ตอนที่ 18 นายอำเภอจี้ผู้ทุกข์ใจ
ณ ศาลาว่าการเหลียงอี้
ใต้เท้าโจวหยางเจ้าหน้าที่ตรวจการนั่งอยู่กลางสำนักงาน โดยมีนายอำเภอจี้นั่งอยู่ข้าง ๆ ด้วยท่าทีระมัดระวัง
คิ้วทั้งสองข้างของโจวหยางเลิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบถ้วยน้ำชาแล้วหันไปมองนายอำเภอจี้ “นี่ก็ผ่านไปสิบกว่าวันแล้ว ทว่าคดีกลับมิคืบหน้า นายอำเภอจี้ มิใช่ว่าข้าอยากจะทำให้ท่านต้องอึดอัดใจหรอกหนา ทว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นในเขตการดูแลของท่าน ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเอ่ยว่าในปีนี้ทางราชสำนักมิได้ส่งตัวแทนมาเป็นพิธีเท่านั้น ทว่าครานี้ใต้เท้าถงจากฝ่ายตรวจการจะเดินทางมาดำเนินการด้วยตนเอง”
“แม้ว่าจะยังพอมีเวลา แต่หากท่านมิสามารถจัดการคดีเหล่านี้ได้ล่ะก็...เกรงว่าจะส่งผลต่ออนาคตของท่าน”
โจวหยางจิบชาเข้าไปหนึ่งอึก ก่อนจะวางถ้วยชาลง “ดังนั้นท่านผู้ตรวจการถึงได้ส่งข้ามาคอยจับตาดู บัดนี้ยังมีเวลาอีกสองวัน หากสองวันนี้ท่านมิอาจจัดการคดีได้แล้วล่ะก็...”
โจวหยางลุกขึ้นยืน “ใต้เท้าจี้ มีกระแสน้ำมากมายในเมืองหลวง และข้าก็มิรู้เช่นกันว่ามันจะพุ่งขึ้นมาเยี่ยงไร... อย่าทำให้ข้าต้องอึดอัดใจเลย ! ”
จี้จงถานยิ้มรับแล้วรีบเอ่ยขึ้นมาว่า “ข้าน้อยจะพยายามให้ถึงที่สุดขอรับ จะมิทำให้ใต้เท้าโจวต้องลำบากใจอย่างแน่นอน”
“จริงสิ ! นายอำเภอจี้ ท่านมีบุตรสาวสองคนซึ่งมีรูปร่างงดงามทั้งยังมิได้ออกเรือน ข้ามีบุตรชายอยู่คนหนึ่ง บัดนี้อายุ 18 ปีพอดี ยังมิมีคู่หมาย หากว่านายอำเภอจี้มิขัดข้อง พวกเรามาเป็นทองแผ่นเดียวกันดีหรือไม่ ? ”
“บุตรชายของข้ากำลังเดินทางมายังเขตเหลียงอี้พอดี คาดว่าวันพรุ่งคงจะมาถึง เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะจองโต๊ะที่ร้านต้านสุ่ย เชิญท่านมาดื่มสุราด้วยสักหน่อย หากว่าทั้งสองครอบครัวได้เป็นทองแผ่นเดียวกันแล้ว เรื่องคดีนี้...ไว้ถึงเวลาค่อยว่ากันอีกที นายอำเภอจี้คิดเห็นว่าเยี่ยงไร ? ”
จี้จงถานชะงักงันลงทันใด บุตรชายของใต้เท้าโจวมิใช่คนดีเท่าใดนัก !
เจ้าหมอนั่นใช้อำนาจชื่อเสียงของบิดาและปู่ของตนข่มเหงรังแกผู้อื่นไปทั่ว ได้ยินมาว่าชาวบ้านที่เมืองเหลียงโจวคับแค้นใจมากยิ่งนัก ทว่ามิกล้าเอ่ยปากออกไป ทั้งยังตั้งฉายาให้โจวเหยียนหวางว่ายมบาลโจว... ผู้ที่มีพฤติกรรมต่ำช้าเช่นนี้ เยี่ยงไรเขาก็มิอาจยกบุตรสาวให้ได้อย่างแน่นอน !
