ตอนที่ 27 โจวเหยียนหวาง
สวีเสี่ยวเสียนและบ่าวรับใช้ทั้งสองขึ้นรถม้าซอมซ่อและออกเดินทางอีกครา
จือรุ่ยดีใจมากยิ่งนัก นางรู้สึกว่านี่ต่างหากคือรูปลักษณ์ที่คุณชายควรจะเป็น แม้การอ่านตำราจะดี ทว่าการหมกตัวอ่านตำราอย่างขะมักเขม้นนั้นเป็นเรื่องที่มิค่อยดีเท่าใดนัก
“คุณชายจะไปที่ใดเยี่ยงนั้นหรือขอรับ ? ” หลายฝูหันหน้ามาเอ่ยถาม
“ไปหอต้านสุ่ย”
“ขอรับ”
ทันใดนั้นจือรุ่ยก็ตื่นตระหนกขึ้นมาอีกครา คุณชายจะไปทำอันใดที่หอต้านสุ่ยกัน ?
หรือว่าคุณชายจะขาดเงินอีกแล้ว ?
คุณชายมักจะอาบน้ำทุกวัน ต่างจากแต่ก่อนที่หนึ่งเดือนจะอาบเพียงหนึ่งคราเท่านั้น
เดิมทีคิดว่าคุณชายนั้นรักสะอาดขึ้นมาแล้ว ทว่าจากที่เห็นในตอนนี้เกรงว่าคุณชายเพียงต้องการล้างของโสมมออกจากร่างก็เท่านั้น
จือรุ่ยกำชายเสื้อของตนเองไว้แน่น จากนั้นก็เอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “คุณชาย...พวกเรามิไปหอต้านสุ่ยดีหรือไม่เจ้าคะ ? ”
สวีเสี่ยวเสียนรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันใด “ถึงเยี่ยงไรก็ต้องไปอยู่แล้ว เพียงพริบตาเดียวฤดูใบไม้ผลิก็จะผ่านพ้นไปแล้ว จำต้องรีบหาเงินอีกสักหน่อยเพื่อซื้อที่ดิน”
จิตใจของจือรุ่ยสั่นสะท้านขึ้นมาทันใด นางจ้องมองคุณชายด้วยสายตาประหลาดใจ ที่เขาเลือกเดินทางไปยังหอต้านสุ่ยก็เพื่อต้องการหาเงินจากหลงจู๊เถาผู้นั้น !
คุณชายลำบากเกินไปแล้ว !
รอยยิ้มในยามปกติของคุณชาย...ล้วนเป็นการเสแสร้งทั้งนั้น !
......
ในยามอู่...โจวจั้วบุตรชายของผู้ตรวจการโจวหรือโจวเหยียนหวางก็ได้เดินทางมาถึงเมืองเหลียงอี้แห่งนี้แล้ว
นายน้อยรุ่นที่สองพาสุนัขรับใช้มาด้วย 30 คน ควบอยู่บนม้าตัวใหญ่ ยืดอกอวดศักดาอยู่ที่หน้าประตูทางใต้ของเมืองเหลียงอี้
เขาเงยหน้าขึ้นมองกำแพงเมืองเตี้ย ๆ ของเมืองเหลียงอี้ จากนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเป็นปม เบะปากพลางเอ่ยออกมาว่า “ช่างซอมซ่อเสียจริง แล้วท่านพ่อของข้าเล่า ? เหตุใดถึงยังมิออกจากเมืองมารับข้าอีก ! ”
“คุณชายขอรับ คาดว่านายท่านคงติดธุระ”
“เหอะ ! ธุระกับผีน่ะสิ เกรงว่าคงจะไปมั่วสุมอยู่ที่หอนางโลมเสียมากกว่า มิกลัวว่าท่านแม่จะถลกหนังเขาเลยสินะ... คุณหนูจี้ยังมิออกมาต้อนรับข้าอีกหรือ ? หรือว่าท่านพ่อของข้ายังจัดการเรื่องคุณหนูจี้มิเรียบร้อยกัน มัวทำอันใดอยู่กัน ? ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง มาถึงเขตเหลียงอี้ตั้งกี่สิบวันแล้วกัน เรื่องเล็กแค่นี้กลับจัดการมิได้ ไป ๆ ๆ ไปทานข้าวก่อน ข้าหิวแล้ว”
