ตอนที่ 23 วิญญาณผูกอาฆาต
“ไก่ทองบนนภาขาน เสียงไก่บนธรณีขัน เทพเซียนจุติลงมา ณ ที่นี้ ไม้เหล็กกลายเป็นน้ำ ใจกลางน้ำมีบ่อ ใจกลางบ่อมีมังกร...”
แส้หางจามรีในมือของสวีเสี่ยวเสียนโบกสะบัด เขาหมุนเป็นวงกลม หมุนซ้ายสามหมุนขวาสามบิดคอส่ายสะโพกไปมา
“กริ๊ง ๆ ๆ...”
เขาได้เคาะบักฮื้อขึ้นมาอีกครา
“มังกรทองเปิดปาก สรรพสิ่งกลายเป็นธุลี ไท่ซ่างเหล่าจวิน ร้อนรนดั่งพระบัญญัติ... ! ”
“กริ๊ง... ! ”
เขาโยนของในมือลงสู่พื้นธรณี จากนั้นก็นำกระดาษใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าอกเสื้อแล้วยื่นไปให้เจ้าหน้าที่ตรวจการโจว ใต้เท้าโจวตื่นกลัวจนต้องถอยหลังไปสองก้าว
“มิได้ทำเรื่องน่าละอายใจก็มิต้องกลัวว่าผีจะมาเคาะประตู ใต้เท้าโจว หรือว่าท่านทำเรื่องน่าละอายใจกัน ? ”
เจ้าหน้าที่ตรวจการโจวชะงักงันพร้อมกับเบิกตาโพลง สวีเสี่ยวเสียนเอ่ยต่อว่า “ใต้เท้าโจวโปรดนำกระดาษขาวออกมาหนึ่งแผ่น ข้าได้เชิญดวงวิญญาณของคุณชายของตระกูลหยางมาแล้ว เขาจะเขียนความโหดร้ายที่เขาได้รับลงบนกระดาษแผ่นนี้”
นี่มัน...นี่มันไร้สาระยิ่งนัก !
ทว่าท่าทางของสวีเสี่ยวเสียนเมื่อครู่จริงจังยิ่งนัก หรือว่าหลังจากที่เขาเป็นโรคประสาท เขาจะสามารถลงไปเรียกวิญญาณจากขุมนรกได้จริง ๆ กัน ?
เรื่องราวเช่นนี้เขาเองก็เคยได้ยินมามิน้อย บางคนสามารถดูผ่านขันน้ำได้ บางคนสามารถใช้น้ำศักดิ์สิทธิ์แต้มดวงตาเพื่อสื่อสารได้ แล้วสวีเสี่ยวเสียนจะใช้วิธีการใดกัน ?
มิต้องเอ่ยถึงจือรุ่ยที่มองเหตุการณ์เบื้องหน้าจนเหม่อลอย แม้แต่ผู้ช่วยตู้และคนอื่น ๆ ก็หลุดลอยไปแล้วเช่นกัน สวีเสี่ยวเสียนมีพลังจิตจริง ๆ หรือ ?
เจ้าหน้าที่ตรวจการโจวย่อมมิเชื่อ เขารับกระดาษแผ่นนั้นมาจ้องมองอย่างตั้งใจ ก็แค่กระดาษขาวแผ่นหนึ่ง มิมีอันใดปรากฏอยู่บนกระดาษเลย ข้าจะคอยดูว่าเขาจะสามารถทำให้วิญญาณของผู้ตายเขียนลงบนกระดาษได้เยี่ยงไร
เรื่องได้ดำเนินมาถึงตอนนี้แล้ว นายอำเภอจี้ยังจะสามารถทำอันใดได้อีกกัน ?
เขาเป็นคนบ้า เขาเพียงแค่แสดงปาหี่ฉากนี้ขึ้นมา...หากมิสำเร็จเขาก็จะกล่าวอ้างว่าตนเองคือคนบ้าในตอนท้ายที่สุด
จากนั้นเขาก็เห็นสวีเสี่ยวเสียนหยิบเทียนมาจากมือของจือรุ่ย เขาถือเทียนเล่มนั้นพลางเดินไปยังเบื้องหน้าผู้ตรวจการโจว เขาใช้เทียนส่องกับกระดาษแผ่นนั้นอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เกิดฉากที่ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง !
ในขณะที่เทียนในมือของสวีเสี่ยวเสียนเคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ มือซ้ายของเขาก็ได้ชี้ไปที่กระบี่ สองตาจ้องเขม็งแล้วเอ่ยด้วยท่าทีที่จริงจังเป็นอย่างมากว่า “ไท่ซ่างเหล่าจวิน ร้อนรนดั่งพระบัญญัติ...จงสำแดง ! ”
ทันใดนั้นก็มีอักขระโผล่ขึ้นมาบนหน้ากระดาษ !
มีอักขระปรากฏเลือนราง ทว่าก็ยังสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน !
ราวกับมีมือที่มองมิเห็นจับพู่กันล่องหนและกำลังเขียนลงบนกระดาษแผ่นนั้นอย่างช้า ๆ
ทันใดนั้นนายอำเภอจี้ก็เบิกตาโพลงด้วยความรู้สึกยากที่จะเชื่อ ส่วนเจ้าหน้าที่ตรวจการโจวตื่นกลัวจนต้องถอยหลังไปสองก้าว ประจวบเหมาะกับที่ตรงนั้นเป็นธรณีประตู ตัวเขาจึงโอนเอนและล้มกระแทกลงกับพื้นอย่างรุนแรง
“ใต้เท้าอย่าได้กลัวไปเลย มีเซียนน้อยอยู่ที่นี่แล้ว ! ”
สีหน้าของเจ้าหน้าที่ตรวจการโจวแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ จากนั้นเขาก็ได้รีบลุกขึ้นจากพื้นทันที เขาถือกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาอีกครา สวีเสี่ยวเสียนเป่าเทียนให้ดับในคราเดียว จากนั้นก็โค้งคำนับเจ้าหน้าที่ตรวจการโจวแล้วเอ่ยว่า “ดวงวิญญาณนี้อ่อนแอมากยิ่งนัก วันนี้จึงสามารถเขียนได้เพียงเท่านี้ เจ้าหน้าที่ตรวจการโจวโปรดอ่านให้ทุกท่านฟังด้วย”
“แค่ก ๆ...” ผู้ตรวจการโจวแสร้งกระแอมไอสองครา จากนั้นก็ก้าวออกมาจากธรณีประตูแล้วถือกระดาษแผ่นนั้นด้วยสองมือราวกับกำลังอ่านราชโองการก็มิปาน
“ข้าได้ตายจากอย่างน่าสังเวช ท่านพ่อ...อย่าเพิ่งฝังข้าเลย ได้โปรดให้เซียนน้อยเป็นผู้ทวงคืนความยุติธรรมให้ลูกด้วย ! ”
หมดแล้ว...มีเพียงประโยคนี้เท่านั้น
บัดนี้ไร้ซึ่งสุ้มเสียงใด ๆ
จือรุ่ยจ้องมองแผ่นหลังของคุณชายอย่างเหม่อลอย แผ่นหลังนั้นราวกับแผ่นหลังของปรัชญา ดูแล้วลึกลับเป็นอย่างมาก คุณชายมีพลังจิตตั้งแต่เมื่อใดกัน ?
เขาสามารถมองเห็นผีได้จริง ๆ หรือ ?
นายอำเภอจี้กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสายตาของเขา เกิดฉากประหลาดที่มิอาจอธิบายได้ขึ้นต่อหน้าต่อตา
ดังนั้นสวีเสี่ยวเสียนที่เป็นโรคประสาท เขาได้รับความสามารถพิเศษนี้เยี่ยงนั้นหรือ ?
