ตอนที่ 37 มันมิได้ง่ายดาย !
รถม้าคันหนึ่งได้แล่นผ่านสำนักศึกษาจูหลิน มุ่งหน้าไปยังป่าท้อที่เงียบสงบ
จี้เยวี่ยเอ๋อนั่งอยู่ภายในรถม้า สีหน้าของเขาดูมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง ทว่าในแววตาของจื่อเอ๋อสาวใช้ของนางกลับค่อนข้างเป็นกังวล
สวีเสี่ยวเสียนสามารถไขคดีฆาตกรรมสามศพที่ทำให้นายท่านกินมิได้นอนมิหลับได้จริง ๆ เมื่อคืนวานนายท่านกลับมาดึกยิ่งนัก ทว่ากลับกำชับโรงครัวให้ทำอาหารมาสองสามอย่าง ทั้งยังเรียกคุณหนูใหญ่และคุณหนูรองไปร่วมดื่มด้วยกัน
นายท่านชมเชยสวีเสี่ยวเสียนเสียยกใหญ่โดยมิลังเล เขาเอ่ยว่าถึงแม้สวีเสี่ยวเสียนผู้นั้นจะเป็นโรคประสาท ทว่ากลับได้รับความสามารถที่น่าเหลือเชื่อมาทดแทน
ความสามารถนี้น่าทึ่งมากยิ่งนัก เขามิถามถึงสาเหตุของคดี มิไปตรวจสอบสถานที่ แม้กระทั่งผู้ตายเป็นผู้ใดเขาก็ยังมิรู้จัก ทว่าเขากลับไขคดีได้จริง ๆ
เมื่อวานสองฆาตกรได้สารภาพออกมาจนหมดเปลือก วันนี้ศาลาว่าการได้มีประกาศออกมา คดีใหญ่ที่ทำให้มือของนายท่านถูกมัดจนหมดทางแก้กลับคลี่คลายได้ด้วยเงื้อมมือของสวีเสี่ยวเสียน
เมื่อเป็นเช่นนี้...เจ้าหน้าที่ตรวจการโจวผู้นั้นก็คงมิมีข้ออ้างในการบังคับนายท่านแล้ว เพียงแต่บุตรชายของเขานั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส บัดนี้ยังนอนอยู่ที่โรงหมอตระกูลโจว แต่เหมือนว่าเจ้าหน้าที่ตรวจการโจวผู้นั้นจะหน้ามิหนาพอที่จะอยู่เขตเหลียงอี้ต่อไป ได้ยินว่าเขากำลังจะพาบุตรชายกลับเมืองเหลียงโจวในเร็ววันนี้
นายท่านดีใจถึงกับดื่มสุราเข้าไปอีกสองจอกอย่างมีความสุข
ทว่าหลังจากที่นายท่านดื่มไปอีกสองจอกก็มีท่าทีสลดลงอีกครา นายท่านมิทราบว่าควรจะให้คุณหนูเยวี่ยเอ๋อหมั้นหมายกับสวีเสี่ยวเสียนดีหรือไม่ !
เพราะสวีเสี่ยวเสียนมีอาการป่วยโดยแท้จริง !
แต่จากที่เห็น ดูเหมือนว่าอาการป่วยจะมิได้ร้ายแรงอันใดแล้ว
สวีเสี่ยวเสียนช่วยจัดการธุระที่หนักหนาของนายอำเภอจี้ และเขายังมีความสามารถที่พิเศษอีกด้วย การให้คุณหนูเยวี่ยเอ๋อแต่งงานกับเขาก็เหมือนว่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอีกทางหนึ่ง
ทว่าสุดท้ายนายท่านก็มิได้ตัดสินใจ ทะเบียนสมรสฉบับนั้นยังอยู่ในกระเป๋าเสื้อของนายท่าน
ในฐานะสาวใช้ที่อยู่ข้างกายจี้เยวี่ยเอ๋อมาโดยตลอด จื่อเอ๋อรู้สึกว่า...ด้วยความงดงามและพรสวรรค์ของคุณหนู มิมีความจำเป็นที่จะต้องแต่งงานกับคนป่วยเช่นนั้นเลย หากวันดีคืนดีอาการบ้าคลั่งของสวีเสี่ยวเสียนกำเริบขึ้นมาเล่า แล้วชีวิตต่อจากนี้ของคุณหนูจะเป็นเยี่ยงไรกัน ?
