px

เรื่อง : นายน้อยเจ้าสำราญ : คนบ้าแห่งต้าเฉิน (นิยายแปล) ปลดล๊อคตอนฟรี 3 วัน 1 ตอน
ตอนที่ 38 มองผิดไป ?


ตอนที่ 38 มองผิดไป ?

 

จี้เยวี่ยเอ๋อก็จ้องมองไปทางหมอเทวดาฮัวเช่นกัน

 

หมอเทวดาฮัวเริ่มสงสัยในตนเองขึ้นมา เขาเลิกคิ้วครุ่นคิดแล้วส่ายศีรษะช้า ๆ “ยามที่ข้าตรวจอาการให้กับฝานจือ ดวงตาของเขานั้นไร้ซึ่งประกาย ชีพจรมิมีเรี่ยวแรงราวกับว่าจะหยุดเต้นอย่างไรอย่างนั้น ประกอบกับอาการอื่น ๆ ของเขา เอ่ยพล่าม น้ำลายฟูมปาก มิอยากอาหารหรือแม้แต่เข้าห้องสุขา”

 

“อาการเช่นนี้หมายความว่าเขานั้นเป็นบ้าไปแล้ว ทว่าในวันนี้ที่ข้าได้ฟังเรื่องที่ท่านหวนกงเอ่ยมาก็รู้สึกแปลกใจมากยิ่งนัก ด้วยเหตุผลแล้วเขามิน่าจะคิดได้รอบคอบถึงเพียงนี้ หากว่าเขาได้กินยาตามที่ข้าสั่ง อีกทั้งมิถูกกระตุ้นจากสิ่งใด อย่างมากก็ทำได้เพียงรักษาอาการให้คงที่เท่านั้น ทว่าหากจะให้สติสัมปชัญญะกลับไปเป็นดังเดิม มิน่าจะเป็นไปได้”

 

จี้เยวี่ยเอ๋อนิ่งเงียบทันใด ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาอีกคราว่า “แล้วเราจะรู้ได้เยี่ยงไรว่าอาการป่วยของเขาหายดีแล้วหรือไม่ ? ”

 

“จำต้องมีหลักฐานมากมายมายืนยัน หรือบางที...อาจจะต้องเปิดสมองของเขาดู”

 

จี้เยวี่ยเอ๋อผงะ ทว่าหมอเทวดาฮัวกลับเอ่ยขึ้นมาอย่างมีชีวิตชีวาว่า “อ่า...ใช่ ! ข้ากำลังปวดหัวเรื่องการทดลองผ่าศีรษะอยู่พอดีเลยเชียว พวกเรานำศีรษะของสวีเสี่ยวเสียนมาทดลองผ่าดีหรือไม่ ? ”

 

เมื่อหมอเทวดาฮัวเอ่ยประโยคนี้ออกไป ทำให้แม้แต่จางหวนกงก็สะดุ้งโหยง “อย่าได้ทำการบุ่มบ่ามไป นี่เพิ่งจะกี่ปีเองเชียว ? เจ้าลืมไปแล้วหรือเมื่อคราที่อยู่ในสำนักหมอหลวง เจ้าถูกขับไล่ออกมาเนื่องจากเจ้าจะผ่าตัดกะโหลกศีรษะของคนไข้ ? ”

 

“ทว่าข้าทำถูกต้องแล้ว ! ”

 

“มิว่าจะถูกหรือผิด เจ้าได้เปิดกะโหลกศีรษะของผู้อื่นออกมาและมิสามารถปิดคืนได้ ทั้งยังทำให้เขาถึงแก่ความตาย”

 

หมอเทวดาฮัวเขินอายจนหน้าแดงเรื่อ “นี่เป็นวิธีการรักษาแบบใหม่ จำต้องได้รับการวิจัยมากมายนับครามิถ้วน พวกที่มีความคิดแคบ ๆ มิรู้หรอกว่าความหมายและความสำคัญของการผ่าตัดกะโหลกศีรษะน่าสนใจเพียงใด สมองของคนเรานั้นด้านในช่างประหลาดมากยิ่งนัก ! ”

 

“ช้าก่อน ! ” จางหวนกงโบกมือไปมา “ท่านหัว...ต่อให้มันน่าสนใจเพียงใด ทว่าท่านจะเอาคนที่มีชีวิตอยู่มาทำวิจัยมิได้ พวกเขาทุกคนล้วนเป็นลูกที่มีพ่อมีแม่ ผู้ใดจะยอมรับการวิจัยของท่านได้กัน ? ”

