px

เรื่อง : นายน้อยเจ้าสำราญ : คนบ้าแห่งต้าเฉิน (นิยายแปล) ปลดล๊อคตอนฟรี 3 วัน 1 ตอน
ตอนที่ 35 ไขคดี


ตอนที่ 35 ไขคดี

 

นี่มันเกิดอันใดขึ้นกัน ?

 

สวีเสี่ยวเสียนหันกลับไปมองชายหนุ่มผู้นั้น แล้วยกมือขึ้นเช็ดหน้า

 

ให้ตายเถิด !

 

เหนียวเกรอะกรัง

 

ทั้งยังมีกลิ่นเลือดติดมาอีกด้วย !

 

“บอกมาสิ ว่านี่คือสิ่งใด ? ”

 

ชายผู้นั้นกลืนน้ำลายลงคืออึกใหญ่ เขากลัวจนขาสั่น สวีเสี่ยวเสียนผู้นี้มีวิชาโดยแท้จริง เขาหุนหันพลันแล่นจนได้ล่วงเกินเทพเซียนเข้าแล้ว !

 

เขาจึงคุกเข่าลงกับพื้นดังตึง “ท่านเทพ นี่...นี่คือเลือดสุนัข”

 

ให้ตายเถิด !

 

สวีเสี่ยวเสียนรู้สึกมิดีไปทั้งร่าง

 

เขากระโดดถีบชายผู้นั้นจนล้มลงไปกองกับพื้นแล้วเอ่ยอย่างดุดันว่า “โชคดีที่วิชาของข้านั้นไร้ขอบเขตและได้ฝึกฝนวิชาอมตะไว้เนิ่นนานแล้ว มิเช่นนั้นคงถูกคนชั่วเยี่ยงเจ้าทำลายวิชาและมิสามารถอัญเชิญวิญญาณมาไขคดีได้ ข้าจะสังหารเจ้าทั้งตระกูล ! ”

 

“ท่านเทพไว้ชีวิตข้าด้วย นี่ นี่ ทั้งหมดนี้...”

 

เจ้าหน้าที่ตรวจการโจวที่เห็นดังนั้น พบว่ามันมิถูกต้อง เจ้าหมอนั่นกำลังจะขายตนเอง จะปล่อยให้เป็นเช่นนั้นมิได้ “นำคนผู้นั้นลงมา อย่าให้ไปกระทบกับวิชาของท่านเทพเป็นอันขาด”

 

เจ้าหน้าที่สองคนขึ้นไปลากคนผู้นั้นเข้าไปด้านในศาลาว่าการ เมื่อได้เห็นกับตาว่าสวีเสี่ยวเสียนมีพลังพิเศษถึงเพียงนี้ การไขคดีนี้ต้องพึ่งสวีเสี่ยวเสียนทั้งหมดแล้ว คาดมิถึงว่าคนผู้นี้จะกล้าสาดเลือดสุนัขดำใส่สวีเสี่ยวเสียนซึ่ง ๆ หน้า โชคดีที่สวีเสี่ยวเสียนเอ่ยว่าเขามีร่างที่เป็นอมตะ มิเช่นนั้นคืนนี้คงมิอาจทำให้สำเร็จได้

 

สวีเสี่ยวเสียนมิมีเวลามากพอที่จะไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาจึงถลกแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้นสูง แล้วเอ่ยปากตะโกนว่า

 

“ฟ้าดินสีเหลืองอำพัน ทหารรบพร้อมเกราะ วิญญาณที่ถูกให้ร้าย รีบปรากฏกาย ไท่ซ่างเหล่าจวิน โปรดลงทัณฑ์ดั่งกฎหมาย ! ”

 

จากนั้น ทุกคนต่างก็สูดลมหายใจเข้าโดยพร้อมเพรียงกัน

 

พวกเขาคาดมิถึงว่าจะเห็นสวีเสี่ยวเสียนจุ่มสองมือลงไปในหม้อน้ำมันที่กำลังเดือดพล่าน !

 

“ว้าย... ! ”

 

“ไอหยา... ! ”

 

“ซี้ด... ! ”

 

ให้ตายเถิด เจ็บไปหมดแล้ว !