“ข้าน้อยมิกล้าปีนขึ้นสู่ฟ้าหรอกขอรับ บุตรสาวข้านั้นมีชายในดวงใจแล้ว ขอใต้เท้าโจวโปรดเห็นใจด้วยเถิดขอรับ”
โจวหยางเลิกคิ้วของตนขึ้นเล็กน้อยพลางหัวเราะออกมาเสียงดัง “อ้อ...ข้าเคยได้ยินมาว่าบุตรสาวคนโตของท่านเคยหมั้นหมายกับบุตรชายของจวนสวี พ่อหนุ่มนั่นนามว่าอันใดนะ ? อืม...เหมือนจะมีนามว่าสวีเสี่ยวเสียนใช่หรือไม่ ? แต่ข้าก็ได้ยินมาเช่นกันว่าเขาเป็นโรคประสาท ท่านจึงได้ขอยกเลิกการหมั้นหมาย บัดนี้นับว่านางเป็นอิสระแล้วนี่”
“นายอำเภอจี้ ท่านทำถูกต้องแล้ว บุตรสาวของท่านจะให้ไปแต่งงานกับคนบ้าได้เยี่ยงไรกัน ? อีกอย่าง...ท่านมิได้มีบุตรสาวอีกคนนามว่าจี้ซิงเอ๋อหรอกหรือ ? ”
บัดนี้จี้จงถานรู้สึกกระสับกระส่ายเป็นอย่างมาก
“ขอนายท่านโจวโปรดเมตตาด้วยเถิดขอรับ ซิงเอ๋อนางชอบกระบี่กระบอง เกรงว่าจะไปทำร้ายคุณชายเอาได้ อ้อ...จริงสิ ! ข้ายังต้องรีบไปจัดการเรื่องคดี ข้าน้อยขอตัวก่อน”
จี้จงถานพาผู้ช่วยตู้เจิ้งฉุนและเจิ้งจี รวมถึงเจ้าหน้าคนอื่น ๆ เดินทางออกจากศาลาว่าการทันที โจวหยางยกมือขึ้นลูบเคราสั้นของตนเองแล้วเผยรอยยิ้มออกมา ฝาแฝดเยี่ยงนั้นหรือ บุตรชายข้าต้องชอบเป็นแน่ !
เมื่อเดินออกมาจากศาลาว่าการแล้ว จี้จงถานก็หน้าดำคร่ำเครียดขึ้นมาทันใด
“ใต้เท้าโจวผู้นี้มีจิตใจสกปรก ! ” ผู้ช่วยตู้เห็นสีหน้าของนายอำเภอจี้มิค่อยดีเท่าใดนัก จึงเอ่ยกระซิบกระซาบว่า “เขามิได้มาจับตาดูคดีแต่อย่างใด ? เขาต้องการจับห่านขาวของท่านเสียมากกว่า ! ”
ที่เรียกว่าจับห่านขาวนั้น เป็นการจับตามองผู้กระทำผิด จากนั้นก็บังคับให้ชดใช้เงินทองหรือคนในครอบครัว เพื่อแลกกับการจัดการคดีที่มิอาจแก้ไขได้นั่นเอง
สำหรับขุนนาง นี่คือเรื่องที่ทุกคนรับรู้ ทว่ามิอาจหยิบยกออกมาเอ่ยได้
เนื่องจากคำสั่งมีอยู่ว่าแต่ละอำเภอห้ามมีคดีค้างคา ดังนั้นเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการประเมิน ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับอนาคตของขุนนางใหญ่ ทว่ามักจะมีบางกรณีที่มิอาจไขคดีได้ จึงต้องมีคนเข้ามาเป็นแพะรับบาป
ดังนั้น เดิมทีนายอำเภอจี้ต้องการใช้จางซิ่วที่สวีเสี่ยวเสียนนำมามอบให้เป็นแพะรับบาป แต่คาดมิถึงว่าใต้เท้าโจวจะเดินทางมาด้วยตนเอง
ใต้เท้าโจวผู้นี้ใช้บุตรสาวของตนมาเป็นข้อข่มขู่ หากว่าเขามิอาจไขคดีนี้ได้ เขาจำต้องยอมสละตำแหน่งของตน...หรือไม่ก็ทำตามที่ใต้เท้าโจวต้องการ
“ไปจัดการคดีต่อเถิด พวกเราเดินทางไปดูที่จวนหยางหยวนเหว่ยอีกสักครา ใต้เท้าเจิ้งท่านช่วยพาเจ้าหน้าที่เดินทางไปที่ตรอกหยางหลิวที จากนั้นก็สืบถามมาว่าวันที่สองเดือนสาม งานเลี้ยงสมรสที่จวนหยางมีแขกแปลกหน้าเข้าร่วมด้วยหรือไม่”
......
