ตอนที่ 33 ลูกเขย !
คุณหนูใหญ่ตระกูลจี้กำลังร้อนใจเพราะใครบางคน ทว่าใครบางคนในขณะนี้กำลังปิดประตูเตรียมอุปกรณ์สำหรับราตรีนี้อยู่ในศาลาว่าการ
“หลายฝู เจ้าจงเททั้งหมดนี้ลงไปในหม้อ...”
“แล้วนำน้ำมันถังนี้ใส่ลงไป”
“จือรุ่ย...หั่นมะนาวสักสองสามลูก แล้วนำน้ำมะนาวบีบใส่ถ้วยนี้”
จือรุ่ยหั่นมะนาวพลางเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “คุณชายเจ้าคะ คุณชายจะนำของเหล่านี้มาทำอันใดเยี่ยงนั้นหรือเจ้าคะ ? ”
สวีเสี่ยวเสียนจะบอกนางได้เยี่ยงไรกัน ? ว่าวิธีการที่ทำให้ตัวอักษรโผล่ขึ้นมาบนกระดาษขาวนั้นง่ายดายเป็นอย่างมาก ทว่าเขามิสามารถอธิบายให้คนโบราณเข้าใจได้ เขานิ่งเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นก็เอ่ยออกมาสั้น ๆ ว่า “เรียกวิญญาณ ! ”
มือน้อย ๆ ของจือรุ่ยสั่นเทา “คุณชายรู้จักวิธีการนี้ได้เยี่ยงไรเจ้าคะ ? ”
“มิใช่ว่าข้าเคยก้าวเข้าไปที่ประตูผีมาแล้วหรอกหรือ ? ข้าก็ร่ำเรียนมาจากขุมนรกเยี่ยงไรเล่า เอาล่ะ...ก็ประมาณนี้ ข้าจะออกไปข้างนอกชั่วครู่”
นอกศาลาว่าการ ซูผิงอันและจูจ้งจี๋ยังนั่งรออยู่ที่ด้านนอก ทั้งสองนั่งยอง ๆ อยู่หน้าประตูศาลาว่าการ ซูผิงอันยังคงนึกถึงฉากที่หอต้านสุ่ยอยู่ ทันใดนั้นก็ถอนหายใจออกมาช้า ๆ
“คุณชายจู ข้ารู้สึกว่าสวีเสี่ยวเสียนมิได้เป็นเหมือนท่าทีที่แสดงออกมา”
จูจ้งจี๋เหลือบมองซูผิงอัน พลางครุ่นคิดว่าพวกเรานั่งยอง ๆ อยู่ตรงนี้มาครึ่งชั่วยามแล้ว ท่านเป็นถึงคุณชายใหญ่แห่งตระกูลซู ทว่าในวันนี้เรื่องที่ท่านเอ่ยออกมานั้นมีแต่เรื่องของสวีเสี่ยวเสียน หากมิใช่ว่าข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านคือชายชาตรี...
“คุณชายซู เมื่อปีที่แล้วที่สวีเสี่ยวเสียนวิ่งเปลือยกายไปทั่วทั้งเมืองหลังจากที่ประกาศผลสอบแล้ว นั่นคือเรื่องจริง ฤดูหนาวในเดือนสิบสอง หิมะตกหนัก ข้านั่งผิงไฟอยู่ในเรือน ข้ายังได้ยินผู้คนละแวกนั้นเอ่ยกันเลย เรื่องนี้ต้องมิใช่เรื่องเท็จเป็นแน่”
ซูผิงอันขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้สึกกังวลใจขึ้นมา บางทีตนอาจจะคิดผิดไปจริง ๆ
“พวกเรารออันใดอยู่กัน ? ” จูจ้งจี๋เอ่ยถาม
“มิใช่ว่าคืนนี้เขาจะไต่สวนคดีจากศพหรอกหรือ ? พวกเราก็รอดูเยี่ยงไรเล่า”
ทันใดนั้น ซูผิงอันก็แสยะยิ้มแล้วเอ่ยต่อว่า “หากเขาสามารถไขคดีได้จริง ๆ... คุณชายจู พรุ่งนี้พวกเราต้องไปเยี่ยมสวีเสี่ยวเสียนถึงจวน”
จูจ้งจี๋เม้มริมฝีปากแน่น ในใจรู้สึกมิยินยอม เขาเป็นศัตรูหัวใจของข้ามิใช่หรือ ?
