ตอนที่ 20 เหตุผล
ในตรอกหยางหลิว สวีเสี่ยวเสียนพบเข้ากับเจ้าหน้าที่ทางการคนหนึ่ง เป็นผู้ที่ติดตามผู้ช่วยตู้ไปยังจวนของเขาเมื่อวันที่สามเดือนสามนั่นเอง
“ไอหยา...ท่านเจ้าหน้าที่ โปรดช้าก่อน ! ”
หลิวเหนิงรู้สึกหดหู่ใจมากยิ่งนัก เขาได้สอบถามผู้คนในตรอกนี้มามิต่ำกว่า 30 หนแล้ว ทว่าจนถึงบัดนี้ก็หาได้มีความคืบหน้าแต่อย่างใดไม่ ในวันนี้นายอำเภอจี้ได้สั่งให้เขาไปสอบถามอีกครา เขาเอ่ยถามเสียจนชาวบ้านมิอยากจะสนใจแล้ว ช่างน่าอึดอัดเสียเหลือเกิน !
เมื่อมีเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลัง หลิวเหนิงจึงหันศีรษะกลับไปมอง จากนั้นก็ต้องตื่นตกใจขึ้นมาทันใด
คนบ้าที่จวนสวีมาทำอันใดที่นี่กัน ?
ความทรงจำในจวนสวีวันนั้นยังคงติดตา บ่าวนามว่าจางซิ่วผู้นั้น...ช่างน่าสมเพชเสียเหลือเกิน ร่างกายของเขาอาบไปด้วยโลหิต !
เขาถูกกิ่งหลิวฟาดเสียจนเนื้อปริ จนมิเหมือนมนุษย์
แม้จะเป็นเช่นนั้น ทว่ายังถูกคุณชายสวีคว้ามีดเล่มหนึ่งวิ่งไล่ฆ่า หากมิใช่เพราะในวันนั้นเขาไปได้ทันเวลา เกรงว่าคดีฆาตกรรมในเมืองเหลียงอี้คงจะเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคดีเป็นแน่
ยามที่คุณชายสวีผู้นี้อาการกำเริบช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน ทางที่ดีอย่าไปยุ่งเกี่ยวอันใดกับเขาเลย
ดังนั้นหลิวเหนิงจึงหันหลังและรีบก้าวเดินออกไป สวีเสี่ยวเสียนสะบัดแขนแล้ววิ่งตามมา เขาวิ่งไปพลางร้องตะโกนไปพลาง “ท่านเจ้าหน้าที่ ช้าก่อน ! ”
หลิวเหนิงรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมาทันใด โชคดีที่บัดนี้ขบวนส่งศพได้เคลื่อนย้ายออกไปจากตรอกหยางหลิวแล้ว ดังนั้นจึงมิค่อยวุ่นวาย มีผู้คนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นบนถนน
เขาทำได้เพียงหยุดฝีเท้าลง จากนั้นก็หันหลังกลับไปอย่างช้า ๆ มือข้างหนึ่งจับไปที่เอวซึ่งเหน็บดาบเอาไว้ เขากำมันไว้แน่น หากว่าเจ้าสวีเสี่ยวเสียนกล้าเข้ามาทำร้ายเขาล่ะก็ เขาจะแทงมันให้ยับเลยเชียว !
สวีเสี่ยวเสียนหายใจเหนื่อยหอบออกมา ร่างนี้มิแข็งแรงเอาเสียเลย ในอดีตเขาสามารถข้ามน้ำข้ามภูเขาข้ามเนินชันได้ดุจดั่งพื้นราบทั่วไป ทว่าบัดนี้วิ่งมิถึงหนึ่งลี้ก็เหนื่อยหอบราวกับสุนัขลิ้นห้อยเสียแล้ว
ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป จำต้องตื่นมาออกกำลังกายสักหน่อยแล้ว !
“พี่ชาย...”
หลิวเหนิงขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น พลางสอดสายตาสังเกตุสวีเสี่ยวเสียนพบว่าในมือของสวีเสี่ยวเสียนมิมีอาวุธใด เขาจึงวางใจขึ้นมาบ้าง ทว่ามือของเขายังคงจับอยู่ที่ด้ามดาบ
“คุณชายสวีมีเรื่องอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“แฮ่ก ๆ ข้าเพียงอยากถามพี่ชายว่านายอำเภอจี้ท่านพบเจอเรื่องลำบากใจใดมาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
หลิวเหนิงชะงักงันทันใด ผู้ช่วยตู้เอ่ยว่านายอำเภอจี้ได้ถอนสัญญาหมั้นหมายคืนไปแล้ว ดังนั้นสวีเสี่ยวเสียนและนายอำเภอจี้มิได้มีความเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด นายอำเภอจี้มิใช่พ่อตาของเขาอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นเขาจะมาเป็นห่วงเป็นใยเพื่อเหตุอันใดกันเล่า ?