 

จือรุ่ยกลืนน้ำลายหนึ่งอึก นางกำชายเสื้อเอาไว้แน่น แม้แต่จะหายใจก็ยังยากลำบาก บนใบหน้าปรากฎความสิ้นหวังอย่างปิดมิมิด คุณชาย...สองมือคู่นั้นของคุณชาย จบสิ้นแล้ว !

 

จะทำเยี่ยงไรดี !

 

เขามิสามารถจับพู่กันได้อีกแล้ว เขาเป็นบัณฑิตนะ !

 

หลายฝูเบิกตาโพลง เขายืนอยู่ข้างกายของสวีเสี่ยวเสียน เขาได้เห็นสองมือของสวีเสี่ยวเสียนจุ่มลงไปในหม้อน้ำมันกับตาของตนเอง และบัดนี้ยังคงแช่มือเอาไว้ด้านใน

 

นายอำเภอจี้ตกใจจนหน้าซีดเผือดไปแล้ว ลูกเขยผู้นี้... ไม่ ! สวีเสี่ยวเสียนผู้นี้ สองมือพิการไปแล้ว มิสามารถให้เยวี่ยเอ๋อแต่งกับเขาได้แล้ว !

 

เขาเห็นว่าสีหน้าของสวีเสี่ยวเสียนยังคงเรียบเฉยดังเดิม ช่างประหลาดเสียจริง หม้อน้ำมันยังคงเดือดพล่าน แม้แต่เนื้อก็ยังสามารถทอดให้สุกได้ เหตุใดเขาถึงมิมีปฏิกิริยาอันใดเลยกัน ?

 

จี้ซิงเอ๋อบีบมือของพี่สาวเอาไว้แน่น โดยมิได้สังเกตเลยว่าใบหน้าของจี้เยวี่ยเอ๋อซีดเผือดไปแล้ว

 

เจ้าคนโง่... เขามันคนโง่อย่างแท้จริง !

 

เพื่อช่วยท่านพ่อไขคดีแล้ว คาดมิถึงว่าจะหย่อนสองมือลงในหม้อน้ำมัน...เจ้าควรจะเหลือไว้หนึ่งมือสิ !

 

ซูผิงอันก็ตกตะลึงเช่นกัน เขามิได้เอ่ยอันใดออกมาแม้แต่คำเดียว ทว่าจูจ้งจี๋กลับพึมพำขึ้นมาว่า “สวีเสี่ยวเสียน...โหดร้ายกับตนเองถึงเพียงนี้เลยหรือ ? ”

 

เจ้าหน้าที่ตรวจการโจวขมวดคิ้วมุ่น สวีเสี่ยวเสียนผู้นี้...เลือดสุนัขดำทำอันใดมิได้เยี่ยงนั้นหรือ ?

 

หรือว่าสุนัขดำตัวนั้นจะดำมิพอ ?

 

สีหน้าของสวีเสี่ยวเสียนยังคงเป็นปกติดังเดิม เห็นได้ชัดว่ามิได้รับบาดเจ็บจากหม้อน้ำมันที่ร้อนจัดนั้นเลย หรือว่าเขาจะมีวิชาเซียนอย่างแท้จริง ?

 

เจ้าหน้าที่ตรวจการโจวสูดหายใจเข้าลึก พลันรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาที่ไขสันหลัง นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว คงต้องเกลี้ยกล่อมบุตรชายของตนสักหน่อยแล้ว ก้นของเขาถูกดาบจากคนของเทพเซียนแทง ดังนั้นอย่าไปแก้แค้นสวีเสี่ยวเสียนเลย

 

สวีเสี่ยวเสียนคาดมิถึงว่าปาหี่นี้จะให้ผลลัพธ์ดีเกินคาด

 

เขากวนไปมาในหม้อน้ำมัน เวลาผ่านไปราวครึ่งถ้วยชา เขาจึงดึงสองมือขึ้นมาจากหม้อน้ำมันอย่างช้า ๆ มีกระดาษหนึ่งแผ่นโผล่ขึ้นมาในมือนั้น

 

เขายกสองมือขึ้นมา ท่ามกลางแสงสว่างจากตะเกียง จากนั้นมินานก็มีอักขระปรากฏขึ้นมาบนกระดาษ

 

ทว่าสายตาของทุกคนมิได้มองไปที่กระดาษแผ่นนั้นเลย กลับมองไปที่สองมือของเขา

 

มิมีความเสียหายแต่อย่างใด !