“ท่านนายอำเภอจี้ สายน้ำมิคอยท่า กาลเวลามิคอยผู้ใด ดวงวิญญาณนี้อ่อนแอเป็นอย่างมาก ทันทีที่ฝังลงไปในหลุม ดวงจิตสุดท้ายก็จะแตกสลาย คดีนี้ก็ยากที่จะคลี่คลายได้แล้ว ดังนั้นต้องให้หยางหยวนเหว่ยขุดโลงศพนั้นขึ้นมาอีกครา แล้วนำมาวางไว้ที่ห้องโถงของศาลาว่าการ คืนพรุ่งนี้ ข้าจะทำพิธีอีกครา จะต้องหาตัวฆาตกรเจอเป็นแน่”
นายอำเภอจี้กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “นำคนมา ผู้ช่วยตู้...เจ้านำเจ้าหน้าที่ทั้งหมด ไปยังตระกูลหยาง จำต้องยกโลงศพออกมาให้ได้ ให้ยกมาด้านในศาลาว่าการนี้”
“รับทราบขอรับ ! ”
ผู้ช่วยตู้รีบพาเจ้าหน้าที่ที่ยังคงติดอยู่ในภวังค์จากไปอย่างรวดเร็ว สวีเสี่ยวเสียนได้เรียกขอกระดาษแผ่นนั้นคืน จากนั้นก็โค้งคำนับให้กับนายอำเภอจี้ “คาถาของข้าทำให้ข้าเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก ทว่าเพื่อนายท่าน พรุ่งนี้ข้าจะพยายามให้มากขึ้น นี่คือของที่นายท่านต้องจัดเตรียมเอาไว้ ต้องจัดเตรียมให้พร้อมสำหรับคืนวันพรุ่งนี้ มิเช่นนั้นข้าจะมิรับผิดชอบหากเกิดความคลาดเคลื่อน ข้าขอตัวลา ! ”
“......”
สวีเสี่ยวเสียนหันหลังกลับแล้วพาบ่าวรับใช้ทั้งสองคนเดินจากไป หลายฝูบังคับม้าชราลากรถม้าที่ผุพัง จิตใจของเขาเริ่มสั่นคลอนอีกครา ฮึ ! เหมือนว่าคุณชายจะน่าทึ่งอย่างแท้จริง วันที่สามเดือนสาม ยามที่เขาจัดการจางซิ่วก็มิใช่ว่าเป็นการแสดงปาฏิหาริย์ให้เห็นแล้วหรอกหรือ ?
ใช่ ! คุณชายสามารถสื่อสารกับเทพเจ้าได้ หากติดตามคุณชาย หนทางข้างหน้าต้องสดใสเป็นแน่ !
ยิ่งไปกว่านั้นอาหารที่คุณชายทำก็อร่อยเป็นอย่างมาก !
แล้วข้าจะละทิ้งคุณชายได้เยี่ยงไรกัน ?
คุณชายปฏิบัติต่อข้าดีถึงเพียงนี้ ทั้งยังแต่งตั้งให้ข้าเป็นผู้ดูแลอีกด้วย แต่ข้ากลับมีใจออกห่าง สู้หมูหรือสุนัขมิได้เลยด้วยซ้ำ !
ดวงตาของจือรุ่ยที่นั่งอยู่ในรถม้าทอเป็นประกายแวววับ กระเล็ก ๆ สองข้างจมูกก็เป็นประกายเช่นกัน
“คุณชาย”
“อือ...”
“ท่าน...ท่านสามารถมองเห็นผีได้จริง ๆ หรือเจ้าคะ ? ”
สวีเสี่ยวเสียนจ้องเขม็งไปที่จือรุ่ย ว่าเยี่ยงไรนะ ? ยามกลางวันเช่นนี้ จะเห็นผีได้เยี่ยงไรกัน !
ในศาลาว่าการ เจ้าหน้าที่ตรวจการโจวได้ยื่นศีรษะไปเหลือบมอง กระดาษรายการสิ่งของที่ต้องเตรียมในมือของนายอำเภอจี้
“หม้อเหล็กที่ใช้มานานกว่าสามปี 30 ใบ เลือดลาดำถังใหญ่ 1 ถัง กระดาษทอง 3 ชั่ง ถ่าน 10 ชั่ง น้ำมันงา 5 ชั่ง จิ๊กโฉ่ว 30 ชั่ง”
เขาต้องการทำอันใดกัน ?
