือคุณภาพต่ำจะถูกลงมาหน่อยราคา 200 อีแปะ ทว่าจะขมฝาดยิ่งกว่าเจ้าค่ะ”
“โอ้...” สวีเสี่ยวเสียนตักฟองในหม้อซุปไก่ออก เขามิได้คิดจะทำกิจการเกี่ยวกับเกลือแต่อย่างใด เพราะของสิ่งนี้คือส่วนผูกขาดของทางราชสำนัก นอกจากจะได้รับใบอนุญาตประกอบการค้าเกลือ เห็นได้ชัดว่านี่มิใช่สิ่งที่ปุถุชนเยี่ยงเขาจะทำได้
สวีเสี่ยวเสียนวุ่นวายอยู่หน้าเตาชั่วครู่ กลิ่นหอมของซุปไก่ค่อย ๆ อบอวลไปทั่วทั้งจวน เขาตักเนื้อขาไก่ขึ้นมา จากนั้นก็ฉีกเป็นฝอยขณะที่ยังร้อนและจัดใส่จาน
“ไก่ฝอย...หากใช้เนื้อส่วนขาจะนุ่มและชุ่มฉ่ำ”
“ใส่เกลือ น้ำส้มสายชู ซีอิ๊วขาวเพื่อปรุงรสเล็กน้อย น้ำตาล...มิมีน้ำตาล เฮ้อ...น่าเสียดายที่มิมีน้ำมันพริก ทำได้เพียงใช้น้ำจูยวี1 ซึ่งรสชาติจะต่างกันมาก ทว่าก็พอถูไถไปได้ ใส่ผงพริกไทยลงไปอีกเล็กน้อย ใช้แตงกวาวางเป็นฐาน จากนั้นก็วางไก่ฝอยที่ปรุงรสแล้วลงไป...”
สวีเสี่ยวเสียนทำไปพลางเอ่ยไปพลาง จนจือรุ่ยที่มองอยู่ต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ หอมเกินไปแล้ว ท่าทางน่าจะอร่อยเป็นอย่างมาก !
“สุดท้ายอาหารก็จะออกมาเป็นเช่นนี้...น่าเสียดายที่มิมีน้ำมันพริก”
ในสายตาของสวีเสี่ยวเสียน อาหารจานนี้ถือว่ามิมีจิตวิญญาณ แต่เขายังจะทำอันใดได้อีกกัน ? แม้ว่ากระเป๋าปีนเขาจะใหญ่ แต่ผู้ใดจะทราบได้เล่า...ว่าตนเองจะทะลุมิติมาเช่นนี้ ผู้ใดจะใส่พริกลงไปในกระเป๋าถ้ามิมีความจำเป็น ?
“เอาล่ะ เคี่ยวซุปไก่ในหม้อต่อไป นำเกลือไปตากแดด ประเดี๋ยวมาทานข้าวได้”
นายและบ่าวเดินออกไปจากโรงครัว สวีเสี่ยวเสียนตรงไปยังเรือนหลัก จือรุ่ยนำเกลือไปตากแดดที่ลาน นางมีความสับสนอยู่เต็มสมอง ในโรงครัวที่ว่างเปล่านี้กลับมีกลิ่นหอมของซุปไก่ลอยอบอวล
ในที่สุดจี้ซิงเอ๋อก็หลบหลายฝูจนพ้นและมาถึงที่นี่จนได้ จมูกน้อย ๆ ของนางกระตุกอยู่สองครา หอมยิ่งนัก !
นางลอบเข้ามาในโรงครัว มิมีผู้ใดอยู่ เอ๋...เนื้อไก่จานนั้นที่วางอยู่บนโต๊ะหน้าตาดูดีมากยิ่งนัก ท่าทางจะอร่อย
นางกลืนน้ำลายหนึ่งอึก พลางยื่นมือไปบิดชิ้นเนื้อและใส่เข้าไปในปากเพื่อลิ้มรส
ไอหยา...อร่อยมากยิ่งนัก !
นี่ก็ใกล้จะยามอู่แล้ว นางต้องกลับแล้ว
ในเมื่อมาแล้ว ก็มิสามารถกลับไปมือเปล่าได้ ต้องนำกลับไปด้วยสักหน่อยแล้ว
นอกจากนี้ สวีเสี่ยวเสียนก็เกือบจะได้เป็นพี่เขยของตนอยู่แล้ว หากจะหยิบอันใดติดไม้ติดมือไปสักหน่อยก็คงมิเป็นไร
นางชั่งใจอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายรสชาติที่น่าดึงดูดก็เอาชนะศีลธรรมได้อย่างง่ายดาย
จี้ซิงเอ๋อจากไปแล้ว นางหยิบจานไก่ฝอยติดมือไปด้วยอย่างมิรู้สึกผิด
จือรุ่ยกลับมายังโรงครัว นางส่งเสียงหวีดร้องออกมาเสียงดัง “คุณชาย คุณชายเจ้าคะ... ! ”
“ไฟไหม้โรงครัวหรือเยี่ยงไรกัน ? ” สวีเสี่ยวเสียนรีบเดินกลับมา เขาเห็นจือรุ่ยยืนอยู่หน้าโต๊ะด้วยท่าทีงุนงง
บนโต๊ะนั้นมีทุกอย่าง ยกเว้นจานไก่ฉีกเท่านั้นที่หายไป
“ไก่ของข้าเล่า ? ”
ดวงตาของสวีเสี่ยวเสียนเบิกกว้าง จือรุ่ยเอ่ยออกมาเสียงเบา “หรือว่าจะบินไปแล้วเจ้าคะ ? ”
บินกับผีสิ !
สวีเสี่ยวเสียนรีบเดินออกมาจากโรงครัว จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังลั่นว่า “หลายฝู หลายฝู...เป็นเจ้าใช่หรือไม่ที่ลอบเข้ามากินไก่ของข้า ? ! ”
1จูยวี หรือ คอร์นัส/คอร์เนล เป็นต้นไม้ผลัดใบขนาดเล็กที่มีดอกสีเหลืองขนาดเล็กผลรูปไข่สีแดงรสเปรี้ยวสามารถใช้เป็นยาได้