ตอนที่ 17 ฉางเหว่ย
สวีเสี่ยวเสียนที่ทำให้จี้เยวี่ยเอ๋อเจ็บปวดรวดร้าว กำลังกินไก่อย่างมีความสุข
ไก่ยุคโบราณอร่อยกว่าไก่ในชาติที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด !
เลี้ยงดูโดยธรรมชาติไร้ซึ่งสารเคมีอย่างแท้จริง โรยเกลือลงไปในซุปไก่เล็กน้อย เคี่ยวจนน้ำซุปเป็นสีเหลืองทอง รสชาติของซุปหวานหอมอย่างไร้ที่เปรียบ
สวีเสี่ยวเสียนถอนหายใจออกมาด้วยความเสียดายที่ไก่ไร้ปีกได้บินหายไป เขาก็รู้สึกได้ว่าจวนนี้มิปลอดภัย
“หลายฝู ! ”
“คุณชาย”
“ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นคราสุดท้าย เจ้ามิได้ขโมยไก่จานนั้นของข้าไปจริง ๆ ใช่หรือไม่ ? ”
หลายฝูรู้สึกหดหู่ใจมากยิ่งนัก เขาจึงกล่าวสาบานด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “คุณชาย...ข้าน้อยขุดดินอยู่ที่สวนด้านหลัง ไก่จานนั้นหน้าตาเป็นเยี่ยงไร ข้าน้อยก็ยังมิทราบเลยขอรับ หากข้าน้อยขโมยไปจริง ๆ ขอให้ถูกฟ้าผ่าเพื่อเป็นการลงทัณฑ์ ! ”
ทันใดนั้นเมฆดำก็ได้ลอยผ่านมาบดบังแสงสุริยาที่สว่างจ้า แสงสว่างมืดลงไปถึงสองส่วน ดวงตาของสวีเสี่ยวเสียนเบิกกว้างขึ้นมาทันพลัน หลายฝูรู้สึกอยากตายให้รู้แล้วรู้รอด
สวีเสี่ยวเสียนรู้ดีว่ามิใช่หลายฝูที่ขโมยไป แต่แล้วจะเป็นผู้ใดได้อีกกัน ?
“จวนนี้มิค่อยปลอดภัย คงต้องเลี้ยงสุนัขไว้เฝ้าจวนสักหน่อยแล้ว” สวีเสี่ยวเสียนเอ่ยพลางครุ่นคิด หลายฝูที่กลัวตายยังคงจ้องมองเมฆดำบนท้องนภาด้วยอาการอกสั่นขวัญแขวน จนกระทั่งเมฆดำลอยผ่านไป แสงสุริยาก็ได้สาดส่องลงมาอีกครา จิตใจของเขาถึงค่อย ๆ สงบลง
วันเวลาได้ผ่านไปอย่างเรียบง่าย บัดนี้ในกระเป๋าของสวีเสี่ยวเสียนมีเงินแล้ว สุดท้ายเขาก็มิได้ให้เงินหนึ่งหรือสองตำลึงกับจือรุ่ยไป จือรุ่ยจึงไร้หนทางที่จะไปร้านยาตระกูลโจวเพื่อซื้อยาตามใบสั่ง
คุณชายมิได้ทานยามาตั้งแต่ต้น อาการของเขาเหมือนว่า... เหมือนว่าจะคงที่แล้ว เพราะในช่วงหลายวันมานี้หากคุณชายมิได้อ่านหนังสือหรือคัดลายมืออยู่ที่ศาลาริมน้ำเซียนหยุน เขาก็จะไปทำอาหารแทน
บัดนี้ทั้งจือรุ่ยและหลายฝูต่างก็ตั้งตารอคอยช่วงเวลาทานอาหารสามมื้อต่อหนึ่งวัน แม้แต่อาหารเช้า คุณชายก็สามารถทำออกมาได้เช่นกัน
อย่างเช่น ซาลาเปาใส่ไส้ แป้งทอดต้นหอมและอื่น ๆ
เมื่อเทียบกับบะหมี่ในอดีต อาหารที่คุณชายทำมีรสชาติอร่อยมากยิ่งนัก
ทว่าปัญหาเดียวของคุณชายที่จือรุ่ยมิเข้าใจก็คือ...เหตุใดคุณชายถึงชอบให้นางสวมชุดกระโปรงสีเหลือง ทั้ง ๆ ตัวที่นางชอบเป็นชุดกระโปรงสีเขียวมรกต เพราะว่าเมื่อสวีเสี่ยวเสียนเห็นนางสวมชุดกระโปรงสีเขียวมรกต แล้วจะทำให้เขาคิดถึงฉินรั่วซีภรรยาในชาติที่แล้วของเขา ทั้งยังมีเจ้าแซ่หวางข้างกำแพงนั่นอีกด้วย !