ใบหน้าของคุณหนูจนถึงบัดนี้ก็เปี่ยมไปด้วยความสุข นางเกรงว่าคุณหนูจะเปลี่ยนใจกับสวีเสี่ยวเสียนผู้นั้นแล้วจริง ๆ
ในฐานะสาวใช้ เดิมทีนางมิควรเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของคุณหนูให้มาก ทว่าในฐานะสาวใช้ที่คุณหนูสนิทด้วยที่สุด นางกลับรู้สึกว่าควรจะเกลี้ยกล่อมคุณหนู เพื่อมิให้คุณหนูตกลงไปในหลุมพรางของสวีเสี่ยวเสียน
“คุณหนูเจ้าคะ บ่าวคิดว่า...ควรจะขอร้องให้นายท่านเชิญหมอเทวดามาจากเมืองเหลียงโจวเพื่อตรวจดูอาการของคุณชายสวีอีกสักคราดีหรือไม่เจ้าคะ ? ”
คำเอ่ยนี้ช่างระรื่นหูเสียจริง จี้เยวี่ยเอ๋อครุ่นคิดพลางพยักหน้าเห็นด้วย “ควรจะเป็นเช่นนั้น”
จื่อเอ๋อเบาใจลงมิน้อย หากหมอเทวดาทำการตรวจอาการป่วยของสวีเสี่ยวเสียนอีกครา การที่คุณหนูแต่งกับสวีเสี่ยวเสียนก็จะเป็นเรื่องที่น่าสรรเสริญ
หากอาการป่วยของสวีเสี่ยวเสียนยังมิหาย นายท่านจะได้ทำการใคร่ครวญดูอีกสักครา
รถม้าแล่นไปในป่าท้อ จนมาถึงหน้าเรือนสี่ประสานหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ในส่วนลึกของป่าท้อ บนธรณีประตูมีอักขระที่สวยงามสี่ตัวติดอยู่ว่า...เรือนไม้ป่าท้อ !
ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่คืออาจารย์ของบิดาจี้เยวี่ยเอ๋อและตัวจี้เยวี่ยเอ๋อเองด้วย จางหวนกงนักวรรณกรรมผู้มีชื่อเสียงแห่งต้าเฉิน
แสงสุริยาในฤดูใบไม้ผลิกำลังพอดี จี้เยวี่ยเอ๋อพาจื่อเอ๋อเดินเข้าไปในลานแห่งนี้ เห็นอาจารย์อาวุโสจางหวนกงกำลังนั่งสนทนาพลางดื่มน้ำชาอยู่ที่กลางลานบ้านกับชายชราเคราขาวอีกผู้หนึ่ง
ดวงตาของจี้เยวี่ยเอ๋อเป็นประกาย ใบหน้าสดใสมากยิ่งขึ้น นางรีบเดินเข้าไปคารวะ “เยวี่ยเอ๋อคารวะท่านอาจารย์ คารวะหมอเทวดาฮัวเจ้าค่ะ”
คาดมิถึงว่าชายชราเคราขาวผู้นั้นจะเป็นหมอเทวดาฮัว !