กลุ่มคนหนึ่งกลุ่มเดินทางมาถึงหอต้านสุ่ยอย่างอึกทึกครึกโครม
“คุณชายขอรับ จะทำตามธรรมเนียมเดิมหรือไม่ขอรับ ? ” สุนัขรับใช้คนหนึ่งกระโดดลงมาจากหลังม้าพลางรับสายบังเหียนจากมือของโจวจั้วไป จากนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมาหนึ่งประโยค
สิ่งที่เรียกว่าธรรมเนียมเดิมก็คือการกวาดล้างสถานที่
ในยามที่คุณชายตระกูลโจวทานข้าว เขามักจะใจใหญ่เหมาทั้งโรงเตี๊ยม
ช่วยมิได้ ! เงินในกระเป๋าของคุณชายโจวมีอยู่มากโข ทั้งยังมีภูมิหลังที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ต่อให้เป็นที่เมืองเหลียงโจว เขาก็มิเกรงกลัวผู้ใดทั้งสิ้น
“เรื่องนี้ยังต้องถามอยู่อีกหรือ ? ” ทันทีที่โจวจั้วง้างแส้หางม้าในมือ สุนัขรับใช้ผู้นั้นถึงกับตื่นกลัวจนกระโดดถอยหลังไปสามจ้าง “ทุกคน...จงเข้าไปกวาดล้างสถานที่ให้ข้า”
สุนัขรับใช้สามสิบคนปรี่เข้าไปด้านในหอต้านสุ่ย บัดนี้เป็นยามอู่ แขกเหรื่อที่มาใช้บริการหอต้านสุ่ยจึงมีอยู่ค่อนข้างมาก ทันทีที่พวกเขาปรี่เข้ามาจึงทำให้ผู้คนตกอกตกใจเสียยกใหญ่
“ออกไป ๆ ไสหัวออกไปให้หมด วันนี้คุณชายของพวกข้าจะเหมาหอต้านสุ่ยแห่งนี้ สบายพวกเจ้าแล้ว หลงจู๊เล่า ? ไปเรียกหลงจู๊ออกมาประเดี๋ยวนี้ ! ”
ชาวเมืองเหลียงอี้มิเคยเห็นการปะทะเช่นนี้มาก่อนและแขกส่วนใหญ่ของหอต้านสุ่ยต่างก็เป็นพ่อค้า พ่อค้ามีนิสัยขี้ขลาดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้ แต่ละคนจึงวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
มินาน...ห้องโถงใหญ่ก็ว่างเปล่า
เถาสีวิ่งลงมาจากชั้นสองอย่างกระวีกระวาด หอต้านสุ่ยทำการค้าที่เขตเหลียงอี้นี้มายี่สิบปีแล้ว ยังมิเคยพบเจอเหตุการณ์เช่นวันนี้มาก่อน นี่มันเรื่องอันใดกัน ?
“พวกท่าน...”
“มัวพล่ามอันใดอยู่กัน ? เจ้าคือหลงจู๊เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เป็นข้าขอรับ”
“เจ้าได้รับโชคคราใหญ่แล้ว คุณชายของพวกเราต้องตาที่นี่ ชั้นสองมีคนอยู่หรือไม่ ? หากมีคนก็จงไล่พวกเขาออกไปเสีย อย่าให้พวกข้าต้องลงมือเอง”
ชั้นสองมีคนอยู่นี่นา !
