ตอนที่ 31 จำต้องทานยา
“ลูกชายข้า ! ”
เจ้าหน้าที่ตรวจการโจวใจสลายทันใด นี่มันน่าอนาถเกินไปแล้ว !
ร่างของโจวจั้วอาบไปด้วยเลือด ทั้งยังมีกลิ่นมิพึงประสงค์อีกด้วย เขาถูกกระทำอย่างไร้มนุษยธรรมเยี่ยงไรมาบ้างกัน !
“จงจับกุมทุกคนไว้ให้ข้า ! ”
เจ้าหน้าที่ตรวจการโจวออกคำสั่ง...แต่กลับมิมีผู้ใดขยับเลยสักคน
“นายอำเภอจี้ มีคนลงมือทำร้ายบุตรชายของข้าอย่างโจ่งแจ้งกลางวันแสก ๆ เช่นนี้ อันใดกัน...หรือว่าท่านต้องการปกป้องคนผิด ? ”
นายอำเภอจี้จ้องมองโจวจั้วที่เหมือนจะเป็นลมล้มพับลงไปกับพื้นได้ทุกเมื่อแล้วส่ายศีรษะช้า ๆ สวีเสี่ยวเสียน...เจ้าจะลงมือได้โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว
“ข้ากลับรู้สึกว่า ใต้เท้าโจวควรจะพาตัวคุณชายไปรักษาบาดแผลเสียก่อนจะดีกว่า ท่านดูสิ ! เลือดยังไหลมิหยุด ข้าเกรงว่าในตอนที่ทำการไต่สวนจะทำให้คุณชายมิสามารถมาเป็นพยานระหว่างการพิจารณาคดีได้”
เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจการโจวได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้าเห็นด้วย ใช่ ! ต้องรักษาชีวิตของบุตรชายเอาไว้ก่อน
“เหอะ ! นำคนมา รีบพาบุตรชายของข้าไปยังโรงหมอ ! ”
มิมีผู้ใดขยับแม้แต่คนเดียว “นายอำเภอจี้ เจ้าจงจำเอาไว้ให้ดี หากบุตรชายของข้าเป็นอันใดขึ้นมา... ข้าจะฝังตระกูลจี้ของเจ้าลงหลุมเสีย ! ”
นายอำเภอจี้ลูบเครายาวแล้วเหลือบสายตาขึ้นมามอง “ไอหยา...ช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน เช่นนั้นลองทำให้เขาตายไปเสีย แล้วพวกเราค่อยมาเจรจากันโดยละเอียดอีกคราว่าท่านจะฝังตระกูลจี้ของข้าลงหลุมได้เยี่ยงไรดีหรือไม่ ? ”
“เหอะ ! ”
ผู้ตรวจการโจวกระโดดลงมาจากม้า จากนั้นก็เดินเข้ามาอุ้มโจวจั้ว เขาเอียงศีรษะหนีพลางขมวดคิ้วมุ่น...ช่างเหม็นยิ่งนัก !
สวีเสี่ยวเสียน สวีฝานจือ ข้าจะจำเจ้าเอาไว้ให้ดี !
วันนี้บุตรชายของข้าได้รับความอัปยศ ภายภาคหน้าข้าจะเอาคืนเป็นร้อยเท่าพันเท่า !
แม้ว่าคุณชายหยุนโหลวในอดีตจะเก่งกาจเพียงใด ทว่าเขาก็ได้ตายไปแล้ว บัดนี้เจ้าเป็นเพียงเด็กกำพร้าเท่านั้น เป็นซิ่วไฉที่ยากจน หากเจ้าตายไป คิดว่าสหายเก่าของสวีหยุนโหลวจะมาทวงความยุติธรรมให้เจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ?
