ตอนที่ 34 เทพแห่งการร่ายรำ
เมื่อยามราตรีกาลมาเยือน บนเวทีในลานศาลาว่าการ มีโคมไฟถูกจุดขึ้นสองสามดวง
เจ้าหน้าที่ตรวจการโจวและนายอำเภอจี้นั่งอยู่ด้านหลังเวทีสูงใหญ่นั่น สีหน้าของเขาดูมืดมนและเยือกเย็นเป็นอย่างมาก เขาเอ่ยกับนายอำเภอจี้ว่า “ทำเป็นอ้างถึงภูตผีปีศาจ หากว่าเขามิอาจไขคดีได้ล่ะก็ ข้าจะฟ้องเขาด้วย เขาจะมิสามารถสอบเข้าไปเป็นขุนนางในราชสำนักได้อีกในชั่วชีวิตนี้ ! ”
นายอำเภอจี้เหลือบมองเจ้าหน้าที่ตรวจการโจวแล้วเอ่ยถามขึ้นมาว่า “บุตรชายของท่านที่บาดเจ็บ ดีขึ้นบ้างหรือยัง ? ”
เจ้าหน้าที่ตรวจการโจวทำหน้าดำคร่ำเครียด เขารู้สึกคับอกคับใจและเจ็บปวดใจมากยิ่งนัก
“ใต้เท้าโจว แท้จริงแล้วเรื่องนี้ท่านควรจะมองอีกมุมหนึ่ง บุตรชายของท่านโชคดีเพียงใดแล้วที่มีดเล่มนั้นปักเข้าไปที่ก้น นับว่าเป็นเรื่องดีจริง ๆ หากว่าในตอนนั้นคุณชาย...คุณชายหันหน้าเข้าหาสวีเสี่ยวเสียน และหากมีดเล่มนั้นปักลงไป เกรงว่าคุณชายคงจะต้องเดินทางเข้าไปรายงานในวังแล้วล่ะ ! ”
“ท่าน... ! ” เจ้าหน้าที่ตรวจการโจวโมโหจนต้องตะคอกออกมาคอเป็นเอ็น หน้าอกของเขากระเพื่อมตามแรงหายใจ หลังจากนั้นมินานเขาได้สูดหายใจเข้าแล้วเอ่ยออกมาอย่างมีเลศนัยว่า “นายอำเภอจี้เอ่ยเช่นนี้ก็มิผิด เขามีท่านจางหวนกงคอยคุ้มครองอยู่ ข้าก็คงทำได้เพียงกลืนความคับแค้นใจลงไปเท่านั้น”
“ท่านว่า...ชีวิตนี้สวีเสี่ยวเสียนจะมิเดินทางออกไปนอกเขตเหลียงอี้สักครึ่งก้าวเลยหรือเยี่ยงไร ? หรือบางที...ท่านจางหวนกง จะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกสักกี่ปีกัน ? ”
“ข้าว่า...ให้สวีเสี่ยวเสียนไปขอโทษบุตรชายของท่านดีหรือไม่ ? ถึงเยี่ยงไรเขาก็เป็นโรคประสาท”
“นายอำเภอจี้ อยู่ ๆ ข้าก็นึกถึงปัญหาหนึ่งขึ้นมาได้ ท่านว่าคุณชายหยุนจากไปโดยอุบัติเหตุได้ 14 ปีแล้ว และ 14 ปีมานี้แทบจะมิมีผู้ใดสนใจใยดีเขาเลย จึงทำให้บ่าวในจวนของเขากำเริบเสิบสาน ข้ายังได้ยินเรื่องเล่ามาอีก หากเรื่องนั้นเป็นเรื่องจริง ท่านว่า...เมื่อปีกลายที่เขาสอบได้เจี่ยหยวน ท่านผู้สูงศักดิ์ผู้นั้นควรจะยินดีรับเขาไปยังเมืองฉางอันมิใช่หรือ ?”
