px

เรื่อง : นายน้อยเจ้าสำราญ : คนบ้าแห่งต้าเฉิน (นิยายแปล) ปลดล๊อคตอนฟรี 3 วัน 1 ตอน
ตอนที่ 36 สูญสิ้นพลัง


ตอนที่ 36 สูญสิ้นพลัง

 

“คุณชาย คุณชายเจ้าคะ... ! ”

 

ศาลาริมน้ำเซียนหยุน สวีเสี่ยวเสียนวางหนังสือบันทึกภูมิประเทศของต้าเฉินในมือลงแล้วเงยหน้ามองจือรุ่ยที่วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน เขารู้สึกว่าชุดสีเหลืองช่างเหมาะกับนางมากยิ่งนัก

 

“เกิดอันใดขึ้นกัน ? ”

 

“คุณชายจู จูจ้งจี๋ ขอเข้าพบเจ้าค่ะ”

 

คุณชายจู ? สวีเสี่ยวเสียนขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “ข้ามิรู้จัก มิให้เข้าพบ ! ”

 

“อ่า...” ร่างอรชรของจือรุ่ยยืนอยู่เบื้องหน้าสวีเสี่ยวเสียน นางก้มหน้าลงแล้วชายตามองคุณชายเล็กน้อย ในใจรู้สึกคันยุกยิก ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า “คุณชาย คือ...คุณชายสามารถติดต่อกับวิญญาณได้จริง ๆ หรือเจ้าคะ ? ”

 

เรื่องเมื่อคืนช่างน่าประหลาดใจและตื่นเต้นเสียจริง คุณชายมิเพียงทำให้ตัวหนังสือปรากฏขึ้นมาบนกระดาษขาวได้เท่านั้น ทว่าคุณชายยังสามารถเอามือทั้งสองข้างจุ่มลงไปในหม้อน้ำมันร้อน ๆ ได้โดยมิเป็นอันใดอีกด้วย หลังจากที่เขาทำพิธีเสร็จก็ได้กลับมาอาบน้ำอยู่นาน บัดนี้ได้ยินมาว่าคนร้ายถูกจับกุมตัวได้แล้วเมื่อคืนนี้

 

ช่างน่าประหลาดเสียเหลือเกิน ยามเช้าตอนที่นางออกไปซื้อไก่ ผู้คนในเมืองต่างพากันเอ่ยถึงเรื่องของคุณชาย และเรื่องที่จือรุ่ยคิดว่ามีเหตุมีผลมากที่สุดนั้น ก็คงจะเป็นเรื่องที่คุณชายของนางป่วยเป็นโรคประสาท จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องที่คาดมิถึง อาการป่วยของสวีเสี่ยวเสียนนับว่าเป็นเรื่องดี เพราะแลกมากับการที่สามารถติดต่อภูตผีปีศาจได้ !

 

สวีเสี่ยวเสียนรู้สึกอึดอัดใจมากยิ่งนัก ภาพลักษณ์ของเขาจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นนั้นมิได้ เขาเพียงแค่ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาในการไขคดีเท่านั้นมิใช่หรือ เหตุใดข้าถึงเป็นเซียนไปได้เล่า ?

 

จะปล่อยไว้เช่นนี้มิได้ !

 

การที่ข้าตั้งใจไขคดีนี้ วัตถุประสงค์เดิมก็เพื่อที่นายอำเภอจี้จะได้มิต้องยื่นหนังสือสัญญาหมั้นหมายนั่นกลับคืนมาให้ข้า มิใช่ว่าข้าต้องการเป็นเทพเซียนสักหน่อย

 

“การที่ข้าติดต่อกับวิญญาณได้มันสำคัญด้วยหรือ ? ”

 

จือรุ่ยพยักหน้าอย่างจริงจัง ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างระมัดระวังว่า “คุณชายโปรดใช้วิชานั้น ไปยังนรกเพื่อเอ่ยถามให้หน่อยว่า พ่อแม่ของข้าตายแล้วหรือยัง ? ”

 

สวีเสี่ยวเสียนชะงักงันลงชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่ไร้ซึ่งความรู้สึกว่า “จือรุ่ย... เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงมิอยากพบคนที่เดินทางมา ? ”

 

จือรุ่ยตาเป็นประกายขึ้นมาทันใดแล้วตอบว่า “เพราะคุณชายเป็นผู้สูงส่ง ! ”

 

สูงส่งกับผีสิ !