 

“เฮ้อ...” หมอเทวดาฮัวส่ายหน้าอย่างช่วยมิได้ ในตอนนั้นเองจี้เยวี่ยเอ๋อเพิ่งจะนึกถึงกวีสองบทของสวีเสี่ยวเสียนขึ้นมาได้

 

นางหยิบกระดาษสองแผ่นนั้นออกมาแล้วยื่นให้จางหวนกงอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เอ่ยว่า “ท่านอาจารย์เจ้าคะ กวีสองบทนี้คือ...คือกวีที่สวีเสี่ยวเสียนเป็นผู้ประพันธ์ อาจารย์ช่วยดูหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”

 

จางหวนกงรับกวีสองบทนั้นไป “เขาประพันธ์ขึ้นก่อนที่จะป่วยเป็นโรคประสาทเยี่ยงนั้นหรือ ? เยวี่ยเอ๋อหนอเยวี่ยเอ๋อ ถึงเยี่ยงไรเขาก็เป็นเพียงคนป่วย...”

 

ยังมิทันได้เอ่ยจนจบ จางหวนกงก็ราวกับมีบางอย่างมาจุกอยู่ที่ลำคอ เขาตกตะลึงกับอักขระอันงดงามนั้น “งดงาม ! อักขระช่างงดงามยิ่งนัก ! ”

 

ต่อมาเขาก็ต้องหุบปากลงอีกครา ดวงตาที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นคู่นั้นเบิกโพลงขึ้นมาอย่างเหลือเชื่อ

 

“หวนกง ท่านหวนกง... ? ” หมอเทวดาฮัวรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งนัก การที่นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่มากล้นไปด้วยความสามารถเยี่ยงเขาได้เห็นกวีซึ่งประพันธ์โดยคนรุ่นหลัง สามารถทำให้เขาเหม่อลอยได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?

 

ต่อมา...เขาเห็นจางหวนกงหยิบกระดาษแผ่นนั้นแล้วสะบัดเบา ๆ พลางอ่านออกมาอย่างได้อรรถรส

 

“คูเมืองเก้าโค้งสามเดือนสาม ต้นหลิวยาวสยาย

 

ฝุ่นหอมโหมทะยานดั่งม้ารมไปทั่วถนนสีทอง ชะล้างเศษผ้าของฤดูไม้ผลิ

 

หน่อไม้ขมปลาตะลุมพุกรสชาติบ้านเกิดที่เลิศรส ฝันของเจียงหนาน

 

หมอกบนผืนน้ำลมยามเย็นที่สงบนิ่ง ณ ประตูตะวันตก ปลดใบเรือแล่นกลับไป”

 

“ยอดเยี่ยม ! กวีบทนี้งดงามที่สุดที่ข้าเคยอ่านมาในชีวิตนี้ ! คูเมืองเก้าโค้ง...น่าจะหมายถึงคูเมืองเก้าโค้งที่ทะเลสาบเหม่ยเปยแห่งฉางอัน วันที่สามเดือนสาม ตรงกับเทศกาลซินเนิ่นสือ1ที่หยางหลิ่ว ฝุ่นหอมโหมทะยานดั่งม้ารมไปทั่วถนนสีทอง ประโยคนี้แม้มิได้เอ่ยถึงผู้คน ทว่าบรรยากาศที่บรรยายนั้นดูสอดคล้องกัน”

 

“ประโยคด้านล่างบรรยายถึงฤดูใบไม้ผลิในเจียงหนาน หน่อไม้ขมปลาตะลุมพุกรสชาติบ้านเกิดที่เลิศรส... โอ้ ! ประโยคนี้ดุจดั่งวาจาเทพ หมอกบนผืนน้ำลมยามเย็นที่สงบนิ่ง ณ ประตูตะวันตก ปลดใบเรือแล่นกลับไป ! ช่างเป็นธรรมชาติมากยิ่งนัก”

 

จางหวนกงยกมือขึ้นลูบเครายาวของเขาแล้วส่ายศีรษะ “ใช้ภาษาเรียบง่าย บรรยายภาพอย่างเงียบสงบ ให้อารมณ์บางเบา ทว่ากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกคิดถึงบ้าน...”