เจ้าเป็นเพียงแค่คนบ้า อย่าได้สร้างความวุ่นวายมากกว่าเดิมเลย
“นี่มิใช่เรื่องที่เจ้าจะเข้ามาช่วยเหลือได้ ผู้ดูแลเจ้าเล่า...” สายตาของหลิวเหนิงมองข้ามสวีเสี่ยวเสียนไป พบว่าหลายฟูกำลังวิ่งตามเขามา
“นี่ ๆ ๆ เจ้าคอยดูแลคุณชายของเจ้าให้ดี อย่าให้เขาไปก่อเรื่องอันใดขึ้นมาอีก มิเช่นนั้นเจ้าในฐานะผู้ดูแลจะต้องรับผิดชอบแทนเขาทุกสิ่ง ! ”
หลายฟูกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ คุณชายวิ่งเร็วยิ่งกว่าสุนัขเสียอีก เขาวิ่งตามอย่างเดียวก็เหนื่อยพอแล้ว
“นายท่านขอรับ คุณชายของข้านั้นปกติดี คุณชายเพียงแค่ออกมาเดินเล่นเท่านั้น เมื่อสักครู่ยังได้ร่วมดื่มน้ำชากับนายอำเภอจี้อยู่เลย ท่านวางใจเถิด คุณชายมิเป็นอันใดหรอกขอรับ”
เมื่อหลิวเหนิงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา เอ๋...เหตุใดนายอำเภอจี้ถึงได้เชิญเขาไปดื่มน้ำชาได้เล่า ?
เรื่องนี้จะต้องมีเงื่อนงำอย่างแน่นอน
อ่า...จริงสิ ! เขาถูกใต้เท้าโจวบีบบังคับ เขาต้องการนำบุตรสาวของนายอำเภอจี้ไปเป็นภรรยาให้แก่บุตรชายของเขา ทว่าชื่อเสียงของโจวเหยียนหวางที่เคยได้ยินมา แน่นอนว่านายอำเภอจี้ย่อมมิยินยอมอย่างแน่นอน หรือว่า...นายอำเภอจี้จะวางแผนให้คุณหนูเยวี่ยเอ๋อหันหลังกลับมาปรองดองกับสวีเสี่ยวเสียนอีกกัน ?
ความคิดของหลิวเหนิงแล่นไปในทันใด และเขาก็เดาได้ถูกต้องอีกด้วย
ดังนั้นเขาจึงยกยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยว่า “อ่า...คุณชายสวีอยากรู้เรื่องของนายอำเภอจี้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ก็ใช่น่ะสิ ! ” สวีเสี่ยวเสียนพยักหน้าอย่างว่าง่ายราวกับเด็กน้อย
“เช่นนั้น...พวกเราไปหาหอน้ำชานั่งสนทนากันดีหรือไม่ ? ”
เมื่อสวีเสี่ยวเสียนได้ยินคำว่าน้ำชาก็รู้สึกเกร็งขึ้นมาทันใด ชาหนึ่งกาเท่ากับไก่สองตัวเลยเชียว !
