ตอนที่ 25 ปลูกความเดียวดาย
“คุณชายเจ้าคะ คุณชาย...”
จือรุ่ยที่สวมชุดกระโปรงสีเหลือง วิ่งข้ามประตูพระจันทร์เสี้ยวมา ราวกับผีเสื้อตัวหนึ่งที่บินมายังหลังเรือน
“รีบร้อนถึงเพียงนี้มีเรื่องอันใดอีกกัน ? ”
สวีเสี่ยวเสียนกำลังปลูกมันฝรั่งอยู่หลังเรือน
เขาได้เอ่ยไว้แล้วว่าจะตื่นแต่เช้ามาวิ่ง...ทว่าช่วงหลายวันมานี้ดำเนินไปอย่างผ่อนคลาย ดังนั้นจึงคาดมิถึงว่าวันนี้ตื่นมาจะเป็นยามอู่แล้ว เขาจึงทำได้เพียงปล่อยเรื่องวิ่งไปก่อน มันฝรั่งที่ได้จัดการไว้อย่างดีแล้วเมื่อวาน วันนี้สามารถนำมาปลูกได้แล้ว มิเช่นนั้นจะมิทันการ
ส่วนหลายฝู...หลายฝูยืนมองด้วยสีหน้างุนงงอยู่อีกด้าน ปากของเขาเผยอขึ้นเล็กน้อย ทว่าดวงตากลับเบิกโพลง ในใจของหลายฝูรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งนัก คาดมิถึงว่าคุณชายจะมิต้องการให้เขาทำงานหยาบ ๆ พวกนี้ ทั้งยังลงมือทำด้วยตนเองอีกด้วย !
คุณชายจะดีกับข้าเกินไปแล้ว !
ดียิ่งกว่าบิดาแท้ ๆ ของข้าปฏิบัติต่อข้าเสียอีก !
ข้าจะต้องจงรักภักดีต่อคุณชายไปชั่วชีวิต จะต้องมิแปรพักตร์เป็นคราที่สอง !
จือรุ่ยวิ่งเข้ามาจนถึงแปลงผัก พลางหอบหายใจจนหน้าอกกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่น
นางเม้มริมฝีปากแน่น แล้วเอ่ยด้วยความหวาดกลัวเป็นอย่างมากว่า “คุณชายเจ้าคะ เกิดเรื่องมิดีแล้ว ! ท่าน...เรื่องที่ท่านจะไต่สวนศพที่ศาลาว่าการเขตในคืนนี้ ได้เป็นที่โจษจันไปทั่วทั้งเขตเหลียงอี้แล้ว เมื่อครู่บ่าวไปซื้อไก่ แม้แต่ยายเฒ่าขายไก่ยังทราบเลยเจ้าค่ะ...”
นางหยุดเอ่ยเพื่อหายใจเอาอากาศเข้าไปชั่วครู่ เห็นว่าคุณชายมีสีหน้ามิรู้ร้อน จือรุ่ยจึงคิดว่าคุณชายน่าจะยังมิทราบถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ “พวกเขา...พวกเขาเอ่ยว่าครานี้คุณชายก่อเรื่องมากกว่าคราที่วิ่งเปลือยกายเสียอีก เกรงว่า...เกรงว่าอาการป่วยของคุณชายจะอาการหนักขึ้นแล้ว”
สวีเสี่ยวเสียนหัวเราะร่า จือรุ่ยจึงกระทืบเท้ากับพื้นพร้อมกับกำชายเสื้อของตนเอาไว้แน่น “คุณชายยังจะหัวเราะอยู่อีก พวกเขากำลังหัวเราะเยาะท่านอยู่นะเจ้าคะ พวกเขา...พวกเขาอยากจะเห็นคุณชายแสดงตลกเจ้าค่ะ ! ”
เช่นนั้นก็ถูกแล้ว สวีเสี่ยวเสียนปลูกมันฝรั่งอย่างระมัดระวังแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “เดิมทีข้าก็มีอาการป่วยเป็นโรคประสาทอยู่แล้ว หากจะสร้างเรื่องตลกขึ้นมาสักเรื่องก็คงมิเป็นไรหรอก อย่าไปคิดถึงเรื่องนี้เลย คนเบาปัญญาจะทุกข์ร้อนในเรื่องไร้สาระ...”
