px

เรื่อง : นายน้อยเจ้าสำราญ : คนบ้าแห่งต้าเฉิน (นิยายแปล) ปลดล๊อคตอนฟรี 3 วัน 1 ตอน
ตอนที่ 26 จือรุ่ย


ตอนที่ 26 จือรุ่ย

 

มื้อกลางวัน สวีเสี่ยวเสียนและบ่าวรับใช้อีกสองคนของเขากินซุปไก่อยู่ในเรือนด้านหน้าอย่างมีความสุข

 

จูจ้งจี๋นำลูกน้องกลุ่มหนึ่งออกตามหาสุนัขของเขาไปทั่วทั้งเมือง เขาคาดมิถึงว่าเจ้าสุนัขวั่งฉายของตนจะถูกเปลี่ยนชื่อเป็นฉางเหว่ย อีกทั้งยังตกอยู่ในจวนที่บัดนี้ให้มันกินเพียงกระดูกไก่เท่านั้น !

 

ฉางเหว่ยหมอบลงกับพื้น ทำท่าทางแทะกระดูกอย่างหิวโหย ! ร่างกายใหญ่โตของมันบัดนี้เห็นได้ชัดว่าซูบผอมลงไปมากโข หากมิกินก็คาดว่าคงจะหิวตายเป็นแน่ !

 

จือรุ่ยคีบน่องไก่ให้แก่สวีเสี่ยวเสียนหนึ่งชิ้น ปากน้อย ๆ ของนางขยับแล้วเอ่ยออกมาว่า “คุณชายเจ้าคะ บ่าวรู้สึกว่าเรื่องในราตรีนี้ปล่อยมันไปเถิดเจ้าค่ะ ถึงเยี่ยงไรคุณชายก็เป็นผู้ร่ำเรียนตำรา สู้หันกลับมาทบทวนตำราและเตรียมสอบคัดเลือกระดับเขตในปีนี้อีกสักครามิดีกว่าหรือ แม้จะได้เป็นเพียงจู่เหรินก็ยังนับว่ามีตำแหน่งนะเจ้าคะ”

 

“หากว่ามีตำแหน่งจู่เหริน ผู้คนในเขตเหลียงอี้ก็คงมิกล้านินทาคุณชายลับหลังอีกต่อไป และหากเป็นเช่นนั้น มิแน่ว่านายอำเภอจี้อาจจะอยากยกคุณหนูเยวี่ยเอ๋อให้แก่คุณชายอีกก็เป็นได้ จวนสวีของเราจะได้สมบูรณ์แบบสักที”

 

สวีเสี่ยวเสียนกินน่องไก่และเหลือบไปเห็นว่าหลายฝูกำลังใช้ตะเกียบค่อย ๆ เคลื่อนไปคีบน่องไก่อีกน่องหนึ่ง

 

เขาจึงยื่นตะเกียบออกไปเคาะดัง “ป๊อก ! ” เขาเคาะไปที่ตะเกียบของหลายฝูซึ่งกำลังจะคีบน่องไก่พอดี จึงทำให้หลายฝูรีบดึงตะเกียบกลับมา พบว่าคุณชายหยิบน่องไก่น่องนั้นไปวางไว้ในชามของจือรุ่ย

 

ทั้งสองคนล้วนเป็นบ่าวรับใช้เหมือนกัน เหตุใดคุณชายถึงลำเอียงเช่นนี้ ?

 

“เจ้าดูสารรูปเจ้าสิ ร่างกายใหญ่โตราวกับโคกระบือ แล้วหันไปมองจือรุ่ยสิ นางผอมราวกับกิ่งไม้แห้ง เจ้ากินตูดไก่ไปเถิด ! ”

 

หลายฝูมองไปยังตูดไก่ที่วางอยู่ในชามของตนอย่างขมขื่น คุณชายลำเอียง ! หรือคุณชายจะคิดเป็นอื่นกับจือรุ่ยกันนะ ?

