ตอนที่ 32 ความกังวลใจของจี้เยวี่ยเอ๋อ
“ท่านพี่ ท่านพี่... ! ”
จี้ซิงเอ๋อสวมชุดสีแดงแล้ววิ่งเข้าไปในห้องของจี้เยวี่ยเอ๋ออย่างรีบร้อน
“นี่เพิ่งจะเป็นยามโพล้เพล้เท่านั้น สวีเสี่ยวเสียนมิได้บอกว่าจะสอบปากคำผู้ตายตอนค่ำหรอกหรือ ? เหตุใดเจ้าถึงรีบเข้ามาด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลนถึงเพียงนี้กัน ? ”
ดวงตาของจี้ซิงเอ๋อเป็นประกาย นางเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “เกิดเรื่องใหญ่แล้ว ! ทว่ามิใช่เรื่องที่สวีเสี่ยวเสียนจะสอบปากคำศพเพื่อไขคดีในค่ำนี้หรอก ทว่าสวีเสี่ยวเสียน สวีเสี่ยวเสียน...แทงโจวเหยียนหวางบุตรชายของผู้ตรวจการโจวในหอต้านสุ่ยเมื่อยามกลางวัน ฮ่า ๆ ๆ ! ”
จี้เยวี่ยเอ๋อชะงักทันใด นางวางตำราในมือลง อยู่ ๆ ใบหน้างดงามก็ประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย “เขาฆ่าคนเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“มิได้ฆ่า ทว่าแทงไปที่ก้นของโจวเหยียนหวาง ฮ่า ๆ ๆ ทำเอาโจวเหยียนหวางตกใจจนฉี่ราดอึราดกันเลยทีเดียว บัดนี้ยังนอนรักษาตัวอยู่ในโรงหมอของจวนรั่วหลานอยู่เลย”
จี้เยวี่ยเอ๋อจึงรู้สึกผ่อนคลายลงทันใด อยู่ ๆ นางก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา นางเป็นอันใดไปกัน ?
บัดนี้นางและสวีเสี่ยวเสียนหาได้เกี่ยวข้องกันไม่ เขาจะฆ่าคนตายหรือไม่ก็มิได้เกี่ยวอันใดกับนางนี่ ?
นางจะไปกังวลถึงความปลอดภัยของเขาเพื่อเหตุอันใดกัน ?
จี้เยวี่ยเอ๋อพยายามทำท่าทางนิ่งเงียบ “ที่ร้านหนังสือซานเว่ยจำต้องเติมสินค้าบางส่วนแล้ว คราก่อนหินฝนหมึกสีเหลืองที่เจ้าไปซื้อมาได้รับความนิยมจากผู้ศึกษาในสำนักศึกษาจูหลินมากยิ่งนัก ทว่าราคาของมันแพงจนเกินไป ครานี้เจ้าจงไปหาซื้อที่ราคาถูกกว่านั้นมาสักหน่อย หินฝนหมึกเวยซานก็มิเลว อ้อ ! กระดาษก็ควรเตรียมไว้ให้มากสักหน่อย เนื่องจากเทศกาลเรือมังกรกำลังจะมาถึงแล้ว บรรดาผู้ศึกษาตำราเหล่านั้นคงจะจัดงานชุมนุมวรรณกรรมในเทศกาลเรือมังกรขึ้นที่ใดสักแห่งเป็นแน่”
“อีกอย่าง...กระดาษลายน้ำก็จำต้องซื้อมาเตรียมไว้ เนื่องจากได้รับความนิยมจากสตรีมากมาย... อ้อจริงสิ ! พวกพู่กันเหล่านั้นก็ต้องเตรียมเอาไว้ด้วยเช่นกัน แล้วก็...”