เขายืดตัวขึ้น จากนั้นก็บิดเอวที่เมื่อยล้าไปมาเล็กน้อย “หลายฝู เจ้าไปฆ่าไก่ได้แล้ว จือรุ่ย...เจ้าไปตุ๋นไก่ตามวิธีที่ข้าเคยสอนเจ้า รีบไปเร็ว ๆ เข้า อย่าได้มารบกวนการปลูกของข้า”
เมื่อหลายฝูได้ยินว่าจะได้ทานไก่ เขาก็วิ่งออกไปเร็วยิ่งกว่าสุนัขเสียอีก จือรุ่ยกำชายเสื้อเอาไว้แน่น จ้องมองแผ่นหลังของคุณชายด้วยสีหน้าเป็นกังวล จบสิ้นแล้ว คุณชายลืมตัวตนนักปราชญ์ของตนเองไปจนสิ้นแล้ว
ในอดีตคุณชายเคยเอ่ยบ้างเป็นครั้งครา อย่างเช่น...สรรพสุขล้วนอ่อนด้อยมีเพียงนักปราชญ์เท่านั้นที่สูงส่ง อย่างเช่น...หากมิสะสมก้าวเดินก็ไปมิถึงพันลี้ และอย่างเช่น...ทบทวนของเก่าเรียนรู้ของใหม่ ข้าจะต้องอยู่เหนือกว่าเป็นแน่ ! ...ชีวิตของคุณชายในตอนนั้นมีเพียงการอ่านตำรา ทว่าคุณชายในตอนนี้เล่า ?
เหมือนว่าเป็นเวลานานแล้วที่เขามิได้อ่านตำรา !
เขาชอบทานไก่ !
คาดมิถึงว่าเขาจะชอบเพาะปลูกอีกด้วย !
งานหยาบเช่นนี้มิใช่ว่าควรให้หลายฝูทำหรอกหรือ ?
เขาเป็นอันใดไปกันนะ ?
จือรุ่ยเดินไปโรงครัวด้วยจิตใจที่เป็นกังวล นางมองย้อนกลับไปเห็นคุณชายคุกเข่าอยู่กับพื้นตลอดเวลา เป็นภาพที่ค่อนข้างประหลาดตา ราวกับเป็นชายชราชาวนาก็มิปาน
สวีเสี่ยวเสียนยังคงปลูกมันฝรั่งอย่างตั้งใจ เยี่ยงไรเสียของสิ่งนี้ก็มิมีในโลกใบนี้
ผลผลิตของมันฝรั่งสูงเป็นอย่างมาก ต่อให้โลกใบนี้มิมีปุ๋ย ทว่าหนึ่งหมู่ก็ยังได้ผลผลิตสามถึงห้าพันชั่ง
ราชวงศ์ต้าเฉินขาดแคลนเสบียงอาหารอย่างหนัก ข้าว 1 ถังที่ตลาดตะวันตกมีราคาสูงถึง 400 อีแปะ หนึ่งถังคาดว่ามีเพียง 2 ชั่งของชาติที่แล้ว หรือก็คือข้าว 1 ชั่งเท่ากับ 32 อีแปะ ดังนั้นข้าว 1 ถังสามารถซื้อไก่ได้ 8 ตัว !