 

ใบหน้าของจือรุ่ยขึ้นสีแดงระเรื่อ นางก้มหน้ามองดูรูปร่างของเอง ข้ามิได้ผอมแห้งถึงเพียงนั้นสักหน่อย เหตุใดถึงเอ่ยว่าข้าผอมดั่งกิ่งไม้แห้งกัน ? ก็แค่หน้าอกเล็กไปหน่อยเท่านั้นมิใช่หรือ ? ทว่ามันก็ยังโตขึ้นได้อีกนี่

 

แต่จะว่าไป น่องไก่ที่คุณชายคีบมาให้นั้นช่างหอมและอร่อยเสียเหลือเกิน

 

เรื่องนี้ทำให้จือรุ่ยลืมเรื่องที่จะโน้มน้าวคุณชายให้ไปสอบคัดเลือกในปีหน้าเสียสนิท ส่วนสวีเสี่ยวเสียน...เขามิเคยคิดเรื่องนี้มาก่อน

 

เนื่องจากเขามิอยากเป็นขุนนาง !

 

จากความสามารถของเขาที่มีติดตัวมา เขาสามารถหาเงินในโลกนี้ได้อย่างสบาย ๆ เหตุใดต้องสนใจคำนินทาของผู้อื่นด้วยเล่า ?

 

ฉางเหว่ยนั่งอยู่ที่พื้น มันอ้าปากแล้วแลบลิ้นออกมา จากนั้นก็ส่งสายตามองไปทางสวีเสี่ยวเสียน เหตุใดถึงยังมิรีบโยนกระดูกไก่มาให้ข้าอีกเล่า !

 

ดังนั้นสวีเสี่ยวเสียนจึงโยนกระดูกไก่ไปให้มัน ฉางเหว่ยกระโดดตะครุบกลางอากาศ จากนั้นก็กระดิกหางด้วยความดีอกดีใจก่อนจะหมอบลงที่พื้นแล้วแทะกระดูกอย่างมีความสุข

 

นายและบ่าวกินอาหารจนอิ่มหนำสำราญ ทว่าฉางเหว่ยยังคงหิวอยู่มาก มันจึงจ้องมองไปที่เจ้านายด้วยสายตาอ้อนวอน

 

สวีเสี่ยวเสียนกลับเข้าไปในเรือนหลัก เขานอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้ไม้ในลานเพื่ออาบแดดและย่อยอาหาร จือรุ่ยเดินไปหยิบเก้าอี้แล้วเดินเข้ามานั่งข้างกายของสวีเสี่ยวเสียน

 

ชีวิตของคุณชายในช่วงนี้ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย มิได้มีท่าทีเฉียบแหลมลึกล้ำเหมือนเมื่อสามเดือนก่อน เขาค่อนข้างเหมือนกับชายหนุ่มทั่วไป เขาเอ่ยปากมากกว่าแต่ก่อน อีกทั้งยังรื่นเริงและเป็นธรรมชาติ มิได้เป็นเหมือนแต่ก่อนที่นาน ๆ ถึงจะเอ่ยออกมาสักประโยค...ทั้งยังเป็นประโยคในหนังสือ

 

หากมิเคยรู้จักคุณชายมาก่อน คงมิมีผู้ใดมองออกว่าคุณชายนั้นมีอาการป่วยทางจิต

 

หากมินึกถึงเรื่องที่คุณชายมีอาการทางจิต ก็ดูเหมือนว่าเขามิได้ป่วยแต่อย่างใด

 

คุณชายเปลี่ยนไป เขาเป็นกันเองและเข้าถึงง่าย ซึ่งคุณชายในตอนนี้จือรุ่ยชื่นชอบมากยิ่งนัก มีเพียงสิ่งเดียวที่นางยังรู้สึกกังวลใจ ซึ่งนั่นก็คือ...นิสัยของคุณชายยามที่โรคกำเริบ แล้วเรื่องในคืนนี้นางควรทำเยี่ยงไรดี ?

