ตอนที่ 28 การต่อสู้ของเทวดา
“โจวเหยียนหวางเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ในใจของจูจ้งจี๋รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย ตระกูลของเขาเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งเขตเหลียงอี้ก็จริง ทว่าเขตเหลียงอี้มีพื้นที่แคบมากยิ่งนัก !
อีกอย่างตระกูลของเขาเป็นตระกูลพ่อค้า ฐานะทางสังคมของพ่อค้านั้นต่ำต้อยมากยิ่งนัก แล้วเขาจะเอาความกล้าจากที่ใดไปต่อกรกับคนในจวนขุนนางกันเล่า ?
อย่าว่าแต่เจ้าหน้าที่ตรวจการจากเหลียงโจวเลย แม้แต่นายอำเภอจี้แห่งเขตเหลียงอี้ ตระกูลของเขาก็มิกล้าไปหาเรื่อง มิเช่นนั้นการที่นายอำเภอจี้จะยกจี้เยวี่ยเอ๋อให้แก่สวีเสี่ยวเสียน เหตุใดเขาถึงมิกล้าเอ่ยปากคัดค้าน
ซูผิงอันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ที่เขาเดินทางออกมาจากซูโจวครานี้ เขาเพียงต้องการมาสำรวจตลาดเท่านั้น ว่าแต่ละแห่งเป็นเยี่ยงไรบ้าง
หากจะเอ่ยถึงภูมิหลังและอำนาจของตระกูล แน่นอนว่าเขามิได้เกรงกลัวโจวเหยียนหวางแต่อย่างใด ทว่าที่นี่มิใช่ซูโจว ที่นี่ถือว่าอยู่ในการดูแลของเหลียงโจว ดังนั้นเรื่องนี้จึงยากที่จะจัดการ
ส่วนอีกหกคนที่เหลือล้วนเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น แม้แต่นามของโจวเหยียนหวางก็ยังมิเคยได้ยินมาก่อน บัดนี้พวกเขาได้แต่ตกตะลึง และรู้สึกว่าโจวเหยียนหวางช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน
ทว่าจางหวนกงกลับลูบไปที่หนวดยาวของตนเองแล้วหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “โจวเหยียนหวาง...ข้าเองก็เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน เขามักจะยกนามและอำนาจของบิดาขึ้นมากล่าวอ้าง แน่นอนว่าเขายังอาศัยชื่อเสียงและอำนาจของท่านตาของเขาด้วยเช่นกัน...ซึ่งมีนามว่าฉาวปู๋ต้ง”
“ข้าได้อยู่อย่างสงบสุขในเขตเหลืองอี้มานานหลายปีแล้ว เดิมทีก็มิอยากจะออกหน้าด้วยตนเองสักเท่าใดนัก ทว่าในเมื่อวันนี้พบว่าหลานของเขาทำตัวเกเรรังแกผู้อื่น ข้าก็ควรจะช่วยสั่งสอนหลานแทนเขาสักหน่อย ไปเถิด...ไปดูด้วยกัน”
เมื่อท่านจางหวนกงออกหน้าด้วยตนเอง บรรดาหนุ่มสาวเหล่านี้ต่างก็ใจชื้นขึ้นมาทันที ว่ากันว่ามังกรผู้ยิ่งใหญ่มิอาจสู้กับงูเจ้าถิ่นได้ โจวเหยียนหวางผู้นี้ทำตัวเกินเหตุไปจริง ๆ !