 

“เนื่องจาก...เมื่อคืนนี้ที่ข้าถูกเลือดสุนัขดำสาด ข้ายังคงฝืนทำพิธีต่อไป จึงทำให้ข้าหมดสิ้นเรี่ยวแรงและพลัง ข้าเกรงว่าตนเองจะมิอาจติดต่อกับวิญญาณได้อีก”

 

“ไอหยา... ! ” จือรุ่ยชะงักงันลงทันใด ผ่านไปชั่วครู่นางจึงเม้มปากแน่น มิน่าเล่า...วันนี้ยามเช้าคุณชายถึงกินเพียงแค่ไข่ต้ม อีกทั้งยังนั่งอยู่ที่แปลงเพาะปลูกเรือนด้านหลังตั้งนานสองนาน ที่แท้เพราะคุณชายรู้สึกขมขื่นใจทว่ามิอาจบอกผู้ใดได้นั่นเอง

 

เดิมทีคุณชายได้รับความสามารถพิเศษจากการป่วยเป็นโรคประสาท ทว่าบัดนี้ความสามารถนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว เป็นผู้ใดก็คงจะรู้สึกเสียใจ ทว่าคุณชายยังสามารถนั่งอ่านตำราได้อย่างสงบนิ่ง คุณชายก็เหมือนกับสุนัขตัวที่หลายฝูจับมา แม้ว่าในใจของมันจะกระสับกระส่ายทว่าก็ยังทำเป็นนิ่งขรึม เวลาที่มิมีผู้ใด เมื่อมันอยู่เพียงลำพังตอนเงียบสงัด มันก็มักจะแอบนอนอยู่ที่ใต้ต้นไม้แล้วแลบลิ้นออกมา มันคงจะหวนนึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ หรือบางทีมันอาจจะกำลังพยายามลืมเรื่องราวในอดีต

 

จือรุ่ยกำชายเสื้อของตนเองเอาไว้แน่น น้ำเสียงของนางอ่อนนุ่มเป็นอย่างมาก “คุณชายเจ้าคะ บ่าวขอโทษเจ้าค่ะ”

 

สวีเสี่ยวเสียนโบกมือไปมาแล้วเอ่ยว่า “ทุกข์สุขคือสิ่งมิเที่ยง ข้าจะเขียนประกาศแล้วเจ้าจงนำไปติดไว้ที่กำแพง เพื่อที่ผู้อื่นจะได้มิมารบกวนข้าอีก”

 

“เจ้าค่ะ ! ”

 

จือรุ่ยพยักหน้าหงึกหงัก นางมองคุณชายด้วยสายตาเป็นประกายแวววับ คุณชายเปลี่ยนเป็นคนที่มีชีวิตชีวามากขึ้น หากเมื่อปี กลาย เขากลับมามีชีวิตชีวาได้เช่นนี้ เขาก็คงจะมิโกรธจนกลายเป็นบ้าและวิ่งแก้ผ้าออกไปเช่นนั้น

 

จือรุ่ยฝนหมึก สวีเสี่ยวเสียนหยิบกระดาษออกมาหนึ่งแผ่น จากนั้นก็เขียนลงไปด้านบนว่า

 

ประกาศ !

 

ข้าสวีเสี่ยวเสียน ถูกเลือดสุนัขสาดใส่ร่างเมื่อคืนนี้ขณะที่กำลังทำพิธี แต่ข้ายังพยายามฝืนทนทำพิธีจนเสร็จสิ้น จึงทำให้มิอาจ ฟื้นคืนพลังอำนาจนั้นได้อีก

 

ด้วยเหตุนี้...ข้ารู้สึกหมดหวังและเศร้าโศก จนแทบจะขาดใจ ขอทุกท่านอย่าได้เข้ามารบกวน !