 

แขนของเขายังคงมีน้ำมันไหลลงมา !

 

เหตุใดเขาถึงมิเป็นอันใดเลย ?

 

หรือว่าเขาจะมีวิชาเทพเซียนคอยคุ้มครองอย่างแท้จริง ?

 

ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว มิเช่นนั้นเขาจะมิเป็นอันใดเลยได้เยี่ยงไรกัน !

 

ฝูงชนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันใด คาดมิถึงว่าจะมีชายชราผู้หนึ่งคุกเข่าโค้งคำนับเทพ มีเพียงจางหวนกงที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนเท่านั้นที่ลูบเคราและลอบยิ้มอยู่ในใจ เจ้าเด็กนี่ถือว่าใช้ได้ !

 

เช่นนั้นมาดูผลลัพธ์กัน

 

ผู้คนทั้งลานในตอนนี้ต่างยอมรับแล้วว่าสวีเสี่ยวเสียนมีความสามารถโดยแท้จริง เขาได้จับวิญญาณออกมาจากหม้อน้ำมัน และวิญญาณตนนั้นยังทำให้อักขระปรากฏขึ้นมาบนกระดาษแผ่นนั้นอีกด้วย

 

สวีเสี่ยวเสียนเดินถือกระดาษขึ้นไปบนเวที และแล้วก็ได้เห็นคนสองคนทางฝั่งซ้าย กำลังถอยหลังออกไปอย่างช้า ๆ

 

เขารู้สึกสุขใจขึ้นมา ฆาตกร เผยตัวออกมาแล้ว

 

“วิญญาณได้บอกกับข้าแล้ว ฆาตกรที่ทำร้ายพวกเขาอยู่ในหมู่พวกเจ้า ! ”

 

เกิดความโกลาหลในฝูงชนขึ้นมาทันใด ต่างคนต่างมองหน้ากันด้วยความสงสัย

 

สวีเสี่ยวเสียนตะโกนเสียงดังขึ้นมาอีกครา “เงียบ ! ด้วยการชี้นำของวิญญาณผู้ตาย ! บัดนี้คนทางฝั่งซ้ายมือต้องเข้าร่วมพิธี ที่ประตูทางเข้ามีเครื่องรางประกอบพิธีอยู่ 6 ใบ ทุกคนต้องเข้าไปจับตามลำดับ หากเครื่องรางประกอบพิธีส่องสว่างขึ้นมา คนผู้นั้นถือเป็นฆาตกรสามศพนี้ ! ”

 

ทำเยี่ยงนี้ก็ได้หรือ ?

 

นายอำเภอจี้รู้สึกกลัดกลุ้มใจขึ้นมาทันใด นั่นมิใช่หม้อดำ 6 ใบเยี่ยงนั้นหรือ ? เหตุใดถึงกลายเป็นเครื่องรางประกอบพิธีไปได้กัน ?

 

ใช่แล้ว ! สวีเสี่ยวเสียนมิธรรมดา เขาอาจจะร่ายมนต์ลงไปในหม้อดำทั้งหกใบนั้นก็เป็นได้

 

ทว่าเหตุใดเขาถึงต้องการให้เจ้าหน้าที่ ที่อยู่ด้านนอกทางเข้าตรวจมือของทุกคนด้วยกัน ?

 

นายอำเภอจี้มิเข้าใจ ทันใดนั้นกระดาษในมือของสวีเสี่ยวเสียนก็ติดไฟขึ้นมา มือหนึ่งของเขาถือกระดาษแผ่นนั้นเอาไว้ ส่วนอีกมือก็หนึ่งกำแส้จามรีเอาไว้ “ทางขวาเองก็เช่นกัน รีบถอยหลังออกไป วิชาเซียนของข้าจะหมดลงแล้ว ! ข้าจะมิสามารถสะกดโทสะของผีตัวนี้ได้แล้ว เร็วเข้า ! ”

 

เมื่อได้ยินดังนั้น ภายในลานก็เกิดความโกลาหลขึ้นมาทันใด ผีที่สวีเสี่ยวเสียนจับเอาไว้จะออกมาแล้ว นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว ทุกคนต่างกรูกันไปทางประตู แต่ละคนบีบอัดกันเข้าไปจับก้นหม้อด้วยความกังวล