มีเพียงซูผิงอันที่มองจางหวนกงอย่างเงียบ ๆ เขารู้ว่าท่านปรมาจารย์ผู้นี้เคยมีอิทธิพลยิ่งใหญ่เพียงใด หากว่าเขาออกหน้าด้วยตนเองและหากว่าโจวเหยียนหวางฉลาดพอ เขาจะต้องถอยไปเป็นแน่
ดังนั้นพวกเขาจึงได้เดินออกไปจากห้อง ภายใต้การนำทางของจางหวนกง พวกเขาทั้งหลายก็เดินทางมาถึงห้องโถงใหญ่ในที่สุด บัดนี้สีหน้าของโจวเหยียนหวางเต็มไปด้วยความหงุดหงิด
“ข้าหิวแล้ว ! หลงจู๊...หากว่าพวกเขายังมิลงมาอีก ข้าจะทุบร้านเก่า ๆ โทรม ๆ ของเจ้าเสีย ! ”
จางหวนกงเดินตรงเข้ามาพอดี เขาเงยหน้าขึ้นพลางจ้องไปที่โจวเหยียนหวางเขม็ง ดูน่าเกรงขามมากยิ่งนัก
“เจ้าคือโจวเหยียนหวางเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ตาเฒ่า...ไสหัวไปเสีย ! ข้ามิมีอารมณ์มาสนทนากับพวกเจ้า ! ”
จางหวนกงโมโหขึ้นมาทันใด “เจ้าคนไร้การศึกษา ! เมื่อตาของเจ้ามาพบข้า เขายังมิกล้าเอ่ยวาจาไร้ความเคารพเช่นนี้ออกมาเลยด้วยซ้ำ ! ”
เมื่อโจวเหยียนหวางได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกว่าตาเฒ่าผู้นี้ดูเหมือนว่าจะมิธรรมดา
“เจ้าคือผู้ใดกัน ? ”
“ข้ามีนามว่าจางหวน ! ”
โจวจั้วชะงักงันไปชั่วครู่ จางหวน...นามนี้เหมือนเคยได้ยินมาก่อน มินานเขาก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา ทั้งยังชี้นิ้วไปทางจางหวนแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ข้านึกออกแล้ว ! เมื่อหกปีก่อนเจ้าทำผิดต่อองค์จักรพรรดิ จึงถูกยึดตำแหน่งขุนนางและถูกลงโทษให้อยู่ในฉางอันอย่างไร้ศักดิ์ศรี จากนั้นเจ้าก็ใช้ชื่อเสียงเดิมที่เคยมีซึ่งหลงเหลืออยู่เล็กน้อยหลบซ่อนตัวอยู่ในเขตเหลียงอี้นี่สินะ ? ”
โจวจั้วเดินหน้าขึ้นไปหนึ่งก้าว จ้องมองจางหวนเขม็ง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “ตาเฒ่า...เวลาผ่านไปตั้งหกปีแล้ว บัดนี้ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้ว เจ้ามิใช่ปรมาจารย์ที่เก่งกาจอีกต่อไป โปรดคำนึงถึงสถานะของตนเองด้วย บัดนี้เจ้าเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น”
นี่คือปมในใจของจางหวน ทว่าบัดนี้กลับถูกโจวจั้วเปิดเผยออกมาต่อสาธารณชน จึงทำให้เขาโมโหเสียจนมิอาจควบคุมตนเองได้ “เจ้าจะไปรู้อันใดกัน ? วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าแทนฉาวปู๋ต้งสักหน่อย ให้รู้ว่าสิ่งใดควรทำหรือสิ่งใดมิควรทำ ! ”
เมื่อจางหวนเอ่ยประโยคนี้จบ เขาก็เอื้อมมือไปตบลงบนเก้าอี้ด้านข้างด้วยท่าทางน่าเกรงขาม ทำให้โจวจั้วตกใจจนต้องถอยหลังออกไปสามเก้า และบังเอิญถอยไปชนสวีเสี่ยวเสียนเข้าพอดี
สวีเสี่ยวเสียนจ้องมองเขา ไอหยา...มามิถูกจังหวะเยี่ยงนั้นหรือ พบคนทะเลาะวิวาทกันเสียได้
หรือว่าเป็นปู่กำลังสั่งสอนบุตรหลานอยู่ ?