 

นอกจากนี้ ข้าต้องการซื้อที่ดิน 20 หมู่บริเวณชานเมือง ผู้ใดมีความประสงค์ที่จะขายสามารถเข้ามาสนทนากันได้

 

ลงนาม สวีฝานจือ

 

จือรุ่ยมองไปที่กระดาษแผ่นนั้น แม้ว่าอักขระจะงดงามไร้ที่ติ ทว่านางก็มองออกว่าอักขระที่คุณชายเขียนนั้น แฝงไปด้วยความโศกเศร้า

 

มองดูแล้วคุณชายคงมิอยากกลับไปสอบคัดเลือกอีก ทว่าต้องการไปทำการเพาะปลูกแทน

 

นางเดินถือกระดาษแผ่นนั้นไปยังห้องครัว จากนั้นก็นำข้าวสุกมาจำนวนหนึ่งแล้วเดินออกไป เมื่อหันไปเห็นจูจ้งจี๋และชายหนุ่มรูปงามอีกคน นางจึงเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าปล่อยให้พวกเขาทั้งสองยืนรออยู่นานสองนาน

 

จือรุ่ยรู้สึกผิดมากยิ่งนัก นางจึงโค้งคารวะแล้วเอ่ยด้วยใบหน้าโศกเศร้าว่า “คุณชายเอ่ยว่า...มิสะดวกให้เข้าพบเจ้าค่ะ”

 

จูจ้งจี๋ชะงักงัน ข้ายืนรอตั้งนาน ทว่าเจ้ากลับบอกว่ามิให้เข้าพบเยี่ยงนั้นหรือ ?

 

สวีเสี่ยวเสียน เจ้าสูงส่งเพียงใดกันเชียว ?

 

ทว่าซูผิงอันกลับยิ้มออกมาอย่างเรียบเฉย

 

เขานึกอยู่ในใจว่า การที่สวีเสี่ยวเสียนมีความสามารถมากกว่าคนธรรมดาเช่นนี้ เขาเลือกที่จะมิให้พวกตนเข้าพบถือเป็นเรื่องปกติ ทว่าต่อมาเมื่อพวกเขาเห็นเนื้อหาของประกาศที่จือรุ่ยติดเอาไว้บนกำแพง พวกเขาต่างก็ตกตะลึงขึ้นมาทันใด

 

“แม่นาง...คุณชายของเจ้าสวีเสี่ยวเสียนเขาสูญเสียความสามารถไปแล้วจริง ๆ หรือ ? ” ซูผิงอันเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

 

จือรุ่ยเหล่ไปมองคุณชายท่านนี้แล้วนึกอยู่ในใจว่า คุณชายผู้นี้มิเพียงแต่สมองจะเชื่องช้าเท่านั้น ทว่าสายตายังมิดีด้วยหรือ ? บนประกาศมีอักขระเขียนเอาไว้อย่างชัดเจน จำเป็นต้องถามอยู่อีกหรือ ?

 

ช่างโชคดีเสียจริงที่คุณชายมิให้พวกเขาเข้าพบ มิเช่นนั้น...พวกเขาคงจะทำร้ายจิตใจของคุณชายมิน้อย !

 

“คุณชายเจ้าคะ บัดนี้คุณชายของข้าโศกเศร้ามากยิ่งนัก ขอเชิญท่านทั้งสองกลับไปก่อนเถิด”

 

จือรุ่ยหันหลังเดินกลับเข้าไปในจวน เสียงปิดประตูดังเอี๊ยดอ้าด เหลือไว้เพียงจูจ้งจี๋และซูผิงอันที่มองหน้ากันแล้วส่ายหน้าอย่างหดหู่ “ช่างน่าเสียดายมากยิ่งนัก”

 

“เจ้าสวีเสี่ยวเสียนผู้นี้ชะตากรรมมิดีเอาเสียเลย”

 

“หรือฮวงจุ้ยที่จวนนี้จะมีปัญหากัน ? ”

 

“คุณชายซู พวกเราไปกินเต้าหู้ที่หอต้านสุ่ยกันเถิด”

 

“เอ่ยถึงเรื่องเต้าหู้ จะว่าไปแล้วอาหารทั้งสองจานนี้ของหอต้านสุ่ยแม้จะอร่อยเพียงใด ทว่าหากกินบ่อยเข้าก็เบื่อเช่นกัน เฮ้อ...หากสวีเสี่ยวเสียนสามารถทำอาหารอร่อย ๆ อีกสองสามอย่างได้สำเร็จก็คงจะดี”

 

“เอ๋...หลงจู๊เถาก็เดินทางมาด้วยหรือ ? ” จูจ้งจี๋ยิ้มให้หลงจู๊เถาแล้วเอ่ยว่า “หลงจู๊เถาก็อยากจะเข้าพบสวีเสี่ยวเสียนเช่นกันหรือ ? ”

 