หมอเทวดาฮัวลูบเครายาวของตนเองพร้อมเอ่ยยิ้ม ๆ ว่า “ข้าก็กำลังสนทนาถึงเรื่องเซียนน้อยแห่งเขตเหลียงอี้ผู้นั้นกับอาจารย์ของเจ้าอยู่พอดี”
“เยวี่ยเอ๋อ เชิญนั่ง”
“ขอบคุณท่านอาจารย์เจ้าค่ะ”
จี้เยวี่ยเอ๋อนั่งลงด้านข้างตามธรรมเนียม จากนั้นก็ต้มชาและคอยปรนนิบัติชายชราทั้งสอง นางได้ยินจางหวนกงเอ่ยว่า “เมื่อวานข้าครุ่นคิดตลอดทั้งคืน เรื่องที่สวีเสี่ยวเสียนแสดงเมื่อคืนวาน...มันคือการเล่นกล เขานำความเชื่อมาหลอกผู้คน กลเยี่ยงนี้แท้จริงแล้วที่เมืองฉางอันก็มีแบบที่คล้ายคลึงกันอยู่ เพียงแค่มิเคยพบเห็นในเขตเหลียงอี้แห่งนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงสามารถตบตาชาวบ้านในเขตเหลียงอี้ได้ ทว่าหากเป็นที่เมืองฉางอัน เขาต้องถูกตีจนตายเป็นแน่”
จี้เยวี่ยเอ๋อชะงักงัน นางเหลือบตาไปมองท่านอาจารย์ แล้วเอ่ยถามว่า “ท่านอาจารย์หมายถึง...สวีเสี่ยวเสียนหลอกลวงผู้คนเยี่ยงนั้นหรือเจ้าคะ ? ”
จางหวนกงเอ่ยยิ้ม ๆ “เขาได้หลอกผู้คนโดยแท้จริง ทว่าเยี่ยงไรเสียข้าเองก็มิทราบถึงความลี้ลับที่อยู่ภายในนั้น ทว่าของสิ่งนี้น่าจะเป็น จิน ผี ไฉ่ ขั้ว ผิง ถวน เตี้ยว เหลี่ยว นี่คือการละเล่นของสำนักไฉ่จากหนึ่งในแปดสำนัก”
ห้าบุปผาแปดสำนัก1 สำนักไฉ่จากหนึ่งในแปดสำนักเป็นวิชาแสดงกล นี่เป็นการเล่นกลที่เรียกกันว่าวิชาอำพราง
“ในตำราเหล่าจื้อกล่าวไว้ว่า ใช้เต๋าปกครองแผ่นดิน ปีศาจมิสำเเดงฤทธิ์ ในตำราหลุนอี่ว์ของท่านขงจื๊อก็มีกล่าวไว้ว่า ขงจื๊อมิสอนเรื่องอำนาจลี้ลับหรือวิญญาณ ดังนั้นนักบุญจึงออกห่างจากสิ่งที่เรียกว่าผีหรือเทพ มันคือสิ่งลวงตาและไร้หนทางจะพิสูจน์ได้ ดังนั้นข้าจึงคิดว่าสวีเสี่ยวเสียนได้ใช้วิชาของสำนักไฉ่ มาหลอกลวงทุกคน”
ดวงตาของจี้เยวี่ยเอ๋อเบิกโพลง ขนตาที่โค้งงอนกะพริบปริบ ๆ ปากเล็กเผยอเล็กน้อย มิใช่ ! สวีเสี่ยวเสียนมิเคยออกไปจากเขตเหลียงอี้ด้วยซ้ำ แล้วเหตุใดเขาถึงใช้วิชาอำพรางของสำนักไฉ่ได้กัน ?
เขาได้ประพันธ์บทกวีที่น่าทึ่งขึ้นมา
เขาได้ขายสูตรอาหารเลิศรสสองอย่างให้กับหอต้านสุ่ย
แล้วบัดนี้อาจารย์ยังเอ่ยอีกว่าเขาสามารถใช้กลของสำนักไฉ่ได้...เหตุใดคนผู้นี้ถึงได้วิเศษเช่นนี้กัน ?