“ช้าก่อน ! ” จี้ซิงเอ๋อรู้สึกถึงความกดดันขึ้นมาทันใด นางเบิกตากว้างแล้วเอ่ยออกมาว่า “ร้านหนังสือซานเว่ย เจ้าคือผู้ดูแล มิได้เกี่ยวข้องอันใดกับข้าเลยสักนิด อย่าคิดมาใช้งานข้าเชียว ! ”
จี้เยวี่ยเอ๋อเงยหน้าขึ้นมองจี้ซิงเอ๋อ ผ่านไปชั่วครู่นางจึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ช่วงนี้มีเงินค่าขนมในกระเป๋าเยอะหรือไม่ ? ”
จี้ซิงเอ๋อก้มหน้าลงแล้วพึมพำออกมาเบา ๆ อย่างมิพอใจว่า “เจ้าชอบใช้เงินค่าขนมมาข่มขู่ข้า ! ”
จี้เยวี่ยเอ๋อหยิบพู่กันขึ้นมาแล้วเขียนรายการลงไปบนกระดาษ จากนั้นก็ส่งไปให้จี้ซิงเอ๋อ “จงไปซื้อของตามที่ข้าเขียน แล้วไปที่ร้านม่อยุ่นจายในเหลียงโจวเพื่อดูว่ามีกวีใหม่ของนักปราชญ์ทั้งสี่แห่งเจียงหนานออกมาหรือไม่ หากมีก็จงซื้อมาให้ข้าหนึ่งเล่ม”
จี้ซิงเอ๋อเหล่ตามองจี้เยวี่ยเอ๋อแล้วครุ่นคิดอยู่ในใจว่า ยังมิถอดใจอีกหรือ ?
“อย่าคิดมากไปเลย ข้าเพียงต้องการอ่านกวีบทใหม่ของนักปราชญ์ทั้งสี่แล้วนำมาเปรียบเทียบกับกวีทั้งสองบทของสวีเสี่ยวเสียน พรุ่งนี้ข้าจะนำกวีสองบทนั้นไปให้ท่านอาจารย์ดู เพื่อให้ท่านอาจารย์วิเคราะห์และวิจารณ์กวีทั้งสองบทนั้น”
จี้ซิงเอ๋อรู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างไร้สาระสิ้นดี กวีเหล่านั้นจะน่าสนใจเท่าชุดเกราะหรือม้าไวได้เยี่ยงไร !
“นี่...คืนนี้ที่สวีเสี่ยวเสียนจะไขคดีโดยไต่สวนจากศพ เจ้าจะเดินทางไปดูหรือไม่ ? ”
“ไปสิ ! ข้าเองก็อยากจะเห็นว่าเขาเป็นคนเยี่ยงไรกันแน่”
ทันใดนั้นเองโจวรั่วหลานก็วิ่งเข้ามาอย่างเหนื่อยหอบ “เยวี่ยเอ๋อ เยวี่ยเอ๋อ... ! ”
จี้เยวี่ยเอ๋อจ้องมองโจวรั่วหลานด้วยสายตาประหลาดใจ “เจ้าลุกลี้ลุกลนเช่นนี้ มีเรื่องอันใดอีกเล่า ? ”
หน้าอกของโจวรั่วหลานกระเพื่อมมิเป็นจังหวะ นางแลบลิ้นเลียริมฝีปากแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “เจ้ารู้หรือไม่ ว่าวันนี้ยามที่สวีเสี่ยวเสียนจะฆ่าโจวเหยียนหวางที่หอต้านสุ่ย ข้าเองก็อยู่ที่นั่นด้วย ! ”
จี้เยวี่ยเอ๋อเบิกตาโพลงขึ้นมาทันใด ส่วนจี้ซิงเอ๋อเอ่ยถามอย่างสนอกสนใจว่า “พี่รั่วหลาน ลองเล่ามาให้ข้าฟังหน่อยสิ”
โจวรั่วหลานลากเก้าอี้ตัวหนึ่งออกมาแล้วนั่งลง ก่อนจะเอื้อมมือไปกุมมือของจี้เยวี่ยเอ๋อเอาไว้ จากนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นแล้วเริ่มสาธยายว่า “พวกเจ้ามิเห็นว่าสวีเสี่ยวเสียนน่าเกรงขามมากเพียงใด ! ”
“เนื่องจากเจ้าโจวเหยียนหวางผู้นั้นจะเข้าไปทานข้าว ทว่าต้องการเหมาหอต้านสุ่ยทั้งหมด ผู้ที่กินอาหารอยู่ในห้องโถงล้วนถูกลูกน้องของเขาขับไล่ออกไปจนสิ้น เขาต้องการขึ้นไปกินในห้องรับรองบนชั้นสอง ช่างบังเอิญเหลือเกินที่ลูกพี่ลูกน้องของข้าเชิญคุณชายซูไปรับประทานอาหารที่ชั้นสองของหอต้านสุ่ย อีกทั้งยังมีท่านจางหวนกงอีกด้วย”
“ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราเกิดข้อข้องใจกับโจวเหยียนหวางขึ้น บังเอิญเหลือเกินที่สวีเสี่ยวเสียนเดินเข้ามา โจวเหยียนหวางถอยหลังไปชนกับสวีเสี่ยวเสียนเข้าพอดี”
จี้เยวี่ยเอ๋อจินตนาการภาพตามที่โจวรั่วหลานเล่า นางเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้นว่า “จากนั้นเป็นเยี่ยงไรต่อ ? ”
โจวรั่วหลานส่ายศีรษะแล้วทำหน้าเคร่งขรึม “พวกเจ้าคงมิรู้หรอกว่าโจวเหยียนหวางผู้นั้นมีลูกน้องรูปร่างกำยำติดตามมาด้วยถึงสามสิบกว่าคน ! ”
จี้ซิงเอ๋อเอื้อมมือไปจับนิ้วทั้งสามที่นางชูขึ้น “โธ่...รีบเล่าเถิด ! ”
จี้ซิงเอ๋อตาเป็นประกายทันใด “สวีเสี่ยวเสียนถูกทำร้ายเสียจนหน้าตาบูดเบี้ยว ท้ายที่สุดแล้วมิรู้จะทำเยี่ยงไร จึงชักมีดออกมาแทงโจวเหยียนหวางใช่หรือไม่ ? ”
โจวรั่วหลานเบิกตากว้างพลางจ้องมองจี้ซิงเอ๋อ “เจ้าคิดอันใดอยู่กัน อย่าขัดจังหวะสิ ! ”
จี้ซิงเอ๋อเบ้ปาก จากนั้นก็ได้ยินโจวรั่วหลานเอ่ยต่ออย่างตื่นเต้นว่า “พวกเราก็คิดว่าสวีเสี่ยวเสียนจะต้องเสียเปรียบอย่างแน่นอน ทว่าต่อมาพบว่าเขาสามารถเอาชนะโจวเหยียนหวางได้ในคราเดียว...”
จี้ซิงเอ๋อหัวเราะฮึ ๆ ออกมา “เจ้าคุยโวแล้ว ! สวีเสี่ยวเสียนเป็นเพียงหนอนหนังสือผู้บอบบาง เรี่ยวแรงอย่างกับไก่มิมีกระดูก เขาจะเอาชนะโจวเหยียนหวางในคราเดียวได้เยี่ยงไร ? ”
“เจ้ามิเชื่อเยี่ยงนั้นหรือ ! ” โจวรั่วหลานจ้องมองไปทางจี้ซิงเอ๋อ “ข้าก็มิรู้เช่นกันว่าสวีเสี่ยวเสียนใช้สิ่งใดแทงเขา ราวกับว่าเจ้าโจวเหยียนหวางผู้นั้นถูกสายฟ้าฟาดมิผิดเพี้ยน เขาเอาชนะเจ้าโจวเหยียนหวางได้ด้วยวิธีนี้ ก่อนจะสั่งให้บ่าวรับใช้ของเขามัดลูกน้องทั้งสามสิบคนเอาไว้ เอ่อ...เหตุการณ์แบบนี้เรียกว่าอันใดกันนะ ? ”
“อ้อ ! จับโจรจับหัวหน้าโจร ! ”
“ใช่ ๆ ๆ ! เป็นดังที่เยวี่ยเอ๋อกล่าว เขาจับหัวหน้าได้ ส่วนพวกลูกน้องที่เหลือก็คงมิมีปัญหาทำอันใด”
“แล้วเหตุใดเขาจึงแทงโจวเหยียนหวางเล่า ? ”
“นั่นเป็นเพราะว่าโจวเหยียนหวางข่มขู่สวีเสี่ยวเสียนก่อน เขาเอ่ยชื่อบิดาและตาของตนเพื่อให้ผู้อื่นเกรงกลัว แต่ปรากฏว่าสวีเสี่ยวเสียนมิสนใจเขา” โจวรั่วหลานเอ่ยพลางใช้มือทั้งสองข้างแสดงท่าทางประกอบ “พวกเราเห็นว่าสวีเสี่ยวเสียนโมโหเป็นอย่างมาก เขาตรงเข้าไปในครัวแล้วหยิบมีดเลาะกระดูกออกมา จากนั้นก็เดินเข้าไปหาโจวเหยียนหวางด้วยท่าทางอำมหิต”
จี้เยวี่ยเอ๋ออ้าปากกว้างด้วยความตกตะลึง นางแทบจะหยุดหายใจ เจ้าบ้านี่...อาการกำเริบอีกแล้วสินะ !