“อ่า...ข้าว่าที่ใต้ต้นไม้นั่นก็มิเลวเลย มีเก้าอี้อยู่ด้วย พวกเราไปนั่งสนทนากันที่นั่นดีหรือไม่ ? ”
หลิวเหนิงยกยิ้มขึ้น เขารู้สึกว่าคุณชายสวีผู้นี้มิได้โง่เขลาหรือบ้าอย่างที่ได้ยินมา เดิมทีตนต้องการจะเลี้ยงน้ำชาเขาสักหน่อย ทว่าเขาก็ได้นึกคิดแทนตนแล้ว อืม...ที่นั่นก็มิเลว ไปที่นั่นก็ได้
ทั้งสองคนนั่งลงที่ใต้ต้นไม้ จือรุ่ยยืนมองด้านหลังสวีเสี่ยวเสียนอย่างเงียบ ๆ มือทั้งสองข้างกำไปที่ชายเสื้อแน่น
นางได้ยินสวีเสี่ยวเสียนเอ่ยถามขึ้นมาว่า “มิทราบว่า...พี่ชายมีนามว่าเยี่ยงไร ? ”
“ข้าแซ่หลิว นามว่าเหนิง ข้ามิอาจให้เจ้าเรียกข้าว่าพี่ชายได้หรอก จากนี้จงเรียกข้าว่าเจ้าหน้าที่ทางการหลิว”
สวีเสี่ยวเสียนยกมือขึ้นคารวะ “พี่หลิว เรื่องเป็นเช่นนี้ ท่านดูสิ ! เดิมทีนายอำเภอจี้เรียกได้ว่าเกือบจะเป็นพ่อตาของข้าแล้วใช่หรือไม่ บัดนี้...เขาพบเจอกับเรื่องใดที่ทำให้ปวดศีรษะเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
หลิวเหนิงถอนหายใจยาวออกมา
“เฮ้อ...จะว่าไปแล้ว ประการแรก คดีฆาตกรรมทั้งสามคดียังมิอาจไขได้ อีกสองวันก็จะถึงกำหนดแล้ว ประการที่สองคงต้องโทษที่บุตรสาวทั้งสองของนายอำเภอจี้งามล่มเมือง จึงไปเข้าตาใต้เท้าโจวผู้นั้น” หลิวเหนิงส่ายศีรษะช้า ๆ “นายอำเภอจี้เป็นคนดี น่าเสียดายที่ครานี้คงจะหนีได้ยาก”
สวีเสี่ยวเสียนเบิกตากว้างขึ้นมาทันใด “จะให้ไปเป็นอนุใต้เท้าโจวเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“มิใช่หรอก ! ไปเป็นภรรยาของบุตรชายใต้เท้าโจวต่างหาก”
“เช่นนั้นมิใช่เรื่องดีหรอกหรือ ? ”
หลิวเหนิงจ้องมองไปยังใบหน้าของสวีเสี่ยวเสียน สมองของคุณชายสวีมีปัญหาจริง ๆ ด้วย !
หลังจากนั้นหลิวเหนิงก็ได้เล่าสถานการณ์ต่าง ๆ โดยละเอียดให้แก่สวีเสี่ยวเสียนฟัง สวีเสี่ยวเสียนถึงได้เข้าใจ ว่าเหตุใดเมื่อครู่นายอำเภอจี้ถึงต้องการยัดเยียดสัญญาหมั้นหมายมาให้เขา ข้ากำลังถูกเขาใช้เป็นโล่กำบัง !
ฝ่ายตรงข้ามเป็นถึงเจ้าหน้าที่ตรวจการ หากเขาใช้หอกแทงมา ข้าที่เป็นเพียงซิ่วไฉจะกำบังไว้ได้เยี่ยงไร ?
ต่อให้รับสัญญาหมั้นหมายกลับคืนมา ทว่าอีกฝ่ายหนึ่งก็มีวิธีการมากมายที่จะแย่งสัญญาหมั้นหมายนั้นไป เช่นนั้นจะทำเยี่ยงไรดี ?
บุตรชายของเขามีฉายาว่ายมบาลโจวเหยียนหวาง แน่นอนว่าคงเป็นผู้ที่มิมีเหตุผลสักเท่าใด ข้าจะเอาสิ่งใดไปต่อสู้กับคุณชายผู้เอาแต่ใจเช่นนั้นได้เล่า ?
ทุกคนล้วนเป็นขุนนาง เรื่องเหล่านี้นายอำเภอจี้จะมิรู้เชียวหรือ ?
สวีเสี่ยวเสียนสูดหายใจเข้าลึก เขามิได้คาดคิดว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นและเขาก็มิรู้ว่าเรื่องนี้ควรจะจัดการเยี่ยงไรดี ?
ไขคดี !
ใช่ ! มีเพียงการไขคดีเท่านั้น ที่จะสามารถจัดการปัญหาของนายอำเภอจี้ได้ ทำให้ใต้เท้าโจวมิอาจหาเหตุผลมาแตะต้องนายอำเภอจี้ได้ เขาคงมิทำการแย่งชิงบุตรสาวของนายอำเภอจี้แห่งเขตเหลียงอี้ต่อหน้าต่อตาสาธารณชนหรอกนะ
สวีเสี่ยวเสียนจึงตัดสินใจเข้าไปช่วย บัดนี้ความต้องการที่จะเข้าไปช่วยของเขานั้นมีมากกว่าความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่เสียอีก คนโบราณช่างพิลึกเสียจริง นายอำเภอจี้หน้าตาราวกับลิง เขาจะสามารถให้กำเนิดบุตรสาวที่งดงามได้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? เจ้าหน้าที่ตรวจการโจวก็คงมิใช่คนดีอันใด มีตำแหน่งใหญ่โตเสียเปล่า แต่กลับมาเลือกภรรยาให้แก่บุตรชายถึงพื้นที่ห่างไกลเยี่ยงนี้ เมืองเหลียงโจวที่ใหญ่โตนั่นมิมีหญิงงามเลยหรือเยี่ยงไรกัน ?