เขาผลักโจวจั้วออกไป ก่อนจะพาบ่าวรับใช้สองคนเดินไปนั่งด้านข้าง จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้แล้วมองเหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจพลางเอ่ยออกมาว่า “อ่า...พวกเจ้าเชิญต่อเลย ข้าดูเพื่อความบันเทิงเท่านั้น”
โจวจั้วหันศีรษะไปมอง เจ้าหมอนี่เป็นผู้ใดกัน ? ช่างใจกล้าเสียจริง ? เมืองเหลียงอี้แห่งนี้เป็นแหล่งกบดานของมังกรและเสือเยี่ยงนั้นหรือ ?
เขามิกล้าลงไม้ลงมือกับจางหวนกง แม้ว่าจะเป็นบุตรของเจ้าหน้าที่ตรวจการ ทว่าเขาก็ยังรู้ว่าสิ่งใดควรมิควรอยู่บ้าง
เช่นจางหวนผู้ที่เป็นขุนนางใหญ่ในอดีต แม้ว่าบัดนี้จะถูกยึดตำแหน่งคืนแล้ว ทว่าถึงเยี่ยงไรในอดีตเขาก็เคยรุ่งโรจน์อยู่ในเมืองฉางอัน
ผู้ใดจะไปรู้ได้เล่าว่าเขามีพรรคพวกเป็นขุนนางใหญ่อยู่ในวังอีกเท่าใด ? หากว่าเขาลงมือจัดการกับจางหวนจริง ๆ หากจางหวนเขียนจดหมายไปที่ฉางอันก็คงจะเป็นการสร้างความวุ่นวายให้แก่ท่านตามิน้อย
ซึ่งมันมิคุ้มค่าเอาเสียเลย
ดังนั้นบัดนี้เขาจึงตั้งใจจะปล่อยวางจางหวนไป และช่างบังเอิญเสียเหลือเกินที่มีชายหนุ่มผู้นี้เข้ามา เพื่อให้เขาก้าวขาลงจากบันได
“เจ้าไสหัวออกไปประเดี๋ยวนี้ ข้าจะทำอันใดต้องให้คนธรรมดาเยี่ยงเจ้ามาคอยจับตาดูด้วยหรือเยี่ยงไร ? ”
เขาตะโกนไปทางสวีเสี่ยวเสียนจนคอแทบแตก บัดนี้สวีเสี่ยวเสียนมิค่อยพอใจสักเท่าใดนัก แท้ที่จริงเขาเองก็มิอยากมีเรื่องกับผู้ใด อีกทั้งมองดูแล้วแต่ละคนมิใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย
ทว่าเจ้าหมอนี่กำลังทำท่าทางอวดเบ่งข่มขู่เขา แล้วจะให้เขาก้มหัวยอมจำนนได้เยี่ยงไร ?
ข้าเป็นผู้ป่วยโรคประสาท ข้ามิจำเป็นต้องเกรงกลัวอันใดทั้งสิ้น อีกทั้งข้ายังมีหลายฝูอยู่ด้วยทั้งคน !
“ข้ามิได้ไปหาเรื่องเจ้าสักหน่อย เหตุใดเจ้าถึงทำตัวราวกับหมาบ้าเยี่ยงรี้ ? สมองของเจ้ามีปัญหาเยี่ยงนั้นหรือ ? ท่านผู้เฒ่าจะสั่งสอนอบรมเจ้า เหตุใดเจ้าถึงมิคุกเข่ายอมรับคำสั่งสอน คิดว่าตนเองยิ่งใหญ่เพียงใดกัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นผู้ใด ? ”
พระเจ้า !
แต่ละคนช่างอวดเบ่งเสียจริง !