นี่เป็นราคาสินค้าที่มิสมเหตุสมผลเอาเสียเลย สวีเสี่ยวเสียนยังมิทราบถึงเหตุผลที่แท้จริง
ราคาข้าวมิได้ถูกเลย อาหารหลักของชาวบ้านทั่วไปมิใช่ข้าวขาว ทว่าเป็นข้าวกล้องและแป้งสาลี
ดังนั้นมันฝรั่งย่อมมีอนาคตที่สดใสเป็นแน่ เพียงแต่บัดนี้มีมันฝรั่งเพียง 4 หัวเท่านั้น หลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว ปีหน้าคาดว่าจะสามารถปลูกได้เยอะขึ้นอีกเล็กน้อย
การคลี่คลายคดีในราตรีนี้...เป็นการดีที่สุดที่จะตามหาฆาตกรให้พบ เช่นนั้นจึงจะสามารถปฏิเสธหนังสือสัญญาหมั้นหมายจากนายอำเภอจี้ได้อย่างชอบธรรม
หากคลี่คลายมิได้ มิรู้ว่าจี้เยวี่ยเอ๋อจะมีรูปลักษณ์เยี่ยงไร เช่นนั้นคงต้องหลอกนายอำเภอจี้ ให้เขาพาจี้เยวี่ยเอ๋อมาพบหน้ากันและทานข้าวเพื่อทำความรู้จักกันเสียก่อน มิใช่ไปพบหน้ากันวันแต่งงาน มิใช่ว่าเห็นหน้ากันคราแรกตอนเปิดผ้าคลุมหน้าออก นั่นมิใช่หลักการเปิดถุงเสี่ยงโชคหรอกหรือ ?
หากเปิดเจอสาวงามก็ถือว่าได้โชคก้อนโต ทว่าหากเปิดออกมาหน้าตาโหดเหี้ยม แล้วข้าจะใช้ชีวิตต่อจากนี้เยี่ยงไร ?
ในยามที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น สวีเสี่ยวเสียนก็ได้ปลูกมันฝรั่งจนเสร็จ เขาเดินไปล้างมือที่บ่อน้ำข้างกำแพง จึงได้มองสำรวจอีกครา ก่อนจะหันหลังเดินเข้าไปในเรือนหลัก
หลังจากเข้าไปในห้อง เขาก็ได้ลากกระเป๋าปีนเขาออกมาจากใต้เตียง หยิบซองบุหรี่และไฟแช็คออกมา พอจุดบุหรี่เสร็จแล้วก็ยัดไฟแช็คและซองบุหรี่ลงไปในกระเป๋าดังเดิมแล้วผลักมันเข้าไปใต้เตียงอีกครา จากนั้นเขาก็เดินไปยังศาลาริมน้ำเซียนหยุน
มีเสียงสุนัขเห่าดังมาจากด้านหน้าเรือน และมีเสียงตะโกนของหลายฝูดังลอยมา
สวีเสี่ยวเสียนส่ายศีรษะเบา ๆ หลายฝูทะเลาะกับฉางเหว่ยอีกแล้ว
เขานั่งลงและต้มชาให้ตนเองหนึ่งกา วันนี้ช่างเกียจคร้านเสียเหลือเกิน แล้วเขายังจะสามารถทำอันใดได้อีกกัน ?
ในมือมีเงินเพียงแค่ 200 ตำลึง จะใช้อย่างประมาทมิได้ ดังนั้นวันนี้จึงมิสามารถไปตรอกหลานกุยได้
เรื่องนี้จะรีบร้อนมิได้ หอนางโลมแห่งนั้น หลังจากที่กิจการเติบโตแล้วค่อยไปก็ยังมิสาย
จำต้องเก็บเงินเอาไว้ ซื้อที่ดินและเป็นเจ้าของที่ให้จงได้ !