เพื่อให้อารมณ์ของคุณชายคงที่ เพื่อที่คุณชายจะได้อารมณ์ดีและสามารถทำอาหารที่เลิศรสออกมาได้ จือรุ่ยจึงมิได้ฝ่าฝืนคำสั่งของคุณชาย นางจึงเดินไปมาในจวนด้วยชุดสีเหลืองห่าน
วันเวลาได้ผ่านไปอย่างสงบสุข วันนี้มีฝนในฤดูใบไม้ผลิตกลงมา
จือรุ่ยได้ซื้อวัตถุดิบทั้งหมดกลับมาแล้ว เห็นคุณชายยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ในศาลาริมน้ำเซียนหยุนดังเดิม นางหวนนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ที่ได้ยินมาเมื่อครู่ รู้สึกว่าควรจะเล่าให้คุณชายฟังสักหน่อย
“คุณชายเจ้าคะ คดีพระสงฆ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่สามเดือนสามจนถึงบัดนี้ก็ยังมิคลี่คลายเลยเจ้าค่ะ ท้องถนนมีเจ้าหน้าที่ทางการคอยลาดตระเวนอยู่จำนวนมาก ได้ยินมาว่า...ได้ยินมาว่าเจ้าหน้าที่ตรวจตราจากรัฐเหลียงต่างก็มาที่นี่กันหมด”
สวีเสี่ยวเสียนที่กำลังพลิกอ่าน ‘บันทึกภูมิประเทศของต้าเฉิน’ เมื่อได้ยินคำบอกเล่าของจือรุ่ยก็เพียงยกยิ้มขึ้นมาบาง ๆ “มิใช่ว่าแค่พระสงฆ์สิ้นใจรูปหนึ่งหรอกหรือ ? เหตุใดเจ้าหน้าที่จากรัฐเหลียงถึงตื่นตัวได้เล่า ? ”
“วันที่สามเดือนสามมิได้มีเพียงพระสงฆ์เท่านั้นที่ตาย ที่ตรอกหยางหลิวทางเหนือของเมือง เรือนของหยางหยวนเหว่ยลูกชายและลูกสะใภ้ของเขาเสียชีวิตในวันนั้นเช่นกัน... ได้ยินแล้วก็น่าสังเวชยิ่งนัก คืนวันแต่งงาน ลูกชายของเขาถูกสับจนเลือดสาด แม้แต่ศีรษะก็ถูกตัดไป หายไปที่ใดก็มิมีผู้ใดทราบ ส่วนลูกสะใภ้ของเขาผูกคอตาย สามชีวิตในหนึ่งวัน เป็นเรื่องใหญ่ที่น่าตกตะลึงเจ้าค่ะ”
สวีเสี่ยวเสียนวางหนังสือในมือลง ขมวดคิ้วเล็กน้อย “พระสงฆ์รูปนั้นมีความเกี่ยวข้องกับการตายของทั้งสองเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“บ่าวได้ยินมาว่า... ได้ยินมาว่าพระสงฆ์รูปนั้นมิใช่คนดี เป็นพระสงฆ์ที่มั่วในกาม พวกพ่อค้าเอ่ยกันว่าคืนนั้นเกรงว่าพระสงฆ์ที่มั่วในกามรูปนั้นจะควานเจอห้องหอลูกชายของหยางหยวนเหว่ยและได้ทำเรื่องผิดศีลธรรมลงไป เมื่อเจ้าบ่าวมาเห็นเข้า จึงได้สังหารพระสงฆ์รูปนั้น ส่วนฝ่ายเจ้าสาวเมื่อถูกทำให้แปดเปื้อนแล้ว จึงทำได้เพียงใช้ผ้าแพรต่วนผูกคอตาย”