เจ้าหน้าที่ตรวจการโจวขี่ม้าห้อตะบึงออกไป นายอำเภอจี้ยังคงขมวดคิ้วมุ่น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยุ่งยากอย่างแท้จริง
สุดท้ายตาของเขาก็เป็นถึงผู้ตรวจการแห่งรัฐเหลียง ขุนนางขั้นสี่ หากจะขยี้มดขั้นเจ็ดเยี่ยงเขาก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย
สำหรับสวีเสี่ยวเสียน ต้องดูว่าบิดาของเขายังเหลืออำนาจเอาไว้อีกมากน้อยเพียงใด หากสหายเก่าของคุณชายหยุนโหลวทราบว่าสวีหยุนโหลวมีบุตรชายอีกหนึ่งคนอยู่ที่เขตเหลียงอี้ พวกเขาจะต้องพะว้าพะวังเป็นแน่
ทว่าคุณชายหยุนโหลวได้ตายจากไป 14 ปีแล้ว สุภาษิตกล่าวไว้ว่าคนจากไปชาก็เย็น... นายอำเภอจี้มิได้คิดถึงเรื่องนี้อีก เพราะสวีเสี่ยวเสียนและคนอื่น ๆ ออกมาแล้ว
สายตาของนายอำเภอจี้หยุดมองที่ร่างของสวีเสี่ยวเสียนเพียงสองอึดใจเท่านั้น สวีเสี่ยวเสียนยังสบายดี ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นผู้ชนะ สายตาของเขาจ้องมองไปที่ร่างของจางหวนกง ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะออกมา สถานการณ์นี้...เกรงว่าเจ้าหน้าที่ตรวจการโจวจะทำได้เพียงกล้ำกลืนความคับแค้นใจนั้นลงไปเสีย
นายอำเภอจี้กระโดดลงมาจากหลังม้า ยกมือขึ้นคำนับจางหวนกง “ท่านอาจารย์เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดหรือไม่ขอรับ ? ”
“ข้าเห็นทุกอย่างด้วยตาของตนเอง”
“เช่นนั้นคงต้องรบกวนท่านอาจารย์แล้ว นายอำเภอตัวเล็ก ๆ เยี่ยงข้ามิสามารถปกป้องเขาเอาไว้ได้”
“มิเป็นไร...ประเดี๋ยวข้าจะเขียนจดหมายส่งไปให้เจ้าเมืองเป่ยเหลียงฉีเหวินจวิ้น”
“ขอบพระคุณท่านอาจารย์มากยิ่งนักขอรับ ! ”
“หากจะเอ่ยไปแล้ว เดิมทีเรื่องในวันนี้มิได้เกี่ยวข้องกับฝานจือ เขาเพียงรับหายนะจากบ่อปลาของข้าก็เท่านั้น มิว่าเยี่ยงไรข้าก็มิสามารถปล่อยให้เขาตายโดยที่มิช่วยอันใดเลย”
เมื่อสวีเสี่ยวเสียนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันใด เขาทราบแล้วว่าตัวตนของคนผู้นี้มิธรรมดา ถึงขั้นสามารถเขียนจดหมายถึงเจ้าเมืองได้ !
เดิมทีในใจของเขาค่อนข้างเป็นกังวล ทว่าเมื่อได้ยินชายชราเอ่ยเช่นนี้ ก็เหมือนว่าจะมิเป็นเรื่องใหญ่อันใดแล้ว ก็ดีเหมือนกัน มิเช่นนั้นเขาคงต้องขายจวนสวีเพื่อรีบหาทางหนีเสียแล้ว
“ขอเชิญท่านอาจารย์และทุกท่านไปลงบันทึกที่ศาลาว่าการด้วย”
“ควรจะเป็นเช่นนั้น ใช่แล้ว ! ในนั้นยังมีบ่าวชั่วอีก 30 คน ทั้งหมดถูกฝานจือควบคุมตัวเอาไว้ หากมิใช่เพราะฝานจือเข้ามาช่วยเพราะเห็นเหตุการณ์อยุติธรรมแล้ว วันนี้ข้าคงจะบาดเจ็บหนักด้วยเงื้อมมือของเจ้าเด็กโง่นั่นเป็นแน่”
นายอำเภอจี้ชะงักงัน สวีเสี่ยวเสียนกลายเป็นคนห้าวหาญถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ?
จากนั้นจางหวนกงก็หันหน้ากลับมาแล้วยกมือคำนับให้แก่สวีเสี่ยวเสียน สวีเสี่ยวเสียนถอยห่างออกไปทันพลัน จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านผู้เฒ่า ท่านกำลังกลั่นแกล้งข้า คนชั่วเหล่านั้น ผู้ใดพบเห็นก็ต้องลงทัณฑ์ ข้าเพียงบังเอิญผ่านมาเท่านั้น ท่านผู้เฒ่ามิจำเป็นต้องยกยอกันถึงเพียงนี้เลยด้วยซ้ำ”
ดวงตาของจางหวนกงเป็นประกายขึ้นมาทันใด โอ้...การแสดงออกของสวีเสี่ยวเสียนในตอนนี้กับเมื่อครู่นั้นราวกับเป็นคนละคนกัน เขาเมื่อครู่มีท่าทีดุดันโหดเหี้ยม ทว่าเขาในตอนนี้กลับสุภาพและมีมารยาท เหมือนว่าอาการบ้าคลั่งของเขาจะเกิดขึ้นเป็นครั้งครา ทว่าเนื้อแท้ยังคงเป็นนักปราชญ์ดังเดิม
อืม...ชายหนุ่มผู้นี้มิเลว น่าเสียดาย น่าเสียดาย...หรือว่าบางทีหากมิมีสิ่งใดไปกระตุ้น อาการป่วยอาจจะมิกำเริบ คิด ๆ ไปแล้วก็เป็นขุนนางมิได้อยู่ดี ทว่าหากใช้ชีวิตทั่วไปก็มิมีปัญหาอันใด
“เจ้าสามารถใช้ชีวิตของเจ้าได้อย่างสบายใจ อย่าได้กังวลใจว่าตระกูลโจวจะนำพาความลำบากมาให้เจ้า”
นี่ต่างหากคือสิ่งที่สวีเสี่ยวเสียนต้องการที่สุดในตอนนี้ !