......
สวีเสี่ยวเสียนและบ่าวรับใช้ทั้งสองกินเนื้อแพะอย่างสำราญใจ จากนั้นเขาก็โยนกระดูกแพะไปให้ฉางเหว่ย
แต่แล้วก็ต้องตกตะลึงขึ้นมาทันใด เจ้าสุนัขตัวนั้นเพียงดอมดมเท่านั้น มันเงยหน้ามองสวีเสี่ยวเสียน แววตาของมันเต็มไปด้วยคำดูถูก
ราวกับจะเอ่ยว่า เจ้ากล้าให้สุนัขผู้ยิ่งใหญ่กินกระดูกเยี่ยงนั้นหรือ ?
ข้ามิแทะกระดูก ข้าจะกินเนื้อแพะ !
“โฮ่ง ๆ ๆ ๆ... ! ”
“เห่าอันใดกันนักกันหนา ! ” สวีเสี่ยวเสียนจ้องเขม็งไปที่เจ้าสุนัขตัวนั้น “หากเจ้ายังเห่ามิหยุด คืนนี้ข้าคงมีอาหารเพิ่มเป็นแน่ ! ”
เจ้าสุนัขรับรู้ได้ถึงแรงสังหารจากดวงตาของสวีเสี่ยวเสียน มันจึงถอยหลังออกไปหนึ่งก้าวแล้วหดหางลง จากนั้นก็ร้องคราง “หงิง ๆ ” อยู่ในลำคอ มันรู้สึกหวาดกลัวมากยิ่งนัก ทว่าทั้งนี้ทั้งนั้นมันรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมากกว่า
ให้ตายสิ ! เพื่อสุนัขตัวเมียสีขาวตัวเดียว มีความสุขเพียงชั่วครู่ กลับต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป !
“หลายฝู ! ”
“ขอรับ”
“หากเจ้าฉางเหว่ยมิเชื่อฟังคำสั่งสอน เจ้าช่วยข้าจัดการมันด้วย ตีมันเสียบ้างก็ดี หากว่าตีแล้วยังมิยอมสงบ...ก็นำไปตุ๋นเสีย ! ”
เมื่อหลายฝูได้ยินเช่นนั้นก็ดีอกดีใจขึ้นมาทันใด “ขอรับ...บ่าวคิดว่าหากนำไปตุ๋นคงจะดีมิน้อย ! ”
สวีเสี่ยวเสียนเหลือบตาไปมองหลายฝู เจ้าหมอนี่ในหัวมันมีแต่เรื่องกินอย่างแท้จริง !
