px

เรื่อง : นายน้อยเจ้าสำราญ : คนบ้าแห่งต้าเฉิน (นิยายแปล) ปลดล๊อคตอนฟรี 3 วัน 1 ตอน
ตอนที่ 42 พรรณนา


ตอนที่ 42 พรรณนา

 

หมอเทวดาฮัวนิ่งเงียบไปทันใด

 

เขายกมือขึ้นเกาศีรษะแล้วยิ้มออกมาอย่างงุนงง จากที่นี่ไปยังฉางอันระยะทางเพียงแค่ 800 ลี้ ทว่าจากที่นี่ไปยังเจียงหนานระยะทางนับพันลี้ แม้จะเป็นโรคนอนละเมอ แต่จะไปไกลเช่นนั้นได้เยี่ยงไร

 

จางหวนกงยกมือขึ้นลูบเครายาวของตน เขานิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “ตอนนี้เมื่อมองดูแล้ว ข้าค่อนข้างจะเชื่อว่าฝานจือเคยฝันเห็นคูเมืองเก้าโค้ง เจียงหนานและชางเหมินมาก่อน เมื่อยามกลางวันคิดถึงสิ่งใด ยามราตรีก็จะฝันเห็นสิ่งนั้น”

 

สายตาของจางหวนกงมองไปบนโต๊ะหินซึ่งมีตำราเล่มหนึ่งวางอยู่ ตำราเล่มนั้นมีนามว่าบันทึกภูเขาต้าเฉินและแม่น้ำ จางหวนกงจึงมั่นใจในความคิดของตนเองขึ้นมาทันใด “เมื่อฝานจืออ่านตำรานี้ก็เท่ากับเขาคิดในยามกลางวัน การที่จะฝันเห็นในยามราตรีจึงมิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด”

 

สวีเสี่ยวเสียนมองไปทางจางหวนกงที่อธิบายเหตุผลออกมา เขาช่างจินตนาการได้ยอดเยี่ยมเสียจริง วิธีนี้สามารถจัดการกับปัญหาที่เขาอยากปิดบังเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม

 

ต่อจากนี้หากว่าพบกับสถานการณ์ที่ตนก็มิอาจอธิบายได้ชัดเจน ก็สามารถใช้ข้ออ้างว่าฝันเห็นได้ เพียงเท่านี้ก็สามารถจัดการกับทุกเรื่องราวได้อย่างสมบูรณ์แล้ว

 

จือรุ่ยหันหน้ากลับมา เนื่องจากว่าผีเสื้อสองตัวนั้นได้บินไปแล้ว

 

ตอนนี้เมื่อนางพิจารณาถ้อยคำที่จางหวนกงเอ่ย ก็รู้สึกว่าคุณชายของนางช่างเก่งกาจยิ่งนัก !

 

ทุกคนรู้ว่าจางหวนกงเป็นนักประพันธ์ผู้มีชื่อเสียงแห่งต้าเฉิน !

 

เขาสามารถเขียนจดหมายให้แก่ท่านเจ้าเมืองได้ นั่นหมายความว่าตัวตนของเขาต้องสูงส่งเป็นแน่ ทว่าตอนนี้นายท่านผู้สูงส่งชื่อเสียงโด่งดังกลับนั่งสนทนาเรื่องบทกวีกับคุณชายของนาง...จือรุ่ยแทบมิอยากจะเชื่อเลยสักนิด

 

ดูท่าทางของคุณชายที่สงบนิ่งถึงเพียงนั้น หรือว่าคุณชายจะสามารถประพันธ์กวีต่อกรกับนักประพันธ์ผู้มีชื่อเสียงแห่งต้าเฉินผู้นี้ได้กัน ?

 

ดวงตาของจือรุ่ยเปล่งประกายส่องแสงราวกับดวงดารา จื่อเอ๋อมองไปแล้วครุ่นคิดอยู่ในใจว่า นายบ่าวคู่นี้มีความรู้สึกบางอย่างซ่อนเอาไว้หรือไม่ ?