ซึ่งคนผู้นั้นก็คือจูจ้งจี๋คุณชายจากตระกูลที่มั่งคั่งเป็นอันดับหนึ่งของเขตเหลียงอี้ วันนี้เขาได้พากลุ่มผู้มีความสามารถของเขตเหลียงอี้มาร่วมงานเลี้ยงต้อนรับคุณชายซูที่มาจากซูโจว ในนั้นยังมีบุคคลพิเศษอีกหนึ่งท่าน ซึ่งนั่นก็คือ...จางหวนกงผู้มีชื่อเสียงแห่งต้าเฉิน เกรงว่าบัดนี้คงกำลังประพันธ์บทกวีอยู่
“คุณชายของเจ้ามีแซ่ว่าอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ” ศึกครานี้ใหญ่หลวงยิ่งนัก เถาสีจึงอยากจะลองหาทางออกดู
“บุตรชายเพียงคนเดียวของเจ้าหน้าที่ตรวจการโจวแห่งเหลียงโจว อันใดกัน ? กลัวว่าคุณชายของข้ามิมีเงินจ่ายเยี่ยงนั้นหรือ ? ถึงแม้คุณชายของพวกเราจะระรานเกินเรื่องไปบ้าง ทว่าคุณชายจะมิชักดาบอย่างแน่นอน เร็วเข้า...อย่ามัวปากมาก ! ”
เถาสีใจกระตุกขึ้นมาทันใด โจวเหยียนหวาง ! เหตุใดคนผู้นี้ถึงมาที่เขตเหลียงอี้ได้กัน ?
ชื่อเสียงของโจวเหยียนหวางแห่งเหลียงโจวถือว่าโด่งดังเป็นอย่างมาก หลงจู๊เถาย่อมมิกล้าต่อกรด้วย
ทว่าผู้ที่อยู่ด้านบนนั้นคือคุณชายจากตระกูลที่ร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่งของเขตเหลียงอี้เลยเชียว เขาคือขุมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของหอต้านสุ่ย ถึงเยี่ยงไรก็มิอาจไปยั่วโมโหเขาได้ !
เช่นนั้นควรทำเยี่ยงไรดี ?
เถาสียกสองมือขึ้นมาคารวะพลางเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ที่ชั้นสองยังมีห้องรับรองว่างอยู่ เชิญคุณชายโจวไปยังห้องรับรองชั้นสองดีหรือไม่ขอรับ ? ”
“เจ้านี่มันเป็นพวกไว้หน้าแล้วมิรับไว้เยี่ยงนั้นหรือ ? สหาย...ขึ้นไปไล่คนด้านบนลงมาให้หมด ! ”
เถาสีตื่นตระหนกขึ้นมาทันใด ในยามที่เขาจะเข้าไปขวาง กลับถูกพวกคนโหดเหี้ยมจับตัวเอาไว้ จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาว่า “ช้าก่อน ! ”
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง เห็นชายหนุ่มท่าทางสง่างามคนหนึ่งเดินเข้ามา
บุรุษผู้นี้อายุราวสิบหกถึงสิบเจ็ดปี มีปิ่นหยกไขมันแพะปักอยู่ที่มวยผม สวมชุดคลุมผ้าไหมสีน้ำเงิน ชุดคลุมปักลายไม้ไผ่เอาไว้อย่างสวยงาม ที่เอวมีเข็มขัดหยกสีขาวราวกับหิมะเส้นงามหนึ่งเส้น ที่เข็มขัดหยกยังมีน้ำเต้าหยกประดับไว้อีกด้วย
หากเขามิขมวดคิ้วเข้าหากันจนเป็นปม ชายหนุ่มผู้นี้ถือว่าเป็นบุรุษที่รูปงามผู้หนึ่งเลยก็ว่าได้
“ข้าคือโจวจั้ว ! ”
