ตอนที่ 40 ความหวังดีของหลายฝู
“อ้อ...”
จือรุ่ยมิเข้าใจอย่างแท้จริง เขาเป็นถึงหมอเทวดา หมอหลวงซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังขจรไกล ได้ยินมาว่าบรรดาเศรษฐีก็ยังมิอาจเชิญให้เขาไปตรวจโรคได้ ทว่าหมอเทวดาฮัวผู้นี้กลับเดินทางมาตรวจโรคให้คุณชายเป็นคราที่สอง แล้วเหตุใดท่านถึงมิให้เขาเข้าพบกัน ?
คาดว่าโรคของคุณชายคงจะกำเริบหนักขึ้นมาอีกแล้ว !
อาการของเขา ตัวเขาเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุด เนื่องจากเขากลัวว่าหมอเทวดาฮัวจะรู้ความจริงที่เขาปิดซ่อนเอาไว้
หรือว่าคุณชายจะมีชีวิตอยู่ได้อีกมินานกัน ?
จือรุ่ยคิดไปต่าง ๆ นา ๆ ต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน !
มิเช่นนั้นผู้ที่ชื่นชอบการอ่านตำราเยี่ยงคุณชาย ตลอดสามเดือนที่ผ่านมา เหตุใดเขาถึงมิอ่านตำราเหล่านั้นอีกเลยเล่า ?
เขาได้ละทิ้งความฝันไปแล้ว ชีวิตนี้สิ่งที่เขาใฝ่ฝันมากที่สุดก็คือการเข้าร่วมสอบคัดเลือกและได้รับคัดเลือกเป็นจิ้นซื่อ1จากนั้นก็ตั้งรกรากถิ่นฐานอยู่ที่เมืองฉางอัน ทว่าในตอนนี้คุณชายกลับเอ่ยว่าจะซื้อที่ดินในเขตเหลียงอี้แห่งนี้ !
จริงสิ ! การที่คุณชายยอมคืนสัญญาหมั้นหมายให้กับคุณหนูเยวี่ยเอ๋อโดยง่าย นั่นคงเป็นเพราะเขามิอยากทำให้คุณหนูเยวี่ยเอ๋อต้องลำบากไปด้วย !
เพราะถ้าหากคุณชายจากไปตั้งแต่อายุยังน้อย คุณหนูเยวี่ยเอ๋อคงจะต้องเป็นหม้ายไปชั่วชีวิต
ชีวิตของคุณชายช่างข่มขืนยิ่งนัก ทว่ากลับต้องแบกรับเอาไว้อย่างเงียบ ๆ เพียงลำพัง เขาพยายามเล่นกับสุนัขเพื่อจะหันเหความสนใจไปที่อื่น
นี่คงจะเป็นเหมือนคำกล่าวในตำราที่มักเขียนเอาไว้ว่า...ความรักยิ่งใหญ่เหนืออื่นใดใช่หรือไม่ ?
คุณชายทั้งนิสัยดีทั้งรูปร่างหน้าตาดี ทว่าเหตุใดชีวิตถึงข่มขืนเช่นนี้ ?
จือรุ่ยเดินมาหน้าประตูใหญ่ด้วยใบหน้าเศร้าโศก จึงทำให้หมอเทวดาฮัวผงะตกใจ “เกิดอันใดขึ้นกัน ? ”
น้ำตาของจือรุ่ยไหลออกมา นางสะอึกสะอื้นแล้วเอ่ยว่า “คุณชาย...คุณชายของข้า เขา...เขามิอยู่”
“เอ๋...เขามิอยู่เรือนแล้วเจ้าร้องไห้เนื่องด้วยเหตุอันใดกัน ? ”
“เอ่อคือ...บ่าวมิได้ร้องไห้เจ้าค่ะ เพียงแค่ฝุ่นผงเข้าตาก็เท่านั้น”
จือรุ่ยยกแขนเสื้อขึ้นมาปาดน้ำตาป้อย ๆ หมอเทวดาฮัวรู้สึกอึดอัดใจมากยิ่งนัก บัดนี้หาได้มีลมแต่อย่างใด เหตุใดถึงเอ่ยว่าฝุ่นผงปลิวเข้าตา มองดูแล้วเขาจะต้องเพิ่มหัวข้อการวิจัยไปอีกหนึ่งเรื่องแล้ว ซึ่งนั่นก็คือ...โรคติดต่อของอาการทางจิต
การที่สาวใช้นางนี้ร้องไห้เป็นเรื่องจริง และสวีเสี่ยวเสียนอยู่ในเรือนนี้มิได้ออกไปที่ใด มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ? หมอเทวดาฮัวอยากจะรู้เสียจริงทว่ามิอาจทำอันใดได้
“ข้าน้อยขออภัยนายท่านทั้งหลายด้วย เชิญพวกท่านกลับไปเถิดเจ้าค่ะ”
เมื่อเอ่ยจบจือรุ่ยก็โค้งคารวะบอกลาหมอเทวดาฮัวและจางหวนกง ก่อนจะหันหลังแล้วเดินกลับเข้าไปในเรือน
เสียงปิดประตูสีแดงบานนั้นดังเอี๊ยดอ้าด
หมอเทวดาฮัวตกตะลึงเสียจนนิ่งค้าง ตัวข้านั้นต่อให้เป็นในเมืองฉางอัน ผู้ที่เข้ามาร้องขอไหว้วานให้ข้าไปตรวจโรคให้มีมากมายนับมิถ้วน เจ้าสวีเสี่ยวเสียน...ข้าเดินทางมาตรวจโรคให้เจ้าด้วยตนเอง แต่เจ้ากลับปิดประตูมิต้อนรับข้าเยี่ยงนั้นหรือ !