โจวจั้วรู้สึกงุนงงขึ้นมาทันใด เจ้าหมอนี่ท่าทางมิเบา ดูเหมือนว่าจะเอาเรื่องเขาเสียมากกว่า เขาจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “แล้วเจ้าเป็นผู้ใดกัน ? ”
บัดนี้หลายฝูเริ่มตื่นตระหนกขึ้นมาทันใด บรรยากาศในตอนนี้ดูมิค่อยปกติเท่าใดนัก อีกฝ่ายมีพรรคพวกมากมาย ทว่าคุณชายมีเพียงเขาและจือรุ่ยเพียงแค่สองคนเท่านั้น หากจะลงไม้ลงมือขึ้นมาจริง ๆ เขาคิดว่าเช่นนั้นก็ควรถอยหลังออกไปทางประตูเสียดีกว่า
“หลายฝู ! จงปิดประตูเอาไว้ ห้ามให้ผู้ใดออกไปได้แม้แต่คนเดียว ! ”
สวีเสี่ยวเสียนสัมผัสไปที่กระบองไฟฟ้าบริเวณเอวของตนเอง ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างสง่างามแล้วก้าวไปด้านหน้า จากนั้นก็หยุดอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโจวจั้ว
“จงฟังให้ดี ข้ามีนามว่าสวีฝานจือ สวีเสี่ยวเสียนผู้มีชื่อเสียงแห่งเขตเหลียงอี้ ! ”
สวีเสี่ยวเสียน ? สวีฝานจือ ?
เมื่อชื่อนี้ถูกประกาศออกไป แม้แต่คนในกลุ่มของจางหวนกงก็ยังต้องเบิกตากว้าง พวกเขามิเคยพบสวีเสี่ยวเสียนมาก่อน ทว่าว่าชื่อเสียงของสวีเสี่ยวเสียนนั้นจารึกอยู่ในสมองของทุกคน
เจ้าหนอนหนังสือ เจ้าบ้า เจ้าโง่ ฉายาเหล่านี้ดูเหมือนจะมิค่อยเหมาะสมสักเท่าใดนัก เนื่องจากว่าบัดนี้เขาเต็มไปด้วยความยุติธรรม !
แม้แต่บัดนี้ที่ต้องเผชิญหน้ากับโจวเหยียนหวางที่มีชื่อเสียงโด่งดังก็มิได้เกรงกลัวแต่อย่างใด อีกทั้งยังกล้าเข้าไปเผชิญหน้าอีกด้วย ดูจากสถานการณ์แล้วเขาหาได้มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย ทั้งยังสื่อให้เห็นถึงความกล้าหาญของลูกผู้ชาย ช่างเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่พวกเขายิ่งนัก !
โจวจั้วชะงักงันทันใด สวีเสี่ยวเสียน ? ผู้ใดกัน ?
เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ทว่าก็แน่ใจแล้วว่าในสมองของเขามิเคยรู้จักคนชื่อนี้มาก่อน เมื่อมองการเเต่งกายของเขา สวีเสี่ยวเสียนสวมชุดเสื้อผ้าธรรมดา คาดว่าคงเป็นพวกโง่เขลามิรู้ประสีประสา เจ้าคงมิรู้สินะว่าข้าคือเทพสามตา
ในขณะที่เขากำลังจะสั่งให้ลูกน้องเข้าไปจัดการ ก็มีลูกน้องคนหนึ่งก้าวเข้ามากระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูของเขาว่า “นายท่านขอรับ เขาผู้นั้นคือสวีเสี่ยวเสียน เป็นคนบ้าในเขตเหลียงอี้ขอรับ”
โจวจั้วเบิกตาโพลงขึ้นมาทันใด ทะเลาะกันอยู่เนิ่นนาน ข้าคิดว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่มาจากที่ใดเสียอีก ที่แท้เป็นเพียงคนบ้า !
เป็นบ้าแล้วเยี่ยงไร ?
เป็นบ้าแล้วยิ่งใหญ่ได้หรือ !
ถ้าข้าเป็นบ้าขึ้นมา ข้าน่ากลัวกว่าเจ้าบ้านี่มากนัก !
“จัดการมัน... ! ” โจวจั้วรู้สึกโมโหมากยิ่งนัก เขาจึงตะโกนสั่งออกมาเสียงดัง แต่เขากลับพบว่าสวีเสี่ยวเสียนยกยิ้มขึ้นมาอย่างมีเลศนัย