เถาสีใจกระตุกขึ้นมาทันใด จากนั้นก็ได้ยินโจวจั้วเอ่ยต่ออีกว่า “ข้ามาเยือนที่นี่เป็นคราแรก เกรงว่าเจ้าจะยังมิรู้ธรรมเนียมของข้าผู้นี้ ด้านบนนั้น...ยังมีผู้ใดอีกกัน ? ”
“เรียนคุณชาย ด้านบนนั้นคือคุณชายจูจ้งจี๋จากตระกูลจูที่ร่ำรวยที่สุดในเขตเหลียงอี้ ซึ่งกำลังรับรองคุณชายตระกูลซูที่มาจากซูโจว อีกท่านคือผู้อาวุโสที่มีชื่อเสียง...จางหวนกง”
เถาสีคิดว่าการบอกชื่อของคนเหล่านี้ออกไป แล้วจะทำให้โจวเหยียนหวางผู้นี้กังวลใจสักสองส่วน แต่คาดมิถึงว่าจะได้ยินโจวจั้วเอ่ยออกมาเช่นนี้หลังจากที่นิ่งเงียบไปชั่วขณะ
“อ่า...ข้ามิรู้จัก 10 ตำลึง จงไปไล่พวกมันออกมา ! ”
ณ ห้องรับรองชั้นสอง
กลุ่มของจูจ้งจี๋มิได้สนทนากันเรื่องของบทกวีหรือบทความแต่อย่างใด ทว่ากำลังเอ่ยถึงสวีเสี่ยวเสียน
“...แต่เมื่อวานเขาทำให้อักขระปรากฏขึ้นมาบนกระดาษเปล่าแผ่นนั้นจริง ๆ กระดาษแผ่นนั้นเจ้าหน้าที่ตรวจการโจวเป็นผู้ถือ เขามิได้จับกระดาษแผ่นนั้นเลยด้วยซ้ำ ทว่ากลับทำให้อักขระปรากฏขึ้นมาโดยที่มิมีผู้ใดเขียน ถึงแม้ข้าจะมิได้เห็นด้วยตาของตนเอง แต่ก็มีขุนนางจำนวนมากที่เห็นเหตุการณ์ นี่ย่อมมิใช่เรื่องเท็จอย่างแน่นอน” จูจ้งจี๋เอ่ยอย่างมั่นใจ
จางหวนกงลูบเครายาวและยกยิ้มออกมาบาง ๆ “ใน 'ซุนจื๊อ กระจ่างแจ้ง' ได้กล่าวไว้ว่า ระหว่างชั้นฟ้าและผืนดินนั้นมีภูติผี มิใช่วิญญาณจากคนตาย ทว่าล้วนเกิดจากความคิดและความปรารถนาของมนุษย์ เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้นน่ะหรือ ? เนื่องจากอาการป่วยเยี่ยงไรเล่า คนป่วยมักจะรู้สึกหวาดกลัว เมื่อหวาดกลัวก็มักจะเห็นผี”
“น่าเสียดายสวีฝานจืออย่างแท้จริง เขามานะกับการท่องตำรามากยิ่งนัก แต่ดันถูกทำร้ายจนเป็นบ้าไปได้ เขาคือผู้ป่วยคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นโรคประสาทอีกด้วย มิได้น่าแปลกใจเลยที่เขาทำเรื่องลึกลับขึ้นมา พวกเจ้าคือนักปราชญ์ เห็นเป็นเรื่องน่าขันก็พอแล้ว”
ผู้มีชื่อเสียงแห่งต้าเฉินได้กล่าวเอาไว้เช่นนี้ ข้อสงสัยในใจของจูจ้งจี๋ยังมิถูกแก้ไข แต่เขาก็มิกล้าเอ่ยแย้งอันใดเช่นกัน
ทันใดนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวดังครึกโครมมาจากด้านล่าง
เกิดอันใดขึ้นกัน ?
เพียงมินานก็มีเสี่ยวเอ้อคนหนึ่งวิ่งเข้ามา “คุณชายจูขอรับ โจวเหยียนหวางแห่งเหลียงโจวมาถึงแล้ว แขกเหรื่อที่ห้องโถงใหญ่ต่างก็ถูกเขาไล่ออกไปจนหมดแล้ว หลงจู๊กำลังเจรจากับพวกเขาอยู่ด้านล่าง ดูเหมือนว่า... ดูเหมือนว่าจะไร้หนทางเจรจา เช่นนั้นแล้วพวกคุณชายออกไปก่อนดีหรือไม่ขอรับ ? ”