“ทว่าเขามิเพียงมิอาจเดินทางไปฉางอันได้เท่านั้น กลับมิมีรายชื่อของเขาปรากฎบนแผ่นประกาศนั้นเลย สิ่งนี้หมายความว่าเยี่ยงไรน่ะหรือ ? ก็หมายความว่า สวีเสี่ยวเสียนผู้นี้มิได้รับการต้อนรับ หรือบางทีการที่เขาเดินทางไปฉางอันอาจจะมิเหมาะสม”
“หากว่าสวีเสี่ยวเสียนเกิดอุบัติเหตุและจบชีวิตลง ท่านผู้สูงศักดิ์ผู้นั้นคงจะยินดีกว่าจริงหรือไม่ ? ”
เจ้าหน้าที่ตรวจการโจวหัวเราะร่าขึ้นมา นายอำเภอจี้เย็นวาบไปทั้งร่าง เขาเองก็พอจะคิดถึงเรื่องที่เป็นไปได้เรื่องนี้ เช่นนั้นควรทำเยี่ยงไรดี ?
การที่ให้บุตรสาวแต่งงานกับเขาช่างอันตรายมากยิ่งนัก !
จะให้แต่งหรือมิให้แต่งดี ?
นายอำเภอจี้รู้สึกลังเลใจขึ้นมา
ทันใดนั้นก็มีเสียงกลองดังขึ้นมา “ตึ้ง ๆ ๆ...” สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ประตูใหญ่ของศาลาว่าการ พวกเขาเห็นเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่งสวมชุดเต๋าและหมวกทรงสูง ในมือถือแส้จามรีโบกสะบัดไปมา
ผู้ที่เดินตามหลังชายหนุ่มผู้นั้น เป็นชายหนุ่มอีกคนหนึ่ง มีร่างกายกำยำแขวนกลองเอาไว้ที่หน้าอก เขาตีกลองพลางเดินขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับสวีเสี่ยวเสียน
“ตึ้ง ๆ ๆ... ! ”
เมื่อเสียงกลองดังขึ้นมาอีกครา มือของสวีเสี่ยวเสียนก็ยกขึ้นแล้วทำท่ากำ หลายฝูจึงหยุดมือลง
สวีเสี่ยวเสียนโบกสะบัดแส้จามรีในมือแล้วตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดังว่า “พ่อแม่พี่น้องทุกท่าน ข้ามีนามว่าสวีเสี่ยวเสียน ได้รับการไหว้วานมาจากท่านนายอำเภอให้มาสอบปากคำศพในราตรีนี้ ! ”
ผู้คนกลุ่มใหญ่พากันเคลื่อนไหว ชั่วอึดใจเสียงสนทนาก็ดังขึ้นเซ็งแซ่
สวีเสี่ยวเสียนกวาดสายตามองด้านล่าง ไอหยา...ครึกครื้นยิ่งนัก เขาหันไปกำชับกับหลายฝูประโยคหนึ่งว่า “ไปจุดไฟในเตาด้านล่าง”
หลายฝูวางกลองลงแล้วรีบวิ่งออกไปตามคำสั่ง เขาจุดไฟขึ้นในเตาขึ้นมา ทว่าก็มิรู้เช่นกันว่าคุณชายทำไปเพื่ออันใด
สายตาของเขากวาดมองไปยังฝูงชนทางฝั่งซ้าย และบังเอิญเห็นอันธพาลกลุ่มหนึ่งที่หน้าตาน่าเกรงขามยืนถือไม้ยาวอยู่ในมือ เขาสะดุ้งโหยงแล้วนึกอยู่ในใจว่าจำต้องอยู่ห่างจากคุณชายสักหน่อย
ซูผิงอัน จูจ้งจี๋และคนอื่น ๆ เฝ้ามองด้วยความอยากรู้อยากเห็น ซูผิงอันเอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าดูท่าทางการแต่งกายของเขาสิ ทำราวกับเป็นนักพรตเต๋าผู้สูงส่ง”
“เจ้าดูคนของหยางหยวนเหว่ยสิ อีกประเดี๋ยวหากเหตุการณ์ดูผิดปกติไป พวกเราควรรีบถอยหนี มิเช่นนั้นอาจจะได้รับบาดเจ็บเอาได้”