ทว่าในเมื่อซูผิงอันเอ่ยปากขึ้นมาอีกครา เมื่อครุ่นคิดถึงเหตุการณ์วันนี้ที่หอต้านสุ่ย เจ้านั่นสามารถแก้วงล้อมให้แก่พวกเขาได้โดยแท้จริง ดังนั้นตนจึงทำได้เพียงพยักหน้าอย่างมิเต็มใจเท่าใดนัก
ซูผิงอันหันหน้าไปทางประตูใหญ่ของศาลาว่าการ สวีเสี่ยวเสียนเข้าไปนานแล้วทว่ายังมิออกมา เขาทำอันใดอยู่ด้านในนั้นกัน ?
สวีเสี่ยวเสียนอยู่ในห้องทำงานของนายอำเภอจี้
“...ท่านนายอำเภอ ท่านไปทำตามที่ข้าบอกก็พอ หากฆาตกรยังมิได้ออกไปจากเขตเหลียงอี้ มีความเป็นไปได้แปดถึงเก้าในสิบส่วนที่เขาจะมาปรากฏตัวในราตรีนี้ ! ”
นายอำเภอจี้ตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ฟัง “จริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
สวีเสี่ยวเสียนกางมือของเขาออก “แล้วยังจะสามารถทำอันใดได้อีกกัน ? อย่างน้อยก็ยังมีความหวังอยู่มิใช่หรือ ต่อให้ไขคดีมิได้ ผลลัพธ์ในตอนท้ายก็มิได้เปลี่ยนแปลงไปอยู่ดี”
นายอำเภอจี้รู้สึกว่าเขาเอ่ยได้มีเหตุผล เขาจึงเหลือบสายตาไปมองสวีเสี่ยวเสียน ทันใดนั้นก็เอ่ยออกมาอย่างมีเลศนัย “ฝานจือเอ๋ย... ลูกศรธนูในที่แจ้งนั้นง่ายต่อการหลบ ทว่าลูกศรธนูจากเงามืดนั้นยากจะป้องกัน แม้ว่าจางหวนกงจะรับปากแล้วว่าจะปกป้องเจ้า ทว่านี่เป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น หากเจ้าหน้าที่ตรวจการโจวปล่อยลูกศรธนูมาในเงามืด ข้ากลัวว่าเจ้าจะสูญเสียอย่างใหญ่หลวง”
นี่คือปัญหาที่ยากสำหรับสวีเสี่ยวเสียนเช่นกัน ทว่าเขายังจะทำอันใดได้อีกกัน ?
เป็นไปมิได้ที่จะจ้างผู้คุ้มกันเรือนอีกหลายสิบคน !
เขามีเงินในกระเป๋าเพียง 200 ตำลึงเท่านั้น ให้ตายเถิด ! สวีเสี่ยวเสียนลอบสบถอยู่ในใจ เดิมทีเขาคิดที่จะไปขายสูตรอาหารอีกสักสองสูตรที่หอต้านสุ่ย ทว่าคาดมิถึงว่าจะพบเจอเรื่องโชคร้ายเช่นนี้ นอกจากจะมิได้ขายสูตรอาหารแล้ว ยังก่อเรื่องยุ่งยากขึ้นมาอีก
ข้าต้องการอยู่เงียบ ๆ !
เมื่อเห็นสีหน้าของสวีเสี่ยวเสียนเปลี่ยนไปมาจนคาดเดามิได้ นายอำเภอจี้จึงลูบเคราแล้วยกยิ้มขึ้นมา “ฝานจือ...เอาเยี่ยงนี้ดีหรือไม่ เจ้าเองก็ตัวคนเดียว สู้เจ้าแต่งเข้าจวนของข้าเสียมิดีกว่าหรือ... เห็นเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
สวีเสี่ยวเสียนสะดุ้งตกใจ เขาจ้องมองสายตาคาดหวังคู่นั้นของนายอำเภอจี้ เขารู้สึกว่าคนโบราณนั้นมีไหวพริบเป็นอย่างมาก !