เขารีบยกมือขึ้นมาคารวะทันที “ขอบคุณนายท่านมากยิ่งนักขอรับ ! ”
......
......
ระหว่างทางไปศาลาว่าการ สวีเสี่ยวเสียนลูบศีรษะของจือรุ่ยไปมา
“จือรุ่ย เมื่อครู่เจ้ากำลังคิดอันใดอยู่กัน ? ”
มือของจือรุ่ยยังคงสั่นเทาอยู่ นางกำชายเสื้อเอาไว้แน่น เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ในตอนนี้ก็รู้สึกกลัวขึ้นมาทันใด
ฆ่าคน...กับฆ่าไก่ มันมิเหมือนกันเลยสักนิด !
“บ่าว... บ่าวคิดว่าหากสังหารคนพวกนั้นไปแล้ว เช่นนั้น... เช่นนั้นคุณชายก็จะพ้นโทษ”
สวีเสี่ยวเสียนลูบศีรษะของจือรุ่ยไปมา จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้านี่นะ จงจำไว้...ภายภาคหน้าอย่าได้ทำเช่นนี้อีกเป็นอันขาด”
“แต่ว่า...” จือรุ่ยค่อนข้างมิคุ้นชิน แต่ก็รู้สึกว่าที่คุณชายลูบศีรษะให้นั้นมันสบายมากยิ่งนัก นางหันหน้าไปมองคุณชายแล้วเอ่ยต่อว่า “ทว่าบ่าวกังวลใจเป็นอย่างมากว่าอาการป่วยของคุณชายจะกำเริบแล้วคิดจะฆ่าคนจริง ๆ แม้ว่าหลายฝูจะสามารถรับโทษแทนได้ ทว่าชื่อเสียงก็เป็นคุณชายที่ต้องแบกรับเอาไว้อยู่ดี”
หลายฝูที่ขับรถม้าเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันใด
“คุณชายลงมือทำสิ่งใดต้องมีขีดจำกัดนะเจ้าคะ ต่อไปนี้ปล่อยให้หลายฝูเป็นผู้รับผิดชอบเถิดเจ้าค่ะ ! ”
หลายฝูเสียวสันหลังวาบขึ้นมาอีกครา เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องนภา เห็นสุริยาส่องแสงอยู่บนท้องนภาแจ่มใส เขาครุ่นคิดว่าวันนี้เกิดอันใดขึ้นกันแน่ ?
“คุณชาย”
“อือ...”