“นี่มัน...”
จางหวนกงขมวดคิ้วครุ่นคิด จี้เยวี่ยเอ๋อที่นั่งอยู่ด้านในรถม้าได้ยินประโยคนี้เข้าพอดี นางจึงเดินลงมาจากรถม้าแล้วจ้องมองไปยังประกาศที่ติดเอาไว้
ประกาศ !
ข้าสวีเสี่ยวเสียน ถูกเลือดสุนัขสาดใส่ร่างเมื่อคืนนี้ขณะที่กำลังทำพิธี แต่ข้ายังพยายามฝืนทนทำพิธีจนเสร็จสิ้น จึงทำให้มิอาจ ฟื้นคืนพลังอำนาจนั้นได้อีก
ด้วยเหตุนี้...ข้ารู้สึกหมดหวังและเศร้าโศก จนแทบจะขาดใจ ขอทุกท่านอย่าได้เข้ามารบกวน !
นอกจากนี้ ข้าต้องการซื้อที่ดิน 60 หมู่บริเวณชานเมือง ผู้ใดมีความประสงค์ที่จะขายสามารถเข้ามาสนทนากันได้
ตัวเลข 60 เพิ่งถูกเปลี่ยนแปลง จากเดิมคือ 20 เท่านั้น
“จากที่ศิษย์มองดูแล้ว การที่เขาปิดประตูมิรับแขกคาดว่าน่าจะเป็นเพราะเหตุนี้” จี้เยวี่ยเอ๋อชี้ไปที่ประกาศ “เขาคงอารมณ์มิดีเท่าใดนัก”
จางหวนกงยิ่งรู้สึกคับข้องใจเข้าไปใหญ่ เจ้าหมอนี่ใช้วิชาอำพรางของสำนักไฉ่ ทว่าในประกาศนี้ราวกับว่าเขามีวิชาเซียนจริง ๆ อย่างไรอย่างนั้น... ประเดี๋ยวก่อนนะ ความคิดของจางหวนกงแล่นขึ้นมาทันใด เขามีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา จึงโพล่งออกไปว่า “เขาตั้งใจทำเช่นนี้ ! ”
“ท่านจางหวนกง เหตุใดถึงกล่าวเช่นนี้กัน ? ”
“ท่านหัว วิชาห้าบุปผาแปดสำนักเป็นวิชามืด มิอาจไปสู่สรวงสวรรค์ได้หรอก ชาวบ้านในเขตเหลียงอี้คิดว่าเขามีพลังอำนาจจริง ๆ ทว่าสำหรับคนที่มีความรอบรู้จะเข้าใจว่าเขาใช้วิชาของสำนักไฉ่”
“บัดนี้วิชาห้าบุปผาแปดสำนักสามารถนำไปใช้ได้ในหมู่ชาวบ้าน ทว่าห้ามเข้าไปรับราชการเป็นขุนนาง บัดนี้สวีเสี่ยวเสียนกำลังปัดความสัมพันธ์กับสำนักไฉ่อยู่”
หมอเทวดาฮัวมีทักษะที่เก่งกาจด้านการแพทย์ก็จริง ทว่าเขากลับมิรู้เรื่องราวเหล่านี้เท่าใดนัก “ท่านหมายความว่า เขายังอยากเข้ารับราชการอยู่เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เขาอยากรับราชการหรือไม่นั้น ข้าเองก็มิแน่ใจ ทว่าชีวิตนี้ยังอีกยาวไกล ผู้ใดจะไปรู้ได้เล่า ? ข้าคิดว่าอาการป่วยของเขาหายดีแล้วจริง ๆ มิเช่นนั้นเขาคงมิอาจคิดถึงเรื่องในอนาคตอันยาวไกลเช่นนี้ได้หรอก อีกอย่างบนประกาศนี้เขากล่าวว่าต้องการจะซื้อที่ดินมิใช่หรือ ? บางทีเขาอาจจะอยากเป็นเศรษฐีที่ดินที่มิต้องมาคอยกังวลเรื่องอาหารการกินก็เป็นได้”
หัวใจของหมอเทวดาฮัวรู้สึกคันยุกยิกเข้าไปใหญ่ นี่เป็นเรื่องที่เขามิเคยพบหรือเคยเจอมาก่อน อาการทางจิตสามารถหายได้โดยมิต้องรักษาจริง ๆ หรือ เนื่องจากโรคนี้ฝังลึกอยู่ในสมอง แล้วเขาหายได้เยี่ยงไรกัน ?