 

ณ ท้ายตรอก หลิวเหนิงเจ้าหน้าที่ทางการพาเจ้าหน้าที่เดินมาที่นี่ 20 คนด้วยกัน หน้าที่ของพวกเขานั้นง่ายเป็นอย่างมาก เพียงแค่คอยตรวจมือของแต่ละคนที่ผ่านการตรวจสอบแล้วเท่านั้น หากมือสะอาดก็จำต้องจับเอาไว้

 

เหตุผลคืออันใดก็มิทราบเช่นกัน ทว่าจำต้องทำตามที่สวีเสี่ยวเสียนสั่งการมา

 

เจ้าหน้าที่ตรวจการโจวมาถึงหน้าประตู จดจ้องไปยังหม้อสีดำเหล่านั้นมิวางตา จนกระทั่งผ่านไปครึ่งชั่วยาม จนคนในลานต่างเดินไปจนหมดแล้ว เขาก็ยังมิเห็นเครื่องรางประกอบพิธีจะเรืองแสงออกมาแต่อย่างใด

 

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ... นายอำเภอจี้ สวีเสี่ยวเสียนมิสามารถจับฆาตกรได้ ! ”

 

แล้วสวีเสี่ยวเสียนเล่า ?

 

เจ้าหน้าที่ตรวจการโจวหันหน้าไปมอง มิมีแม้แต่เงาของสวีเสี่ยวเสียน

 

“เขาแพ้แล้ว นายอำเภอจี้ คดีของท่านมิสามารถคลี่คลายได้แล้ว บัดนี้พวกเราควรจะมาตกลงกันเรื่องบุตรของข้ากับ...”

 

“นายท่าน นายท่านขอรับ จับได้แล้ว 2 คนขอรับ ! ” หลิวเหนิงจับคนสองคนปรี่เข้ามาด้วยท่าทีตื่นเต้น “มือของทั้งสองคนสะอาด ดังนั้นเขาย่อมเป็นฆาตกรแน่นอนขอรับ”

 

นายอำเภอจี้ขมวดคิ้วมุ่น เพราะเขาจำทั้งสองคนนี้ได้

 

คนที่หนึ่งมีนามว่าเจิ้งถูฟู ขายหมูอยู่ที่ตลาดตะวันตก

 

ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นชายหนุ่ม มีนามว่าฟางซู่ นี่คือสหายร่วมชั้นของหยางชิงฉวน

 

เดิมทีทั้งสองมิมีความเกี่ยวข้องกัน เหตุใดถึงเป็นฆาตกรได้กัน ?

 

เขานึกถึงสิ่งที่สวีเสี่ยวเสียนฝากฝังเขาเอาไว้ จึงได้จับคนทั้งสองมายังด้านข้างหม้อน้ำมัน

 

“บัดนี้พวกเจ้าจะสารภาพหรือไม่ หม้อน้ำมันใบนี้คือเส้นทางลงไปยังใต้พิภพ เป็นทางที่มหาเทพสวีเสี่ยวเสียนเหลือทิ้งไว้ มหาเทพสวีเอ่ยไว้ว่าหากพวกเจ้ามิยอมสารภาพก็ให้โยนพวกเจ้าทั้งสองลงไป แล้วผีจะมาหาพวกเจ้าเอง”

 

“จะยอมสารภาพหรือไม่ ? ”

 

ใบหน้าของเจิ้งถูฟูและฟางซู่ซีดเผือด บนหน้าผากมีเหงื่อเม็ดใหญ่ไหลอาบ

 

หยาดเหงื่อได้ไหลลงไปในหม้อน้ำมันจนเกิดเสียงปะทุขึ้นมา ทันใดนั้นเอง ก็ได้มีกระดาษหนึ่งแผ่นกระเด็นออกมาจากหม้อน้ำมัน !

 

บนกระดาษแผ่นนั้นเป็นภาพใบหน้าของผู้ตายทั้งสามคน !

 

จิตใจของทั้งสองพังทลายในทันที จากนั้นพวกเขาจึงคุกเข่าลงกับพื้นดังตึง “ท่านเทพโปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ข้าขอสารภาพ... ! ”

 

รีวิวผู้อ่าน