“...คุณชายจูมีเหตุผลมากยิ่งนัก ! ”
สวีเสี่ยวเสียนจ้องมองโลงศพทั้งสามโลงที่วางเอาไว้ มีอยู่สองโลงที่คราบดินยังคงติดอยู่ เขาพึมพำออกมาหนึ่งประโยคว่า “เดิมทีได้ฝังพวกท่านลงไปแล้ว ทว่ากลับต้องขุดขึ้นมาใหม่ เป็นการรบกวนพวกท่านมากยิ่งนัก แต่กรรมเกิดจากเหตุ มีเหตุจึงมีผลตามมา หากพวกท่านรู้สึกมิได้รับความยุติธรรม จงไปหานายอำเภอจี้เถิด”
บังเอิญเสียเหลือเกินที่จังหวะนั้นทุกคนล้วนพากันเงียบเสียงลง และบังเอิญอีกเช่นกันที่นายอำเภอจี้ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาจึงได้ยินประโยคเมื่อครู่ที่สวีเสี่ยวเสียนเอ่ยเข้าพอดี
อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาที่ลำคอ ให้ตายเถิด ! เจ้าเป็นคนขอให้ข้าขุดโลงศพเหล่านี้ขึ้นมาเอง บัดนี้กลับจะให้พวกเขามาหาข้าเยี่ยงนั้นหรือ ?
ไร้สาระสิ้นดีเจ้าสวีเสี่ยวเสียน !
ทว่าสวีเสี่ยวเสียนมิได้ใส่ใจอันใด เขายืดหลังตรง แล้วโบกสะบัดแซ่จามรีในมือไปมา “เอาล่ะเงียบ ! โปรดอยู่ในความเงียบ ! ข้าจะเริ่มพิธีเชิญวิญญาณกลับมาแล้ว พวกท่านทั้งหลายจงอย่าได้ส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายจนทำให้ดวงวิญญาณตกใจ ข้าขอบอกพวกท่านทุกคนเอาไว้ก่อนเลยว่า หากวิญญาณตกใจจนหนีไปก็จะมิอาจไขคดีนี้ได้ และวิญญาณเหล่านั้นก็มิอาจกลับไปยังที่ของตนได้ เกรงว่าท้ายที่สุดแล้วพวกเขาจะไปหาพวกเจ้า”
สวรรค์ !
ประโยคนี้ช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน
เรื่องของภูตผีปีศาจเหล่านี้แต่โบราณมาก็มิมีผู้ใดสามารถชี้แจงได้อย่างชัดเจน พวกเขาต่างก็เกรงกลัวในสิ่งที่คลุมเครือเหล่านี้
บางคนถึงกับหลับตาลงและยกมือขึ้นปิดปาก ดวงตางดงามคู่นั้นของจี้เยวี่ยเอ๋อจับจ้องไปที่สวีเสี่ยวเสียนที่ยืนอยู่บนเวที เนื่องจากมีเพียงแสงสลัวจากโคมไฟเท่านั้น จึงทำให้การมองเห็นของนางมิชัดเจนมากนัก
ต่อมา...ทุกคนก็พบว่าสวีเสี่ยวเสียนกระโดดโลดเต้นอยู่บนเวทีนั้น
“โอม มะลึกกึกกึ๋ย มะลึกกึกกึ๋ย...”
อยู่ ๆ น้ำเสียงของเขาก็สูงขึ้น
“มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ สุริยาขึ้นทางทิศตะวันออก ข้าขอให้เครื่องรางของขลังเหล่านี้ มิอาจถูกทำลายลงได้โดยง่าย ลูกไฟจงพุ่งทะยานออกจากภูเขา...”
เมื่อสวดถึงตรงนี้ สวีเสี่ยวเสียนก็เงียบเสียงลงทันใด จากนั้นทุกคนก็เห็นว่าสวีเสี่ยวเสียนหยิบเทียนที่จุดแล้วจากบนโต๊ะขึ้นมาหนึ่งเล่ม เขาเป่าไปที่เทียนเล่มนั้น เปลวไฟยาวเหยียดดุจกระบี่อันแหลมคมปรากฏขึ้น !