นายอำเภอจี้เองก็มิทราบ หรือว่าสวีเสี่ยวเสียนผู้นั้นจะอาศัยของเหล่านี้มาคลี่คลายคดีเยี่ยงนั้นหรือ ?
นี่มันเป็นหลักการใดกัน ?
ยังมิต้องสนใจเรื่องหลักการ ลองเชื่อเขาไปพลาง ๆ ก่อนดีกว่า ต่อให้หาฆาตกรมิเจอ ทว่าเขาเป็นคนบ้ามิใช่หรือ ? หากมิสำเร็จก็เพียงแค่โยนเขาออกไปนอกศาลาว่าการ
ส่วนเรื่องของข้า...หากคลี่คลายคดีมิได้ ผลลัพธ์ในตอนท้ายก็คงมิได้แตกต่างกันมากนัก
คิดไปคิดมาก็มิมีสิ่งใดเสียหาย หากจะต้องเอ่ยจริง ๆ ต่อให้สวีเสี่ยวเสียนจะขายหน้าคราใหญ่ เขาก็มิได้สนใจเลยสักนิด ทว่าเรื่องของเยวี่ยเอ๋อจะทำเยี่ยงไร ?
หากคลี่คลายคดีมิได้ ชื่อเสียงของสวีเสี่ยวเสียนในเมืองเหลียงอี้ก็จะฉาวโฉ่อย่างแท้จริง หากยังดึงดันให้บุตรสาวแต่งงานกับเขา ก็มิใช่ว่าเป็นการทำให้ชาวบ้านในเขตเหลียงอี้หัวเราะเยาะตนเองหรอกหรือ ?
เฮ้อ...ช่างจัดการได้ยากยิ่งนัก !
เมื่อเห็นท่าทีทุกข์ใจของนายอำเภอจี้ เจ้าหน้าที่ตรวจการโจวก็รู้สึกมิสบายใจเช่นกัน
การลงมือเมื่อครู่ของสวีเสี่ยวเสียนน่าประหลาดเกินไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถใช้พลังจิตได้จริง ๆ หากคืนพรุ่งนี้เขาสามารถหาตัวฆาตกรได้โดยแท้จริงล่ะก็... พรุ่งนี้บุตรชายของเขาก็จะมาถึงแล้ว บุตรชายของเขาได้เอ่ยเอาไว้ว่าจะมิยอมแต่งงานเป็นอันขาด หากมิใช่บุตรสาวของตระกูลจี้... จำต้องลงมือทำอันใดสักอย่าง เพื่อให้สวีเสี่ยวเสียนมิสามารถใช้พลังจิตได้
ได้ยินมาว่าเลือดสุนัขช่วยได้ โดยเลือดสุนัขดำจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด อ่า...จำต้องไปฆ่าสุนัขดำสักตัวแล้ว !
คืนนี้...เมืองเหลียงอี้จึงคึกคักขึ้นมา
แรกเริ่มเป็นเจ้าหน้าที่ที่ไปเอะอะในตระกูลหยาง ต่อมาตระกูลหยางได้เชิญคนมาขุดโลงศพที่เพิ่งฝังดินออกมา ทั้งยังนำส่งไปยังศาลาว่าการ
“ท่านพี่ ๆ ได้ยินมาว่า พรุ่งนี้สวีเสี่ยวเสียนจะคลี่คลายคดีจากการสืบสวนศพที่ศาลาว่าการด้วยล่ะ” จี้ซิงเอ๋อวิ่งปรี่เข้ามาด้วยสีหน้าตื่นเต้น
จี้เยวี่ยเอ๋อกำลังคัดลอกอักขระเสียวข่ายอย่างบรรจง ทันใดนั้นปลายพู่กันก็ชะงักลง จึงทำให้อักขระบิดเบี้ยว เดิมทีมันควรจะเป็นดอกไม้ที่งดงาม ทว่าบัดนี้กลับกลายเป็นดอกไม้ที่พิกลพิการเสียแล้ว กระดาษแผ่นนี้ถือว่าหมดประโยชน์แล้ว
“...เหตุใดเขาถึงได้ไร้สาระถึงเพียงนี้กัน ? ”