 

“เห็นได้ชัดว่ากวีบทนี้ไพเราะละเอียดอ่อนดุจดั่งการแกะสลัก อรรถรสงดงามจนมิอาจบรรยายได้...กวีบทนี้สมควรต่อการจารึกไว้ในหอเหวินเฟิง ! ”

 

หมอเทวดาฮัวรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งนัก กวีบทนี้งดงามเพียงใดกัน ถึงทำให้จางหวนกงนักปราชญ์ผู้มีชื่อเสียงชมมิขาดปากเช่นนี้ ?

 

สวีเสี่ยวเสียน สวีฝานจือเป็นผู้ประพันธ์จริง ๆ หรือ ?

 

เจ้าหมอนั่นเป็นเพียงแค่หนอนหนังสือ เหตุใดเจ้าหนอนหนังสือนั่นถึงมีความสามารถมากมายถึงเพียงนี้ ?

 

จี้เยวี่ยเอ๋อตกตะลึงยิ่งกว่าหมอเทวดาฮัวเสียอีก ดวงตาของนางเป็นประกายแวววับดุจดวงดาราสว่างไสว

 

นางรู้ว่ากวีบทนี้งดงามมากยิ่งนัก ทว่าคาดมิถึงว่าในสายตาของท่านอาจารย์ ความหมายและคุณค่าของกวีบทนี้จะสูงส่งเพียงนี้ ท่านอาจารย์สามารถเข้าถึงความหมายลึกล้ำได้ ท่านอาจารย์เอ่ยว่ากวีบทนี้สมควรต่อการจารึกในหอเหวินเฟิง นับตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์ต้าเฉินมาจนถึงปัจจุบันมีเพียง 16 บทกวีเท่านั้นที่ได้รับการจารึก ปัจจุบันต้าเฉินมีนักรบจำนวนมิน้อย แต่นักปราชญ์มีน้อยมากยิ่งนัก เนื่องจากจักรพรรดิไท่เสวียนให้ความสำคัญต่อการปกครองประเทศ เขาต้องการขุนนางฝ่ายบุ๋นจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้เมื่อรัชสมัยต้าเฉินที่สอง ณ ริมทะเลสาบเหม่ยเปยจึงได้สร้างหอเหวินเฟิงเก้าชั้นขึ้นมา เพื่อรวบรวมสุดยอดบทกวีทั่วทั้งใต้หล้า มากไปด้วยความหมาย ทั้งนี้เพื่อเป็นการกระตุ้นบัณฑิตไปด้วย

 

กวีที่จารึกในหอเหวินเฟิง เป็นกวีที่งดงามอย่างมิอาจหาสิ่งใดมาเปรียบได้ เป็นกวีที่ทำให้ผู้คนตกตะลึง !

 

สวีเสี่ยวเสียน...เขาเป็นผู้มีความสามารถจริง ๆ ใช่หรือไม่ ?

 

จางหวนกงอ่านกวีบทนั้นซ้ำไปซ้ำมาถึงสามครา ในที่สุดเขาก็ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า “คูเมืองเก้าโค้งสามเดือนสาม...” เขาเงยหน้าขึ้นมองจี้เยวี่ยเอ๋อแล้วเอ่ยถามออกมาว่า “กวีบทนี้ฝานจือประพันธ์ขึ้นมาเมื่อวันที่สามเดือนสามเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

 

จี้เยวี่ยเอ๋อพยักหน้า จางหวนกงหันกลับไปมองหมอเทวดาฮัว “หากเป็นเช่นนี้ มิจำเป็นต้องผ่ากะโหลกศีรษะเพื่อดูว่าสวีเสี่ยวเสียนเป็นบ้าจริงหรือไม่เสียแล้ว”

 

ในใจของหมอเทวดาฮัวรู้สึกคันยุกยิก เขาประกอบอาชีพแพทย์มาทั้งชีวิต เขาเพียงเปิดกะโหลกศีรษะจนทำให้คนตายสองคนเท่านั้น นอกจากนั้นในชีวิตนี้เขามิเคยตัดสินโรคใดผิดอีกเลย ครานี้เขามองผิดไปเยี่ยงนั้นหรือ ?