“ไปกันเถิด แสงสุริยากำลังอบอุ่นพอดี ออกไปเดินเล่นกัน ! ”
ม้าชราลากรถม้าเก่า ๆ ออกไปจากจวน ทั้งสามคนเดินทางออกจากจวนสวี ที่จวนเหลือเพียงเจ้าสุนัขตัวใหญ่นอนซึมน่าสงสารเพียงตัวเดียว
“คุณชายขอรับ พวกเราจะไปที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ก็มีเพียงถนนหกสายมิใช่หรือ เจ้าขับไปเรื่อย ๆ เถิด”
หลายฝูบังคับม้าชราออกไปจากตรอกเหลียงเยว่ รถม้าโอนไปเอียงมา ในที่สุดก็มาถึงตรอกหยางหลิว
เสียงปี่และฆ้องดังสนั่น สวีเสี่ยวเสียนจึงยื่นหน้าออกไปมอง ไอหยา...ช่างครึกครื้นยิ่งนัก เอ๋ ? หรือจะมีเศรษฐีใหม่กัน ?
อ่า...ที่แท้ก็เป็นพิธีฝังศพนี่เอง เนื่องจากเขาเห็นโลงศพสองโลงถูกหามออกมา
รถม้ามิอาจเดินหน้าต่อไปได้ สวีเสี่ยวเสียนจึงลงมาจากรถม้าแล้วชะโงกมองว่าคนสมัยโบราณทำพิธีฝังศพเยี่ยงไร
“คุณชายเจ้าคะ ที่นั่นคือจวนของหยางหยวนเหว่ย ที่บ่าวเคยเล่าให้คุณชายฟังก่อนหน้านี้”
สวีเสี่ยวเสียนนึกถึงเรื่องที่จือรุ่ยบอกเล่าได้ทันใด “อ๋อ...บุตรชายของหยางหยวนเหว่ยที่เพิ่งแต่งงานถูกฆาตกรรมน่ะหรือ ? เหตุใดถึงตั้งศพไว้เนิ่นนานถึงเพียงนี้เล่า ? ”
“เพราะยังไขคดีมิได้นะสิเจ้าคะ หากว่ามิใช่เพราะอากาศร้อนขึ้น แล้วมิอาจรักษาสภาพศพเอาไว้ได้ เกรงว่านายอำเภอจี้คงมิอนุญาตให้นำไปฝังเป็นแน่”
“นี่เป็นเวลาสิบกว่าวันมาแล้ว ยังไขคดีมิได้อีกหรือ ? ”
“บ่าวได้ยินมาว่าบัดนี้นายอำเภอจี้ปวดศีรษะมากยิ่งนัก ได้ยินมาว่าแม้แต่เจ้าหน้าที่ตรวจการของรัฐเหลียงก็ไขคดีมิได้”
อืม...ยุคนี้มิมีกล้องวงจรปิด ดังนั้นการไขคดีนับว่าต้องใช้ทักษะมากมายเลยทีเดียว เพียงแต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเท่าใด สถานที่เกิดเหตุก็ยิ่งถูกทำลายหลักฐานมากเท่านั้น ดีมิดีคนร้ายอาจจะเดินทางออกไปจากเขตเหลียงอี้แล้วก็เป็นได้
ในขณะที่สวีเสี่ยวเสียนจ้องมองเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยสีหน้าประหลาดใจ เขาก็เห็นนายอำเภอจี้พาผู้ช่วยคนหนึ่งเดินออกมาจากประตูจวนหยางด้วยสีหน้าคร่ำเครียด
เห็นได้ชัดว่าบัดนี้อารมณ์ของนายอำเภอจี้มิดีเท่าใดนัก เวลานี้เขามิควรเข้าไปถามเรื่องของจางซิ่ว !
สวีเสี่ยวเสียนครุ่นคิดอยู่ในใจว่าเป็นการดีที่มิต้องปะหน้ากับนายอำเภอจี้ มิเช่นนั้นก็มิรู้ว่าจะเอ่ยทักทายเยี่ยงไรดี ?
ทานข้าวหรือยัง ?
คาดว่านายอำเภอจี้คงทานมิลง
ในขณะที่เขากำลังจะหันหลังขึ้นรถม้าไป คาดมิถึงว่านายอำเภอจี้จะเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขาพอดี
“ช้าก่อน ฝานจือ ! ”