“หากยังลูบต่อ ผมจะยุ่งแล้วเจ้าค่ะ” ใบหน้าของจือรุ่ยราวกับดอกท้อ ท่าทางเขินอายหยดย้อย ท่าทางเช่นนี้ชวนให้หวั่นไหว
“โอ้” สวีเสี่ยวเสียนดึงมือกลับมา กลิ่นหอมจากผมของเด็กสาวลอยแตะจมูกจาง ๆ
“คุณชายเจ้าคะ คุณชายต้องทานยานะเจ้าคะ มิเช่นนั้น... มิเช่นนั้นอาการป่วยของคุณชายจะกำเริบ เช่นนั้นจะน่ากลัวนะเจ้าคะ”
สวีเสี่ยวเสียนหัวเราะร่าขึ้นมาทันใด เขามิได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ทว่ากลับเอ่ยถามออกไปว่า “ชายชราผู้นั้นเป็นใครกัน ? ”
“คาดว่าเป็นจางหวนกงเจ้าค่ะ เป็นอาจารย์ของคุณหนูเยวี่ยเอ๋อ เหมือนว่าจะเกษียณจากงานที่ฉางอันแล้วกลับมาอยู่ที่นี่ และดูเหมือนว่าในอดีตจะเคยเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ฉางอันด้วยเจ้าค่ะ”
สวีเสี่ยวเสียนพยักหน้าเข้าใจ อืม...ที่ชายชราผู้นั้นเอ่ยออกมาคาดว่าจะเป็นเรื่องจริง
ภายในรถม้าคันหลัง
ซูผิงอันกำลังสนทนากับจูจ้งจี๋และโจวรั่วหลาน
“พวกเจ้าลองใคร่ครวญดูเถิด แม้ว่าสวีเสี่ยวเสียนจะถูกดึงเข้ามารับหายนะจากบ่อปลาจริง ๆ ทว่าตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนจบ การกระทำของเขาเป็นขั้นเป็นตอนราวกับถูกเรียงลำดับในหัวสมองมาแล้วอย่างดี”
ซูผิงอันเอ่ยต่ออีกว่า “หลังจากที่เขาทราบถึงภูมิหลังของโจวเหยียนหวางก็ได้ดึงมีดออกมา อาการบ้าคลั่งก็กำเริบขึ้นมาในตอนนั้นพอดี เหตุใดถึงประจวบเหมาะถึงเพียงนี้ สิ่งที่เขาต้องการคือให้พวกเราเป็นพยานให้แก่เขา เพื่อยืนยันว่าเขาลงมือทำร้ายโจวจั้วในยามที่อาการกำเริบ”
โจวรั่วหลานชะงักงัน “ความหมายของคุณชายซูคือเขามิได้ต้องการสังหารโจวจั้วผู้นั้นจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือเจ้าคะ ? ”
ซูผิงอันส่ายศีรษะช้า ๆ “มิใช่ ! เขาเพียงต้องการทำให้โจวจั้วหวาดกลัวก็เท่านั้น มิเช่นนั้นเขาจะขวางสาวใช้ของเขาที่พุ่งเข้าไปสังหารโจวจั้วเพื่ออันใดกัน ? ”
“หรือบางทีอาการป่วยของเขาจะดีขึ้นหลังจากที่ตื่นขึ้นมา ? ”
ใช่ ! เมื่อซูผิงอันได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มตั้งข้อสงสัยกับตนเอง “เจ้าเอ่ย...ได้มีเหตุผลเช่นกัน อาการป่วยของเขาจะกำเริบหลังจากที่ได้รับการกระตุ้นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“น่าจะเป็นเช่นนั้น เขา...จางหวนกงสามารถช่วยเขาได้จริง ๆ หรือ ? ”
ซูผิงอันกระตุกยิ้ม “จางหวนกงก็เป็นถึงหมอหยินชิงกวงลู่ ถึงแม้จะมาจากขุนนางเหวินซ่านขั้นสาม ทว่าเขาก็ได้ดูแลสำนักศึกษาฉางอันอยู่นานนับสิบกว่าปี ตอนนี้ขุนนางหลายคนในราชสำนักต่างก็เป็นศิษย์ของเขา และเขายังเป็นสหายกับท่านถงกงที่เป็นฝ่ายตรวจการคนปัจจุบันอีกด้วย”
ฝ่ายตรวจการกำกับดูแลขุนนางนับร้อย ตาของโจวจั้วผู้นั้นเป็นเพียงผู้ตรวจการรัฐแห่งรัฐเหลียง เขาย่อมหวาดกลัวฝ่ายตรวจการไปโดยปริยาย
โจวรั่วหลานถึงได้สบายใจขึ้นมา แต่แล้วนางก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครา “ตามที่หมอเทวดาได้วินิจฉัยอาการของเขา หมอเทวดาก็น่าจะออกใบสั่งยาให้แก่เขาแล้วนี่ ทว่าเหตุใดถึงมิเห็นเขาหรือสาวใช้ของเขามารับยาเลยกัน ? ”
“มิใช่เล่ากันว่าในอดีตจวนของเขาถูกพ่อบ้านจางผู้นั้นยึดครองหรอกหรือ ? เขาเพิ่งจะพลิกฟื้นขึ้นมาได้ในตอนนี้ บางทีการเงินของเขาอาจจะยังยากจนข้นแค้น...” ซูผิงอันหันไปมองทางจูจ้งจี๋แล้วเอ่ยต่อว่า “ราตรีนี้พวกเราไปดูว่าเขาจะทำการตัดสินคดีจากการไต่สวนศพเยี่ยงไรกันเถิด หากเขาสามารถคลี่คลายคดีได้จริง ๆ พวกเราก็ควรไปเยี่ยมเยียนเขาถึงที่จวนสักครา”
จูจ้งจี๋มิได้เอ่ยความเห็นใด เขาครุ่นคิดว่าคนบ้าผู้นั้นเป็นศัตรูความรักของข้า !