รสนิยมของพวกเขาช่างประหลาดเสียจริง !
บ้า !
บ้ากว่าข้าเสียอีก !
จากหลักการถ่ายทอดทางพันธุกรรมแล้ว รูปร่างหน้าตาเยี่ยงนายอำเภอจี้ หากว่าภรรยาของเขามิได้เป็นหญิงงามล้ำเลิศ อีกทั้งมิได้มีพันธุกรรมที่แข็งแกร่ง ย่อมมิมีทางที่จะให้กำเนิดบุตรสาวที่มีใบหน้างามงดเช่นนั้นออกมาได้เป็นแน่
นี่คือหลักการทางวิทยาศาสตร์ แน่นอนว่าสวีเสี่ยวเสียนต้องเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว
แต่ที่เขาทะลุมิติมาเล่า จะอธิบายทางวิทยาศาสตร์เยี่ยงไร...ให้ตายเถิดช่างลึกลับเสียจริง !
สวีเสี่ยวเสียนมิได้คิดต่ออีก เขาหันหลังกลับไปมองหลายฟูซึ่งบัดนี้กำลังยืนซื่อบื้ออยู่ด้านหลังด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เจ้าหมอนี่ใช้ชีวิตอย่างไร้แรงกดดัน ช่างสบายเสียจริง !
“พี่หลิวเล่าถึงการไขคดี ให้ข้าฟังสักหน่อยได้หรือไม่ ? ”
“มิมีประโยชน์หรอก อีกสองวันก็ถึงเวลาที่กำหนดแล้ว สิ่งใดที่ควรตรวจสอบล้วนตรวจสอบจนสิ้นแล้ว สิ่งใดที่ควรถามก็ถามจนหมดแล้ว บัดนี้เกรงว่าโลงศพจวนจะฝังลงดินแล้ว เฮ้อ...ข้าเป็นเจ้าหน้าที่มานานหลายปี ทว่ามิเคยเจอคดีที่แปลกเช่นนี้มาก่อนเลย”
สวีเสี่ยวเสียนตื่นตกใจขึ้นมาทันใด “ฝังมิได้นะ ! ”
เมื่อนำศพฝังลงไปแล้ว หากจะขุดขึ้นมาใหม่อีกคราก็คงเป็นการยาก เขาจะต้องเห็นศพนั้นด้วยตาของตนเองเสียก่อน มันต้องมีเงื่อนงำอยู่ในนั้นเป็นแน่
“หากมิฝังก็จะส่งกลิ่นเหม็นเน่าน่ะสิ”
“พี่หลิว ! ” สวีเสี่ยวเสียนเอื้อมมือไปดึงมือของหลิวเหนิงเอาไว้ สายตาของเขาร้อนรนจนทำให้หลิวเหนิงตื่นตกใจเสียจนต้องยกมืออีกข้างไปจับด้ามดาบ
“ไปกันเถิด ไปรั้งขบวนโลงศพเอาไว้ ! ”
“นี่เจ้า...ปล่อยข้า”
“เชื่อข้าเถิด ข้าไขคดีได้โดยใช้เวลามินาน ! ”
“เจ้าปล่อยข้าก่อน ! ”
“ท่านสัญญากับข้าก่อนว่าจะไปรั้งโลงศพนั้นเอาไว้ ! ”
“...ปล่อยมือข้าประเดี๋ยวนี้ ! ”
หลิวเหนิงพยายามใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีดึงตัวกลับมา ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่สวีเสี่ยวเสียนปล่อยมือ จึงทำให้หลิวเหนิงล้มลงไปกระแทกกับพื้นเข้าอย่างจัง
“เช้ง...” หลิวเหนิงพลิกตัวแล้วยืนขึ้น เขาชักดาบออกมาทันที “สวีเสี่ยวเสียน เจ้าอย่าเข้ามานะ ! ”
ให้ตายสิ...โรคประสาทมันช่างน่ากลัวเสียจริง !