 

ก่อนหน้านี้คุณชายเป็นเพียงหนอนหนังสือ เขาหมกมุ่นอยู่กับตำรา นอกจากจะนั่งรถม้าคันเก่าไปที่สำนักศึกษาจูหลินแล้วก็มิเคยไปเดินเล่นที่ตลาดหรือที่ใดอีกเลย แม้ในวันนี้ผู้ที่รับรู้ถึงชื่อเสียงของคุณชายจะมีมากมาย ทว่าผู้ที่เคยพบตัวจริงคุณชายนั้นมีน้อยมากยิ่งนัก

 

ชื่อเสียงที่ว่ามีทั้งดีและมิดี ชื่อเสียงทางที่ดีก็คือเมื่อปีกลายคุณชายสอบคัดเลือกระดับท้องถิ่นได้อันดับที่หนึ่ง

 

ส่วนชื่อเสียงที่มิดีก็คือ ท้ายที่สุดแล้วหลังจากที่ประกาศผลออกมา ผู้ที่มีคะแนนเป็นอันดับแรกกลับมิใช่คุณชาย ชื่อคุณชายมิได้อยู่ในประกาศด้วยซ้ำ

 

เดิมที่มิมีผู้ใดรู้ว่าคุณชายมีอาการป่วยทางจิต ทว่าในวันที่หิมะตกหนักนั้น เขากลับทำเรื่องใหญ่โตขึ้นมา...ซึ่งก็คือแก้ผ้าแล้ววิ่งออกไปที่ถนน

 

ดังนั้นคุณชายจึงมีชื่อเสียงโด่งดังมากยิ่งนักในเรื่องนี้ ทว่าคนที่เคยพบคุณชายจริง ๆ มีน้อยยิ่งนัก

 

ส่วนเรื่องก่อนหน้านี้ที่นายอำเภอจี้เดินทางมาขอถอนหมั้น เปรียบได้กับการโรยเกลือลงบนบาดแผลของคุณชาย

 

อาจเป็นเพราะนางรู้สึกประทับใจที่คุณชายตักน่องไก่ให้นางเมื่อยามกลางวัน

 

จือรุ่ยจึงรู้สึกว่านางควรจะโน้มน้าวใจคุณชายสักหน่อย มิว่าเยี่ยงไรตนก็อยู่รับใช้คุณชายมานานนับสิบปี ทั้งยังเติบโตมาพร้อมกับคุณชายอีกด้วย

 

“คุณชายเจ้าคะ” จือรุ่ยเอื้อมมือไปเด็ดดอกไม้ป่าสีเหลืองมาจากด้านข้าง จากนั้นก็เงยหน้ามองคุณชาย มือน้อย ๆ ของนางสัมผัสไปที่กลีบดอกไม้

 

“อืม...”

 

“บ่าวมีความคิดว่าคุณชายควรจะทานยาสักหน่อย นั่นเป็นยาที่หมอเทวดาจ่ายให้เชียว หากมิทานคงน่าเสียดายแย่เลยมิใช่หรือ ? อีกอย่างคุณชายอย่าได้ทำลายชื่อเสียงของตนไปมากกว่านี้เลยเจ้าค่ะ หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปบ่าวกลัวว่าคุณชายจะมิอาจหาภรรยาได้แล้วในชาตินี้ ดังนั้นเรื่องในคืนนี้พวกเรามิไปแล้วดีหรือไม่ ? ”

 

“คดีนั้น...ทางเจ้าหน้าที่ใช้เวลาเนิ่นนานก็ยังมิอาจคลี่คลายคดีได้ คุณชายเจ้าคะ บ่าวขอเอ่ยอย่างมิปิดบังว่าเรื่องที่คุณชายทำอยู่นี้ เป็นเพียงเรื่องตลกให้บรรดาชาวบ้านในเขตเหลียงอี้นำไปนินทากันก็เท่านั้น พวกเขาจะนำไปสนทนากันอย่างสนุกสนาน ทว่าความสนุกสนานของพวกเขาเป็นการดูถูกเหยียดหยามคุณชายนะเจ้าคะ ถึงเยี่ยงไรคุณชายก็เป็นนักปราชญ์ ทั้งยังมีหน้ามีตามีศักดิ์ศรีจำต้องรักษามันเอาไว้ ! ”

 

จือรุ่ยมิรู้ตัวว่าเมื่อนางเอ่ยประโยคนี้จนจบแล้วกลีบดอกไม้ในมือจะถูกเด็ดจนเกลี้ยง นางจ้องมองไปที่คุณชายด้วยท่าทางตื่นตระหนก เนื่องจากเกรงว่าคุณชายจะโมโหและเกิดอาการกำเริบขึ้นมาอีก

 