“สรุปว่าอาการของสวีเสี่ยวเสียนกำเริบขึ้นมาจริง ๆ เขาบังเอิญสะดุดพื้นแล้วล้มลง และช่างบังเอิญเสียเหลือเกินที่มีดทำครัวเล่มนั้นลอยไปปักที่ก้นของโจวเหยียนหวาง ฮ่า ๆ ! ”
โจวรั่วหลานหัวเราะออกมาอย่างสะใจ “เยวี่ยเอ๋อ บัดนี้ข้ารู้สึกว่าสวีเสี่ยวเสียนผู้นี้มิเลวเลยทีเดียว ชายหนุ่มควรจะเลือดร้อนเช่นนี้จึงจะถูก ! ”
“เขาแข็งแกร่งกว่าลูกพี่ลูกน้องข้ามากนัก มีเพียงสิ่งเดียวที่เป็นปัญหาก็คือเขามีโรคประจำตัว และพวกเราวิเคราะห์ออกมาแล้วว่า เพียงแค่เขามิถูกกระตุ้น อาการนั้นก็จะมิกำเริบ อีกอย่าง...”
โจวรั่วหลานเอื้อมมือไปกุมมือจี้เยวี่ยเอ๋อเอาไว้ “ในตอนนั้นหมอเทวดาได้เขียนใบสั่งยาไว้ให้เขา แต่จากที่ข้ารู้มา สวีเสี่ยวเสียนมิเคยกินยาตามใบสั่งเลยสักครา คาดว่าเขาคงจะมิมีเงินซื้อ เจ้าต้มยาตามที่หมอสั่งแล้วลองเอาไปให้เขากินดู บางทีเขาอาจจะหายก็เป็นได้”
ใบหน้าของจี้เยวี่ยเอ๋อขึ้นสีแดงระเรื่อ “ข้ามิมีใบสั่งยานั้นหรอก”
“สวีเสี่ยวเสียนจะต้องเก็บมันไว้ในเรือนเป็นแน่ เจ้าให้ซิงเอ๋อข้ามกำแพงไปขโมยมาก็ได้แล้วมิใช่หรือ ? ”
“ข้ามิไป ! เขาเลี้ยงสุนัขตัวโตเอาไว้ มันช่างดุร้ายมากยิ่งนัก ! ”
จี้เยวี่ยเอ๋อถอนหายใจออกมา “เรื่องนั้นค่อยว่ากันทีหลัง ว่าแต่ตอนนี้เขาเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“มิเป็นอันใดแล้ว พวกเรามีพยานหลักฐาน อีกทั้งยังมีท่านจางหวนกงคอยปกป้องอยู่ บัดนี้เขาสามารถกระโดดโลดเต้นได้ตามใจชอบ แต่กลับเป็นโจวเหยียนหวางน่ะสิที่นอนรักษาตัวอยู่ในโรงหมอของจวนข้า พวกเจ้ามิรู้หรอกว่าเจ้าหน้าที่ตรวจการโจวโมโหจนหน้าดำคร่ำเครียดราวกับผงถ่าน”
สีหน้าของจี้เยวี่ยเอ๋อแสดงถึงความเป็นกังวลขึ้นมา เขาช่างหุนหันพลันแล่นเสียจริง ครานี้เขาทำให้เจ้าหน้าที่ตรวจการโจวขุ่นเคืองใจ แม้ว่าเมื่อมองจากมุมของกฎหมายแล้ว เขาจะมิเป็นอันใด ทว่าฝ่ายนั้นมีลูกน้องมากถึงสามสิบกว่าคนมิใช่หรือ ?
หากว่าพวกเขาลอบกระทำการใดลับ ๆ ล่อ ๆ...บัณฑิตหนุ่มอย่างเขาจะรับมือได้เยี่ยงไรกัน ?