เมื่อเห็นท่าทีตกตะลึงของจี้เยวี่ยเอ๋อ หมอเทวดาฮัวก็หัวเราะร่าขึ้นมา “ที่หวนกงเอ่ยมานั้นมีเหตุผลมากยิ่งนัก น่าเสียดายที่ข้าเพิ่งมาถึงในเช้าวันนี้ มิได้เห็นเหตุการณ์ด้วยสายตาของตนเอง มิเช่นนั้นข้าคงอดที่จะเปิดโปงกลของเขามิได้เป็นแน่”
จางหวนกงกลับส่ายหน้าช้า ๆ “โชคดีที่เจ้ามิได้มาถึงเมื่อวาน สวีฝานจือผู้นี้... ท่านหัวท่านคงมิทราบ...เพื่อที่จะช่วยบิดาของเยวี่ยเอ๋อไขคดีฆาตกรรมสามศพนี้ เขาใช้เวลาทั้งหมดเพียงหนึ่งวันเท่านั้น ! ”
หมอเทวดาฮัวผงะ จากนั้นก็ได้ยินจางหวนกงถอนหายใจเบา ๆ “เจ้าเด็กนี่ช่างฉลาดหลักแหลมเสียจริง เขามิมีเวลาตรวจสอบคดีฆาตกรรม ดังนั้นเขาจึงเบนกระบี่ไปยังจุดสำคัญ โดยใช้มือข้างเดียว”
“ผู้คนมักจะเกรงกลัวผีและเทพเป็นอย่างมาก ดังนั้นสิ่งที่เขาจับได้คือหัวใจของคน ! เขาเลือกวิธีเทพบันดาลอักขระลงบนกระดาษขาว สองมือจุ่มลงไปในหม้อน้ำมันที่กำลังเดือดปุด ๆ ทั้งหมดนี้เป็นการส่งต่อข้อมูลไปหาชาวบ้านทุกคน เพื่อพิสูจน์ว่าเขานั้นสามารถสื่อสารกับผีและวิญญาณได้จริง ๆ ! ”
“ต้องใช้วิธีนี้เท่านั้น ทุกคนถึงจะเชื่อว่าเขาสามารถสื่อสารกับผีและเทพได้จริง ๆ และทุกคนถึงจะเชื่อว่าเขามีความสามารถมากพอที่จะหาคนร้ายผ่านเครื่องมือประกอบพิธีกรรมนั่นได้จริง ๆ ”
“ฆาตกรที่สงสัยเกี่ยวกับการไต่สวนศพเพื่อไขคดีได้ไปที่ศาลาว่าการด้วยเช่นกัน พวกเขาเกิดความหวาดกลัวการแสดงของสวีเสี่ยวเสียนขึ้นมา แน่นอนว่าพวกเขาย่อมมิกล้าไปสัมผัสเครื่องมือประกอบพิธีกรรมนั่น”
“ทว่ามิมีผู้ใดทราบว่าเดิมทีนั่นมิใช่เครื่องมือประกอบพิธีกรรมแต่อย่างใด เป็นเพียงหม้อที่มีเลือดลาทาทับเอาไว้ก็เท่านั้น”
“มือของผู้ที่สัมผัสก้นหม้อก็ต้องดำไปโดยปริยาย ทว่าผู้ที่ก่อคดีฆาตกรรมย่อมมิกล้าสัมผัสก้นหม้อ มือจึงสะอาดไปโดยปริยาย ดังนั้นเขาจึงสามารถไขคดีฆาตกรรมสามศพได้”
“ฟังดูง่ายดายใช่หรือไม่ ? ทว่าเมื่อมาคิดในตอนนี้ ขั้นตอนในการคลี่คลายคดีของฝานจือนั้นมีด้วยกันสามกลวิธี สร้างขึ้นจากความว่างเปล่า หลอกล่อ และปิดประตูจับขโมย นี่เป็นความคิดที่เฉียบแหลมเป็นอย่างมาก ทั้งยังควบคุมและเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ได้อย่างหมดเปลือก ! ทั้งหมดนี้ข้าจึงคิดว่า ฝีมือของฝานจือนั้นมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง ! ”
“เยวี่ยเอ๋อ เจ้าลองใคร่ครวญให้ถี่ถ้วนดูสิ หากเขาสามารถสื่อสารกับผีและเทพเจ้าได้จริง ๆ สามารถสื่อสารกับวิญญาณของคนตายได้จริง ๆ เพียงจับตัวฆาตกรออกมาเท่านั้นก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ เหตุใดต้องให้ชาวบ้านไปจับหม้อดำ ๆ นั่นด้วยเล่า”
จี้เยวี่ยเอ๋อจึงได้รู้แจ้งขึ้นมาในทันใด ใช่ ! เขาทำเรื่องเกินความจำเป็น... ที่เขารีบไล่ผู้คนออกไปอย่างเร่งรีบ ก็เพื่อมิต้องการให้ทุกคนมีเวลามาครุ่นคิดเท่านั้น
“ท่านอาจารย์ จะเอ่ยว่า...สวีเสี่ยวเสียนมิได้ป่วยเยี่ยงนั้นหรือเจ้าคะ ? ”
ใบหน้าของจี้เยวี่ยเอ๋อเต็มไปด้วยความคาดหวัง จางหวนกงหันไปมองทางหมอเทวดาฮัว...