สวีเสี่ยวเสียนแสยะยิ้ม “แล้วเหตุใดศพของพระสงฆ์รูปนั้นถึงได้ลอยอยู่ที่ทะเลสาบฉายหยุนเล่า ? ”
“เรื่องนี้...” จือรุ่ยอ้าปากค้าง “พวกเขามิได้เอ่ยถึงเจ้าค่ะ”
“อย่าได้สนใจเรื่องวุ่นวายเหล่านี้เลย แล้วเรื่องที่ข้าให้เจ้าไปเอ่ยถามเล่า...เรื่องที่ดินน่ะ ? ”
“ต้นปีนี้ถือว่าสงบสุขมากยิ่งนัก ทุกคนต่างใช้ชีวิตกันได้ราบรื่น ยังมิมีผู้ใดขายที่ดินเจ้าค่ะ”
สวีเสี่ยวเสียนครุ่นคิด เขามิสามารถเร่งรีบกับเรื่องนี้ได้ บัดนี้ทั้งตัวก็มีเงินอยู่เพียง 200 ตำลึงเท่านั้น ดังนั้นจึงมิจำเป็นต้องรีบร้อนอันใดในตอนนี้
“แล้วหลายฝูเล่า ? ”
“คุณชายมิได้สั่งให้หลายฝูไปหาสุนัขมาหนึ่งตัวหรอกหรือเจ้าคะ ? ”
เจ้าหมอนี่ ! หาสุนัขมันยากถึงเพียงนั้นเลยหรือ ? นี่มันกี่วันเข้าไปแล้ว หรือว่าเจ้าหลายฝูกำลังอาศัยข้ออ้างเรื่องการหาสุนัขไปเที่ยวเตร่อยู่ข้างนอกกัน ?
เมื่อเขากลับมาคงต้องหลอกถามเขาสักหน่อย เอาเงินเดือนจากข้าไปแล้ว ยังวิ่งออกไปทำงานอื่นอยู่อีกหรือ ?
ยังดีที่จือรุ่ยรู้ใจข้า !
“...เจ้าไปล้างเนื้อแกะเถิด มื้อกลางวันพวกเราจะทานเนื้อแกะตุ๋นกัน”
“ไอหยา...”
จือรุ่ยรีบวิ่งกลับไปยังโรงครัว สายตาของสวีเสี่ยวเสียนมองตามร่างของจือรุ่ยไป มุมปากของเขาพลันกระตุกยิ้มขึ้น จือรุ่ยในยามนี้ราวกับผีเสื้อสีเหลืองตัวหนึ่งที่กำลังโบยบิน
ไอหยา ! ข้าลืมเรื่องใหญ่ไปได้ มันฝรั่งแตกหน่อแล้ว ต้องรีบนำไปปลูกที่แปลงแล้ว
ดังนั้นสวีเสี่ยวเสียนจึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังเรือนหลัก เขาดึงกระเป๋าปีนเขาออกมาจากใต้เตียง ควานหาของที่อยู่ด้านใน จากนั้นก็ดึงมันฝรั่งขนาดเท่ากำปั้นออกมา 4 หัว เขาหยิบมีดสั้นติดมือออกมาด้วย ของสิ่งนี้ภรรยาของเขาได้นำมาใส่ไว้ในกระเป๋าปีนเขาเพื่อเอาไว้ป้องกันตัว
เมื่อหยิบมันฝรั่งและมีดสั้นออกมาแล้ว สวีเสี่ยวเสียนก็นั่งหั่นมันฝรั่งอยู่ในลาน