หลงจู๊เถารีบยกมือขึ้นคารวะ “ขอรับ...เมื่อวานนี้สวีเสี่ยวเสียนได้จัดการกับปัญหาที่หอต้านสุ่ยให้แก่ข้าน้อย ถึงเยี่ยงไรข้าน้อยก็ควรจะเดินทางมาขอบคุณเขา”

 

ขณะที่เอ่ยประโยคนี้ เถาสีก็เคาะไปที่กลอนประตูจวน จูจ้งจี๋หัวเราะออกมาเสียงดังแล้วชี้ไปยังกระดาษที่แปะอยู่บนกำแพง “หลงจู๊เถา บัดนี้สวีเสี่ยวเสียนมิต้อนรับแขก แม้แต่ข้าและคุณชายซูก็มิสามารถผ่านประตูนี้ไปได้ ท่านคิดว่าเขาจะให้เข้าไปหรือเยี่ยงไร ? ไปเถิด...ไปกินเต้าหู้ที่หอต้านสุ่ยของท่านกัน”

 

เถาสีจ้องมองประกาศนั้นมิวางตา เมื่อวานตอนที่สวีเสี่ยวเสียนตัดสินคดีความจากผู้ตาย เขาเองก็อยู่ที่นั่นด้วย หลังจากกลับไปแล้วเขานอนคิดตลอดทั้งคืนในที่สุดก็เข้าใจ

 

สวีเสี่ยวเสียนมิเคยเดินทางออกไปจากเขตเหลียงอี้ก็จริง แต่ก็สามารถทำอาหารเลิศรสออกมาได้ถึงสองอย่าง เขาเอ่ยว่าตนและพ่อครัวหลวงร่วมมือกันคิดค้นขึ้นมา เดิมทีตนเข้าใจว่าสวีเสี่ยวเสียนเอ่ยไร้สาระไปเอง ทว่าจากเรื่องเมื่อคืนนี้ทำให้เขาเข้าใจอย่างกระจ่างชัด

 

สวีเสี่ยวเสียนถอดวิญญาณไปยังฉางอัน !

 

การที่เขาสามารถทำอาหารสองอย่างนั้นออกมาได้ คาดว่าคงเป็นเพราะเขาถอดวิญญาณไปเห็นพ่อครัวหลวงทำอาหารเหล่านี้แล้วจดจำเอาไว้

 

เขาคิดว่าในเมื่อสวีเสี่ยวเสียนมีความสามารถสูงส่งถึงเพียงนี้ การที่จะคิดค้นตำราอาหารใหม่ขึ้นมาก็คงเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับเขา ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเดินทางมายังจวนสวีเพื่อขอร้องให้สวีเสี่ยวเสียนใช้ความสามารถในส่วนนี้และขายตำราอาหารให้แก่เขาอีก

 

ทว่าบัดนี้สวีเสี่ยวเสียนมิต้อนรับแขก เนื่องจากเมื่อคืนนี้เขาถูกเลือดสุนัขสาดใส่เสียจนหมดพลัง เถาสีใจหายวูบ นี่ก็หมายความว่าเขาจะมิสามารถไปดูวิธีการทำอาหารจากครัวหลวงได้อีกแล้วใช่หรือไม่ ? ”

 

เช่นนั้น...ตำราอาหารที่เหลืออยู่ในสมองของสวีเสี่ยวเสียนก็คงจะกลายเป็นสิ่งล้ำค่า เขายังเหลืออีกเท่าใดกันนะ ?

 

มิได้การล่ะ...ต่อให้แพงเพียงใดก็จำต้องซื้อเอาไว้ !

 

ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ประตูก็เปิดออกช้า ๆ จือรุ่ยยื่นศีรษะออกมามองแล้วพบว่า “ไอหยา...คุณชายช่างคาดเดาได้เก่งกาจราวกับมองเห็น เป็นหลงจู๊เถาจริง ๆ ด้วย”

 

จือรุ่ยยิ้มแล้วเดินออกมาทำความเคารพหลงจู๊เถา จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เชิญหลงจู๊เถาด้านในเถิด ! ”

 

จูจ้งจี๋เบิกตาโพลงแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “แล้วพวกเราเล่า ? เหตุใดถึงมิให้พวกเราเข้าไปด้านในกัน ? ”

 

“คุณชายของข้าเอ่ยว่า...เขามิรู้จักท่าน”

รีวิวผู้อ่าน