นี่คือความคิดที่อยู่ในหัวของสวีเสี่ยวเสียน สุดท้ายก็เป็นเรื่องที่มิสามารถทำให้เป็นจริงได้ในชาติที่แล้ว ทว่าในโลกใบนี้หากมีเงินก็ง่ายที่จะทำให้บรรลุผล
เมื่อถึงเวลานั้นจะสร้างเรือนหรือสิ่งใดก็ตาม จ้างผู้เช่าที่นามาสักสิบกว่าราย ปลูกมันฝรั่งสักร้อยกว่าไร่ ก็น่าจะเพียงพอให้นอนกินไปได้ทั้งชาติแล้ว
สวีเสี่ยวเสียนมิมีปณิธานใหญ่โตเฉกเช่นผู้ทะลุมิติคนอื่น ๆ มิเหมือนกับฟู่เสี่ยวกวนที่รวบรวมใต้หล้าไว้เป็นหนึ่ง ฟู่เสี่ยวกวนใช้ชีวิตได้เหนื่อยล้าเกินไปแล้ว เขาเพียงอยากใช้ชีวิตสบายและสงบสุขไปชั่วชีวิต
ตบแต่งภรรยา รับอนุมาสักสองสามคน เพียงหลับหูลืมตา ชั่วชีวิตนี้ก็ผ่านไปได้แล้ว
ดังนั้นปัญหาใหญ่ยังคงเป็นเรื่องของเงินตรา
แม้ว่าการขายสูตรอาหารจะหาเงินมาได้มิน้อย ทว่าสูตรอาหารในหัวของเขาก็มีมิมากนัก หากจะให้ตนไปเปิดโรงเตี๊ยมเป็นพ่อครัว เรื่องเหล่านี้คงจะเหนื่อยหน่ายจนเกินไป เห็นได้ชัดว่ามิเหมาะกับปณิธานของตน
เขาอยากจะนอนอย่างสบาย ๆ ทั้งยังหาเงินได้อีกด้วย หากจะเอ่ยถึงความสบาย การคัดตำรานั้นสบายที่สุดอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าน่าเสียดายที่จำความฝันในหอแดงมิได้ สามก๊กก็ถือว่าคุ้นเคยเป็นอย่างดี ทว่าหากให้เขียนออกมาจริง ๆ ก็ยากจนเกินไป เหมือนว่ามีเพียงไซอิ๋วเท่านั้นที่สามารถปรับแต่งได้ตามอำเภอใจ ทว่าก็มิทราบเช่นกันว่าผู้คนในโลกนี้จะชอบตำนานเทพเจ้าที่ไร้สาระหรือไม่
สวีเสี่ยวเสียนพ่นควันออกจากปากพลางขมวดมุ่น จือรุ่ยได้เดินเข้ามาแล้วทว่าเขามิรู้ตัว
จือรุ่ยยืนมองสวีเสี่ยวเสียนจากระยะห่างสามก้าวอย่างระแวดระวัง นางรับรู้ได้ถึงความโศกเศร้าของชายหนุ่ม หากมีปรอยฝนตกลงมาก็จะดูเป็นศิลปะมากยิ่งขึ้น
ทว่าน่าเสียดายที่วันนี้เป็นวันที่แสงสุริยาร้อนแรงมากยิ่งนัก
“คุณชาย...หลงจู๊เถาผู้นั้นมาขอเข้าพบเจ้าค่ะ”
“อ่า...บัดนี้ข้าอารมณ์มิดี มิขอพบ” สวีเสี่ยวเสียนโยนความคิดเลอะเทอะในสมองออกไป พลางสูดควันเข้าปอดหนึ่งครา จือรุ่ยเอ่ยถามด้วยความสงสัยอีกคราว่า “คุณชายปลูกอันใดที่หลังเรือนเยี่ยงหรือเจ้าคะ ? ”
สวีเสี่ยวเสียนพ่นควันหนาออกมา จนจือรุ่ยต้องถอยหลังไปสามก้าว
“ข้า...ปลูกความเดียวดาย ! ”
ดวงตาของจือรุ่ยทอประกายขึ้นมาทันใด นี่คือคำกล่าวที่ลึกซึ้งของนักปราชญ์ใช่หรือไม่ ?