เพื่อตามหาลูกเขย คาดมิถึงว่าเขาจะประเคนบุตรีมาให้ตน !
นั่นคือฝาแฝด เมื่อคิด ๆ ดูแล้วก็น่าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
เงื่อนไขนี้ยากที่จะทำให้ผู้คนต้านทานได้ ข้าจะยอมทำตามดีหรือไม่ ?
สวีเสี่ยวเสียนรู้สึกสับสนมากยิ่งนัก ลูกเขยแต่งเข้ามิได้สำคัญอันใดหรอก เขานั้นหน้าหนายิ่งกว่ากำแพงเมืองเสียอีก มีคู่ฝาแฝดมาครอบครอง หากได้กลับไปยังโลกเก่าอีกครา เรื่องนี้ตนสามารถไปโอ้อวดเจ้าแซ่หวางข้างบ้านทั้งชาติก็ยังได้ !
ทว่าต่อมาเมื่อเขาหันหน้าไปมองยังใบหน้าที่มีปากแหลมแก้มเหมือนลิงของนายอำเภอจี้ เขาก็รู้สึกลังเลใจขึ้นมาแทน หากเครื่องหน้าทั้งห้าของนายอำเภอจี้ดูดีสักเล็กน้อย ข้าคงจะยินยอมในทันใด
หลังจากตริตรองอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอแล้วตอบว่า “...แท้จริงแล้ว ข้าก็อยากจะได้ดอกบัวคู่นั้นของท่านมาครอบครอง ทว่ากระดูกในร่างของข้านั้นค่อนข้างบอบบาง กลัวว่าจะมอบความทุกข์ให้กับพวกนางมากกว่าน่ะสิ ! ”
สีหน้าของนายอำเภอจี้มืดครึ้มทันใด เจ้ากำลังคิดอันใดอยู่กัน ?
นอกจากแต่งเข้าจวนข้าแล้ว เจ้ายังคิดจะแต่งสองคนอีกหรือ ?
“ข้าหมายถึงให้เจ้าแต่งงานกับเยวี่ยเอ๋อ ! ”
“อ่า...ท่านนายอำเภอ นี่ก็ค่ำแล้ว พวกเรายังต้องเร่งไขคดีอยู่ นายท่านโปรดให้เจ้าหน้าที่จัดการทั้งหมดตามนี้ด้วย อยู่ ๆ ข้าก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีธุระอีกเล็กน้อย... มิขอรบกวนนายท่านแล้ว”
เมื่อเอ่ยจบ สวีเสี่ยวเสียนก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไป ทำให้จี้จงถานรู้สึกมิสบายใจขึ้นมา
เขาจ้องมองแผ่นหลังของสวีเสี่ยวเสียนด้วยความกลัดกลุ้มใจ บุตรีของข้าราวกับดอกไม้หยก มีรูปลักษณ์ที่น่าเชยชม มีความสามารถรอบด้าน ทั้งยังเป็นสตรีมีความสามารถและมีชื่อเสียงในเขตเหลียงอี้ บัณฑิตเยี่ยงเจ้ายังกล้ารังเกียจนางอยู่อีกหรือ !
ทำราวกับบุตรีข้าจะแต่งมิออกอย่างไรอย่างนั้น สมองของสวีฝานจือ ดูเหมือนว่าจะมีปัญหาโดยแท้จริง
......
......