1ห้าบุปผาแปดสำนักเป็นสำนวนจีนโบราณ ที่ใช้พูดกันในสังคม โดยเฉพาะวงการยุทธภพ เป็นคำอธิบายถึงแขนงอาชีพต่าง ๆ ในสังคมจีนโบราณ แต่เดิมทีเป็นคำเรียกชื่อของ พิชัยยุทธสงคราม ที่ชื่อว่า กลยุทธ 5 ลักษณะ 8 ทิศทาง 5 ลักษณะ หมายถึงธาตุทั้ง ห้า ได้แก่ ไม้ ไฟ ดิน โลหะ และ น้ำ ส่วน 8 ทิศทาง เป็นทิศทางของชัยภูมิทั้งแปด ต่อมาได้ถูกขยายความ นำมาใช้อธิบายแทนสาขาอาชีพในวงการยุทธภพ มักปรากฏเป็นสำนวนพบเห็นในวรรณกรรมต่าง ๆ
ห้าบุปผาในที่นี้ได้แก่
ดอกเบญจมาศอุปมาดั่งหญิงขายใบชา
ดอกงิ้วอุปมาคนประกอบอาชีพแพทย์เร่รอน.
สุ่ยเซียนดอกน้ำทิพย์อุปมาหญิงที่มีอาชีพร้องเพลง ตามร้านอาหาร โรงน้ำชา รวมทั้งในสำนักคณิกาด้วย
ดอกหว่อจวี่อุปมาพวกเล่นกายกรรม ปาหี่เร่ร่อน
ดอกถู่หนิวอุปมาพวกรับจ้างเป็นลูกหาบ ขนแบกสินค้า
สำนักทั้งแปด ได้แก่ จิน ผี ไฉ่ ขั้ว ผิง ถวน เตี้ยว เหลี่ยว
สำนักจิน หมายถึงพวกหมอดู พยากรณ์โชคชะตา เสี่ยงทาย ตัวอักษร หมอดู ฮ้วงจุ้ย
สำนักผี หมายถึงพวกอาชีพ หมอรักษาโรค ร้านขายยา
สำนักไฉ่ หมายถึง พวกเล่นปาหี่ มายากล
สำนักขั้ว หมายถึง พวกนักสู้ ชาวยุทธ ที่ใช้อาวุธ เป็นอาชีพ
สำนักผิง หมายถึง พวกนักขับร้อง ศิลปิน ดีดสีตีเป่า รวมถึงนักประพันธ์ด้วย
สำนักถวน หมายถึงอาชีพ นักร้องข้างถนน คนขอทาน โสเภณี ข้างทาง
สำนักเตี้ยว หมายถึง พวกรับจ้างช่างฝีมือ จิตกรภาพเขียน ช่างไม้ปลูกเรือนที่พัก รวมทั้งคนแบกโลงศพด้วย
สำนักเหลี่ยว หมายถึง นักแสดงเวทีเป็นคณะ งิ้ว และละครร้องต่าง ๆ