หรือบางทีเขาอาจจะยังมิหายดี เพียงแค่อาการดีขึ้นก็เท่านั้น
สิ่งนี้มีคุณค่าต่อการค้นคว้า คนไข้แปลกประหลาดปรากฏให้เห็นเบื้องหน้า ทว่ากลับมิอาจยื่นมือเข้าไปทำการค้นคว้าได้ เรื่องนี้ทำให้หมอเทวดาฮัวรู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง
“ไป ๆ ๆ ไปกันเถิด พวกเราเดินทางไปพบนายอำเภอจี้กัน”
“ไปพบนายอำเภอเพื่ออันใดกัน ? ”
“จำต้องจับตัวสวีเสี่ยวเสียนเอาไว้ ข้าจะเดินทางกลับไปยังเมืองเหลียงโจวแล้วจะนำเอาอุปกรณ์สำหรับผ่าตัดกลับมา ข้าจะเปิดกะโหลกศีรษะของสวีเสี่ยวเสียนดูสักหน่อย”
เป็นจังหวะเดียวกันกับที่หลายฝูขับรถม้าเข้ามาพอดี ในมือของเขามีหัวหมูอยู่หนึ่งหัว
“ขอทาง ขอทางหน่อยขอรับ บัดนี้คุณชายของข้ามิต้อนรับแขก เชิญทุกท่านกลับไปเถิด”
“น้องชาย...เหตุใดถึงซื้อหัวหมูมาเล่า ? ”
หลายฝูหัวเราะร่าขึ้นมาพลางตอบว่า “คุณชายของข้าเอ่ยเอาไว้ว่า กินสิ่งใดก็จะสามารถชดเชยสิ่งนั้น ข้าน้อยได้ครุ่นคิดดูแล้วหากว่ากินสมองหมูเข้าไป มันก็คงจะสามารถชดเชยสมองของคุณชายได้ เอ่อ...ท่านหมอเทวดาฮัวขอรับ ท่านเดินทางมาด้วยตนเองเลยหรือ ? บัดนี้ท่านมีเวลาหรือไม่ สามารถเข้าไปตรวจดูอาการของคุณชายจวนข้าสักหน่อยได้หรือไม่ขอรับ ? ”
หมอเทวดาฮัวรู้สึกยินดีขึ้นมาทันใด “เพียงแค่บังเอิญผ่านมาเท่านั้น น้องชายเจ้าสะดวกหรือไม่ ? บัดนี้...คุณชายจวนเจ้าอยู่ในเรือนหรือไม่ ? ”
“สะดวก สะดวกยิ่งนัก คุณชายมิค่อยออกไปที่ใดหรอกขอรับ เช่นนั้นคงต้องรบกวนท่านทั้งสองด้วย เชิญด้านใน... ! ”
อาการของคุณชายจำต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน หลายฝูรู้สึกว่าชีวิตของตนแทบจะถูกคุณชายขุดหลุมฝังทุกขณะ ในวันนี้ตอนที่เขาเดินทางออกไป เขาได้ยินเสียงนกสาลิการ้องดัง เขายังคิดอยู่เลยว่าจวนสวีจะมีผู้สูงส่งท่านใดเดินทางมากัน ? คาดมิถึงว่าหลังจากเขาเดินทางไปซื้อหัวหมูกลับมาแล้ว จะบังเอิญพบเข้ากับหมอเทวดาฮัว
สวรรค์ประทานพรอย่างแท้จริง !