“ไป ๆ ๆ ไปดูคนบ้าผู้นั้นไต่สวนศพเพื่อยุติคดีกัน ! ”
“รอข้าก่อน ข้าจะนำเก้าอี้ไปด้วย”
“นานแล้วที่เขตเหลียงอี้ของเรามิมีเรื่องน่าสนใจเช่นนี้ คนบ้าผู้นั้นถือว่าน่าสนใจเลยทีเดียว พวกเจ้าว่าเหตุใดท่านนายอำเภอถึงเชื่อคำเอ่ยของเขากัน ? ”
“อย่าลืมสิว่าสวีเสี่ยวเสียนผู้นั้นเคยเกือบจะได้เป็นลูกเขยของนายอำเภอแล้ว บางทีท่านนายอำเภอคงจะอยากดูอีกคราว่าแท้จริงแล้วสวีเสี่ยวเสียนผู้นั้นมีอาการบ้าจริงหรือไม่”
“พวกเจ้าจะไปรู้อันใด เจ้าหน้าที่ตรวจการยื่นคำขาดให้กับนายอำเภอจี้ วันนี้คือวันสุดท้ายที่ต้องไขคดีฆาตกรรมสามศพนี้ เจ้าหน้าที่ตรวจการโจวมาตรวจสอบด้วยตนเอง เกรงว่านายอำเภอจี้คงจะไร้หนทางแล้ว เขาคงจะปลุกปั่นสวีเสี่ยวเสียนมาแสดงละครก็เท่านั้น”
“นี่ ๆ ๆ พวกเจ้าได้ยินกันมาแล้วหรือไม่ ? ยามเว่ยของวันนี้ สวีเสี่ยวเสียนฟันโจวเหยียนหวางบุตรชายเพียงคนเดียวของเจ้าหน้าที่ตรวจการโจวที่หอต้านสุ่ย ! ”
“จริงหรือ ? สวีเสี่ยวเสียนกล้าหาญถึงเพียงนั้นเลยหรือ ? เขาเป็นบัณฑิตไร้เรี่ยวแรงฆ่าไก่ จะสามารถฟันโจวเหยียนหวางผู้นั้นได้หรือ ? ”
“จริงสิ ! บัดนี้โจวเหยียนหวางยังนอนอยู่ที่โรงหมอของตระกูลโจวอยู่เลย”
“...เขามีอาการบ้าคลั่งโดยแท้จริง เขาได้ล่วงเกินเจ้าหน้าที่ตรวจการโจวไปแล้ว ในระยะเวลาอันสั้นเขาจะอยู่อย่างสงบสุขได้อีกเยี่ยงไรกัน ! ”
“......”
เขตเหลียงอี้ ในราตรีนี้คึกคักเป็นอย่างมาก ผู้คนจำนวนมากได้นำเก้าอี้มายังลานของศาลาว่าการหลังจากทานมื้อเย็นเสร็จแล้ว
ภายใต้การจัดการของเจ้าหน้าที่ ผู้ชายอยู่ฝั่งซ้าย ผู้หญิงอยู่ฝั่งขวา ตรงกลางมีเวทีชั่วคราวมิสูงมากตั้งอยู่ บนเวทีสูงนั้นมีโต๊ะหนึ่งตัว กระถางธูปหนึ่งใบ และมีโลงศพอีกสามโลง
บนเวทีสูงนั้นมีเตาไฟอยู่หนึ่งตัว บนเตาไฟนั้นมีหม้อเหล็กขนาดใหญ่ตั้งอยู่หนึ่งใบ ภายในหม้อนั้นเต็มไปด้วยน้ำมัน
เขาจะทำอันใดกันแน่ ?
สองพี่น้องตระกูลจี้และโจวรั่วหลานก็มาที่นี่เช่นกัน แน่นอนว่าพวกนางยืนอยู่ฝั่งขวา
“ฮ่า ๆ ท่านพี่ ข้ารู้สึกว่าสวีเสี่ยวเสียนน่าสนใจมากเลยทีเดียว”
“...น่าสนใจเยี่ยงนั้นหรือ ? ข้ากังวลว่าเขาจะถูกคนในจวนของหยางหยวนเหว่ยตีจนตาย หากหาฆาตกรมิพบมากกว่าน่ะสิ ! ”
หยางหยวนเหว่ยยืนอยู่ด้านหน้าสุดทางฝั่งซ้าย ในตอนนี้เขากำลังจ้องมองไปทางโลงศพทั้งสามที่ตั้งอยู่บนเวทีด้วยสายตาโกรธแค้นและในมือก็กำกระบองเอาไว้แน่น