 

“ไป ๆ ๆ พวกเราไปจวนสวีเสี่ยวเสียนกัน”

 

“ช้าก่อน... ! ” จางหวนกงหยิบกระดาษแผ่นที่สองออกมา จากนั้นก็ต้องตกตะลึงอีกครา “ลายมือช่างงดงามมากยิ่งนัก อักขระเสียวข่าย พื้นฐานการใช้พู่กันของเจ้าหมอนี่ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง ประเดี๋ยวก่อน...ก่อนหน้านี้ข้าเองก็เคยเห็นอักขระของสวีฝานจือมาก่อนเช่นกัน โดยมากเขามักจะเขียนอักขระข่ายซูตัวบรรจง เขาไปฝึกซ้อมการเขียนอักขระสิงซูและเสียวข่ายตั้งแต่เมื่อใดกัน ? ”

 

เมื่อเอ่ยจบ จี้เยวี่ยเอ๋อก็เห็นท่านอาจารย์สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่

 

“พิณทองมีห้าสิบสายไร้เหตุผล หนึ่งสายหนึ่งเสาคิดถึงปีเรืองรอง

 

จวงเชิงเสียวเลอะเลือนถึงผีเสื้อ ใจหวังตี้ชุนฝากฝังที่นกแขกเต้า

 

ไข่มุกจันทราที่สดใสหลั่งน้ำตาในทะเลมรกต นาสีครามอากาศอุ่นหยกเกิดเป็นควัน

 

ความรู้สึกนี้ถือได้ว่าเป็นการระลึกถึง แต่ตอนนั้นมันหายไป”

 

“นี่ นี่เขา...เขากำลังคิดถึงผู้ใดอยู่กัน ? เหตุใดถึงประพันธ์ออกมาได้เศร้าสร้อยถึงเพียงนี้ ? ”

 

จี้เยวี่ยเอ๋อหน้าแดงเรื่อขึ้นมาทันใด ก่อนจะก้มหน้ารู้สึกผิด นางเอ่ยออกมาอย่างนุ่มนวลว่า “ท่านอาจารย์...เรื่องเป็นเช่นนี้ มิใช่ว่าท่านพ่อได้ทำการหมั้นหมายศิษย์และสวีเสี่ยวเสียนหรอกหรือ ? ”

 

เรื่องนี้แน่นอนว่าจางหวนกงรู้ดี “แล้วเยี่ยงไรเล่า ? ”

 

“เมื่อวันที่สามเดือนสาม ในวันนั้นท่านพ่อเดินทางไปที่จวนสวีเพื่อขอสัญญาหมั้นหมายคืน”

 

จางหวนกงเข้าใจเรื่องราวในทันใด เรื่องนี้ตัวเขาเองก็รู้ดี ลูกศิษย์ของเขาฉลาดหลักแหลม ส่วนสวีเสี่ยวเสียนมิมีรายชื่อปรากฏอยู่ในป้ายประกาศ ทั้งยังป่วยเป็นโรคประสาทอีกด้วย

 

ด้วยเหตุนี้ ตัวเขาจึงคิดว่าการที่จี้เยวี่ยเอ๋อต้องแต่งงานกับสวีเสี่ยวเสียนคงจะไร้ซึ่งความสุข สู้ถอนหมั้นคืนมาแล้วไปหาความสุขใหม่เสียยังจะดีกว่า

 

ทว่าบัดนี้ดูเหมือนว่าทุกคนจะมองผิดไป สวีเสี่ยวเสียนผู้นี้มีความสามารถสูงส่งเกินกว่าที่จะจินตนาการออกมาได้ !

 

สวีเสี่ยวเสียนรักใคร่จี้เยวี่ยเอ๋อ ทว่านายอำเภอจี้กลับไปขอสัญญาหมั้นหมายคืนกลับมา จึงทำให้เขาต้องพบกับความผิดหวังอีกคราในชีวิต มิแปลกใจเลยที่เขาจะประพันธ์กวีที่งดงามถึงเพียงนี้ออกมาได้

 

ดังนั้น...ครานี้ต้นตอของความผิดคงจะเป็นหมอเทวดาฮัว “ท่านหัว การวินิจฉัยโรคของท่านมีปัญหามากเลยทีเดียว ! ”

 

“ไปกันเถิด พวกเราไปที่จวนสวีกัน ! กวีทั้งสองบทนี้ยังมิมีหัวข้อ อีกทั้งยังมีหลายจุดเลยทีเดียวที่ข้ามิเข้าใจ ข้าจำต้องไปสอบถามและให้เขาชี้แนะ ! ”

 

1เทศกาลซินเนิ่นสือ คือ เทศกาลปีใหม่

รีวิวผู้อ่าน