“กรี๊ด... ! ”
“ไอหยา... ! ”
ทุกคนพากันแตกตื่น บรรดาสตรีน้อยใหญ่ที่อยู่ด้านข้างพากันยกมือขึ้นมากุมปากของตนเองเอาไว้ด้วยความตกอกตกใจ ส่วนบรรดาชายหนุ่มต่างก็ตกตะลึงจนเบิกตาโพลง
ทันใดนั้นซูผิงอันก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เขา... เขา...มีวิชาอาคมจริงหรือ ? ”
จูจ้งจี๋ก็มิรู้เช่นกัน บัดนี้เขาได้แต่ยืนนิ่งและรู้สึกว่าสวีเสี่ยวเสียนช่างเก่งกาจเสียเหลือเกิน
หลังจากที่สวีเสี่ยวเสียนพ่นไฟออกมาเป็นทางยาวแล้ว เขาก็กระโดดขึ้นลงพลางท่องคาถาพึมพำว่า
“ด้วยพลังแห่งแสง สิ่งแปลกประหลาดทั่วหล้า หลอมทำลายทุกสิ่ง ปราบปีศาจทั้งหมดให้สิ้น เปลี่ยนทุกสิ่งให้เป็นมงคล”
“ไท่ซ่างเหล่าจวิน โปรดประทานความสามารถให้แก่ข้า ! ”
เมื่อเขาท่องคาถานั้นจนจบ ก็ได้จ้องไปยังเทียนเล่มนั้นแล้วพ่นไฟออกมาอีกครา
ต่อมา เขาก็เอื้อมมือไปหยิบกระดาษสีเหลืองมาจากด้านข้างแล้วเผามัน แสงไฟส่องกระทบใบหน้าอันเคร่งขรึมของเขา เขาวางแซ่จามรีในมือลงแล้วเดินตรงไปยังหม้อใบนั้น
น้ำมันในหม้อใบใหญ่ปะทุขึ้นเป็นฟอง “ต่อไป...ข้าจะเชิญดวงวิญญาณทั้งสามออกมาจากหม้อใบนี้ ! ”
ทุกคนล้วนจับจ้องและเบิกตากว้างแทบจะหยุดลมหายใจเอาไว้ ลานอันกว้างใหญ่เงียบเสียงลงในทันใด
เขาจะเชิญดวงวิญญาณออกมาจากหม้อน้ำมันนั้นได้เยี่ยงไรกัน ?
นั่นเป็นหม้อน้ำมันที่ร้อนระอุซึ่งกำลังปะทุอยู่เชียว !
หรือว่า...นี่จะเป็นหม้อน้ำมันแห่งนรกในตำนาน ? ดวงวิญญาณทั้งสามกำลังได้รับการแผดเผาอยู่ในหม้อนั้น ?
จี้ซิงเอ๋อที่กลัวผีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นางเอื้อมมือไปจับมือของพี่สาวเอาไว้ พบว่ามือของพี่สาวเย็นเฉียบและกำลังสั่นอยู่เช่นกัน
นายอำเภอจี้ตกตะลึงแล้วเดินตรงเข้าไป ทางด้านของเจ้าหน้าที่ตรวจการโจวก็มิอยากจะเชื่อเช่นกัน เขาจึงเดินตามไป
มองดูแล้วบัดนี้น่าจะเป็นช่วงสำคัญสำหรับสวีเสี่ยวเสียนที่จะทำพิธี
เขาจึงส่งสายตาไปทางคนผู้หนึ่งในฝูงชน เมื่อสวีเสี่ยวเสียนยกแขนเสื้อขึ้น อยู่ ๆ คนผู้นั้นก็วิ่งตรงเข้ามาแล้วปาถุงที่อยู่ในมือไปยังสวีเสี่ยวเสียน
“ตุ้บ ! ” เสียงดังสนั่น
จากนั้น...ร่างของสวีเสี่ยวเสียนก็เต็มไปด้วยเลือดของสุนัข