สวีเสี่ยวเสียนเผยอริมฝีปากและขมวดคิ้วมุ่น จือรุ่ยจ้องมองคุณชายอย่างเหม่อลอย...คุณชายช่างงดงามเสียเหลือเกิน ก่อนหน้านี้คุณชายมักจะหมกมุ่นอยู่กับการท่องตำราจึงมิค่อยได้ออกไปข้างนอกสักเท่าใดนัก ประกอบกับเมื่อเป็นโรคประสาท จึงทำให้สีหน้าของคุณชายดูซีดเซียว

 

บัดนี้ดูเหมือนว่าคุณชายจะรู้สึกตัวแล้ว ดังนั้นเขาจึงกินไก่ทุกวันเพื่อฟื้นฟูร่างกาย

 

“จือรุ่ย...เหตุใดข้าถึงจำมิได้เลยว่าผู้ใดเป็นคนตั้งนามนี้ให้แก่เจ้า ? ”

 

จือรุ่ยก้มศีรษะลง นางหยิบแผ่นหยกที่ห้อยเอาไว้ที่คอออกมาพลางเอ่ยว่า “คุณชายอาจจะลืมไปว่า บ่าวถูกนายท่านเก็บมาเลี้ยง จางซิ่วบ่าวชั่วผู้นั้นเคยเอ่ยว่าในตอนนั้นบ่าวอายุเพียง 2 ปี นามนี้นายท่านได้ตั้งให้ตามป้ายหยกของบ่าว”

 

สวีเสี่ยวเสียนยื่นศีรษะเข้าไปดูด้วยความสนใจ “ถอดมันออกมาให้ข้าดูหน่อยสิ”

 

“เจ้าค่ะ”

 

จือรุ่ยก้มศีรษะลงอีกครา จากนั้นก็ถอดสร้อยคอออกมา ทำให้ผมของนางสะบัดไปถูกใบหน้าของสวีเสี่ยวเสียน ช่างน่าขันมากยิ่งนัก

 

สวีเสี่ยวเสียนหยิบแผ่นหยกนั้นไปดูอย่างละเอียด เมื่อหยกนั้นสัมผัสเข้าที่มือ เขาก็พบว่ามันช่างอบอุ่นมากยิ่งนัก คาดว่านี่คงจักเป็นอุณหภูมิของร่างกายหญิงสาวสินะ คุณภาพของหยกนี้...คาดว่าเป็นหยกไขมันแพะ หยกชนิดนี้ราคาสูงมากเลยทีเดียว

 

จี้หยกนี้ถูกแกะสลักด้วยลวดลายก้อนเมฆ ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นดอกไม้เล็ก ๆ ที่ดูเหมือนจริงเป็นอย่างมาก

 

เขามองมิออกว่าเป็นดอกไม้ชนิดใด

 

จือรุ่ยคือดอกไม้ที่เพิ่งเติบใหญ่ คาดว่าท่านพ่อคงจะตั้งชื่อให้นางตามรูปในหยกนี้ เห็นได้ชัดว่านามนี้งดงามและมีความหมายกว่าเขามาก

 

สวีเสี่ยวเสียนคืนหยกให้แก่จือรุ่ย “เจ้าควรจะเก็บรักษาเอาไว้ให้ดี มิแน่ว่าของสิ่งนี้อาจจะทำให้เจ้าค้นหาพ่อแม่ที่แท้จริงพบ ในละครก็มักจะแสดงฉากเหล่านี้บ่อย ๆ มิใช่หรือ ? ”

 

จือรุ่ยนำจี้หยกไปห้อยไว้ที่คอดังเดิมพลางเบ้ปากอย่างมิพอใจ “ในเมื่อพวกเขาทอดทิ้งบ่าวไป...แล้วเหตุใดบ่าวต้องไปตามหาพวกเขาด้วยเล่า ? ”

 

ประโยคเมื่อครู่จือรุ่ยดูปวดใจมากยิ่งนัก สวีเสี่ยวเสียนนั่งลงแล้วเอ่ยว่า “วันนี้แสงสุริยาเจิดจ้า อย่าปล่อยให้มันส่องสว่างโดยเปล่าประโยชน์ จงไปตามหลายฝูมา พวกเราจะออกไปเที่ยวกัน”

 

รีวิวผู้อ่าน