มันฝรั่งทั้งสี่ลูกแตกหน่อออกมาได้ดี สวีเสี่ยวเสียนหั่นมันฝรั่งเป็นชิ้น ๆ อย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เข้าไปในโรงครัวเพื่อหยิบขี้เถ้ามาจำนวนหนึ่ง ในตอนที่เขากำลังทาขี้เถ้าลงบนมันฝรั่งที่หั่นไว้อย่างดีนั้น ก็ได้ยินเสียงเห่าดังขึ้นมา เขาจึงเหลือบตาขึ้นไปมอง พบว่าหลายฝูได้จูงสุนัขสีทองตัวใหญ่เดินเข้ามา
“คุณชาย...จับมาได้ตัวใหญ่เลยขอรับ ! ”
สวีเสี่ยวเสียนตื่นตกใจขึ้นมาทันใด จากนั้นก็มองไปที่สุนัขตัวนั้น มันแลบลิ้นออกมาพลางจ้องมองสวีเสี่ยวเสียนด้วยสีหน้าตื่นเต้นเช่นกัน
เป็นสุนัขที่ดูดีมากยิ่งนัก มันมีรูปร่างอ้วนท้วมแข็งแรง ขนเงาเป็นประกาย !
ดูเหมือนว่ามันจะมีอาหารการกินที่มิเลวและมีที่พักที่มิเลวด้วยเช่นกัน
“...เจ้าใช้เงินซื้อมาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“มิใช่ขอรับ สุนัขจวนผู้ใดก็มิทราบ ข้าน้อยดักติดมือมาได้ก็เลยนำกลับมาขอรับ”
ทำได้ดี !
เหมือนว่าสุนัขสีทองตัวใหญ่นี้จะเกรงกลัวสภาพแวดล้อมที่มิคุ้นเคย มันจ้องมองสวีเสี่ยวเสียนตาเขม็ง “โฮ่ง ๆ ๆ...” และเห่าอย่างบ้าคลั่ง สวีเสี่ยวเสียนยิ้มร่า “นำเจ้านี่ไปผูกไว้หน้าเรือน ต่อจากนี้จงเรียกมันว่าฉางเหว่ย ! ”
สุนัขที่ตัวใหญ่ถึงเพียงนี้ มิรู้เช่นกันว่าจะเลี้ยงให้เชื่องได้หรือไม่ ?
หากเลี้ยงให้เชื่องมิได้...ก็ต้องตุ๋นให้สุก !
สวีเสี่ยวเสียนมิได้สนใจเรื่องนี้อีก เขานำมันฝรั่งที่ทาขี้เถ้าไว้อย่างดีมาห่อไว้ จำต้องทิ้งมันไว้หนึ่งคืน พรุ่งนี้ค่อยนำไปปลูก
หลายวันมานี้สวีเสี่ยวเสียนได้อ่านหนังสือมากมาย เขามั่นใจแล้วว่าในโลกใบนี้มิมีสิ่งที่เรียกว่ามันฝรั่ง
เยี่ยงนี้มันฝรั่งสี่ลูกนี้ถือเป็นบรรพบุรุษของมันฝรั่งแล้ว ต้องอาศัยพวกมันไว้แพร่พันธุ์ แน่นอนว่าต้องล้ำค่าอย่างไร้ที่เปรียบ
รอจนรุ่นลูกรุ่นหลานของพวกมันมีจำนวนมากแล้ว เนื้อวัวตุ๋นมันฝรั่ง มันฝรั่งทอด ยำมันฝรั่ง... คิด ๆ ไปแล้วก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันใด
ใช่ ! จางซิ่วถูกโยนเข้าคุกไปแล้ว บัดนี้นายอำเภอจี้กำลังวุ่นวายอยู่กับคดีฆาตกรรม จึงมิรู้ว่าจางซิ่วผู้นั้นจะตายในคุกแล้วหรือยัง
ยามเว่ยไปดูสักหน่อยดีหรือไม่ ?