คุณชายจะต้องเอ่ยชมข้าเป็นแน่ ต่อจากนี้ข้าคงจะได้กินน่องไก่บ้างแล้วล่ะ !
......
......
แน่นอนว่าสวีเสี่ยวเสียนมิยอมให้หมอเทวดาฮัวเข้ารักษา การที่เขามีโรคประจำตัวเป็นโรคประสาทมันสำคัญมากยิ่งนัก !
ในโลกที่กฎหมายยังมิชัดเจนเช่นนี้ โรคนี่นับว่าเป็นตัวช่วยที่ดีเลยทีเดียว !
ต่อให้หลายฝูต้องได้รับความเดือดร้อนบ้างเล็กน้อย ทว่าโดยรวมก็ยังดีกว่าการที่ตนต้องเข้าคุก อืม...หลังจากนี้ต้องทำตัวดี ๆ กับหลายฝูสักหน่อยแล้ว
จือรุ่ยเดินกลับเข้าไปในเรือนด้วยท่าทางห่อเหี่ยว พบว่าฉางเหว่ยเปียกน้ำไปทั้งร่างเพราะมันเพิ่งขึ้นมาจากสระน้ำ ดูท่าทางมันมีความสุขมากยิ่งนัก !
สมองของสุนัขตัวนี้ก็ดูเหมือนจะผิดปกติเช่นกัน มันมักจะถูกคุณชายปฏิบัติกับมันอย่างทารุณโหดร้าย ทว่ามันกลับชื่นชมยินดี มีอันใดให้น่าชื่นชมกัน ?
“ไปแล้วหรือ ? ”
จือรุ่ยพยักหน้า ทันใดนั้นฉางเหว่ยก็สะบัดน้ำออกจากตัว ทำให้ร่างของสวีเสี่ยวเสียนและจือรุ่ยเปียกชุ่มไปทั้งร่าง
สวีเสี่ยวเสียนโมโหยิ่งนัก เขาจึงเตะฉางเหว่ยจนตกลงไปในสระน้ำอีกครา “เจ้าสุนัขนี่ ! ประเดี๋ยวหากหลายฝูกลับมา ข้าจะให้เขาจัดการเจ้าเสีย ! ”
ทันทีที่สวีเสี่ยวเสียนเอ่ยจบเขาก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นมา “คุณชาย คุณชายขอรับ บ่าวกลับมาแล้วขอรับ ได้ยินว่าจะให้จัดการผู้ใดนะขอรับ ? ”
สวีเสี่ยวเสียนเงยหน้าขึ้นมอง อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมาทันใด
เพราะผู้ที่เดินตามหลังหลายฝูมามีอีกสามคน จางหวนกงเขารู้จักดี ส่วนชายชราเคราขาวผู้นั้น...ชื่อของเขาได้ปรากฏขึ้นมาในความทรงจำ หมอเทวดาฮัว !
สาวใช้ที่เดินตามหลังมา คาดว่านางคงมาดูแลรับใช้ชายชราทั้งสองนี้
สวีเสี่ยวเสียนเบิกตากว้าง สูดลมหายใจเข้าลึก จือรุ่ยกำชายเสื้อของตนเองเอาไว้แน่นพลางส่ายหน้าช้า ๆ “เอ่อคือ บ่าว... บ่าวมิทราบจริง ๆ เจ้าค่ะ”
หลายฝูเดินตรงเข้าไปหาสวีเสี่ยวเสียน เขาทำท่าทีจริงจังแล้วเอ่ยว่า “คุณชายขอรับ บ่าวไปตามหมอเทวดาฮัวมาให้แล้วขอรับ...”
“ตุ้บ ! พลั่ก ! อึก ! ”
สวีเสี่ยวเสียนกระโดดถีบหลายฝูจนเขาตกลงไปในสระน้ำดังโครม เขาร้องโหยหวนออกมาเสียงดัง
ก่อนจะสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว คุณชายท่านนี้...อาการหนักมิเบา !
1จิ้นซื่อ คือ บัณฑิตขั้นสูง ผู้ที่สอบผ่านการสอบระดับราชสำนักหรือระดับราชวัง ที่จัดขึ้นทุก ๆ สามปี หากบัณฑิตคนใดได้เป็นจิ้นซื่อ ก็เท่ากับมีโอกาสได้เป็นขุนนางในราชสำนักค่อนข้างแน่นอนแล้ว