 

เนื่องจากเรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูง ว่ากันว่าคนบนหอสูงมักจะเอื้อมไปคว้าจันทราได้ก่อนผู้ใดมิใช่หรือ ? อีกอย่างแม่นางผู้นี้ก็มีรูปร่างหน้าตาที่สะสวย ทั้งยังยั่วยวนมากยิ่งนัก

 

อีกประเดี๋ยวหากหมอเทวดาฮัวตัดสินว่าสวีเสี่ยวเสียนมิได้ป่วยแล้ว จำต้องกำชับให้คุณหนูระมัดระวังสักหน่อย สาวใช้ผู้นี้...ดูเหมือนว่านางจะมีความคิดที่มิค่อยสะอาดเท่าใดนัก !

 

จางหวนกงหยิบกระดาษอีกแผ่นหนึ่งขึ้นมา เขาถอนหายใจเบา ๆ แล้วเอ่ยว่า “กวีบทนี้ก็งดงามมิแพ้กัน ฝานจือ การที่นายอำเภอจี้ถอนหมั้นเป็นความผิดของเขาก็จริง ทว่าข้าก็ยังหวังว่าฝานจือเจ้าจะมีความโอบอ้อมและเข้าอกเข้าใจเขา เนื่องจากคนเป็นพ่อแม่ ลูกเขยก็เท่ากับเป็นลูกของตน...และค่อนข้างให้ความสำคัญมากยิ่งนัก ดูเหมือนว่าเยวี่ยเอ๋อมิได้รังเกียจอันใดเจ้า ความคิดถึงคะนึงหาที่เจ้าเขียนให้เยวี่ยเอ๋อในบทกวีนี้...ข้ารู้สึกประทับใจมากยิ่งนัก”

 

สวีเสี่ยวเสียนเบิกตากว้างทันใด ท่านจินตนาการไปถึงที่ใดแล้วกัน ?

 

ข้าเขียนให้แก่อดีตภรรยาของข้าต่างหากเล่า เหตุใดถึงนำไปเชื่อมโยงกับจี้เยวี่ยเอ๋อได้เล่า ?

 

ต่อจากนั้นก็ได้ยินจางหวนกงเอ่ยขึ้นมาว่า “ความรู้สึกนี้ถือได้ว่าเป็นการระลึกถึง แต่ตอนนั้นมันหายไป ! ฝานจือเอ๋ย เจ้าช่างเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความรู้สึกจริง ๆ ชายหนุ่มที่หนักแน่นในความรักนั้นดียิ่ง ลูกศิษย์ของข้าผู้นี้มีความสามารถมากยิ่งนัก คู่ควรกับเจ้าเป็นที่สุด”

 

จางหวนกงจ้องมองไปยังสวีเสี่ยวเสียนด้วยสายตาที่เป็นประกาย การที่เขาสามารถประพันธ์บทกวีสองบทที่งดงามออกมาได้เช่นนี้ ก็เพียงพอแล้วที่จะยืนยันได้แล้วว่าสวีเสี่ยวเสียนมีความสามารถด้านวรรณกรรมที่สูงส่ง

 

ชายหนุ่มเช่นนี้ต่อให้เป็นโรคประสาท ก็คงมิมีปัญหาอันใดมิใช่หรือ ?

 

ในใต้หล้านี้มิมีผู้ใดสมบูรณ์แบบ ควรจะประนีประนอมซึ่งกันและกันถึงจะถูก

 

ประกอบกับตอนนี้เมื่อดูท่าทีของเยวี่ยเอ๋อ นางก็ชื่นชมสวีเสี่ยวเสียนอยู่มิน้อยเช่นกัน สู้ทำให้ทั้งสองสมหวังดั่งปรารถนาจะดีกว่า

 

ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของสวีเสี่ยวเสียน จางหวนกงได้ลูบไปที่เครายาวของตนเองแล้วทำสีหน้าเคร่งขรึม แล้วเอ่ยว่า “ข้าจะเป็นผู้ดำเนินการให้นายอำเภอจี้มอบสัญญาหมั้นหมายนั้นคืนกลับมาเอง”

 

สวีเสี่ยวเสียนชะงักงันไปชั่วครู่ เขายังมิทันได้เอ่ยปฏิเสธ จางหวนกงก็เอ่ยขึ้นมาอีกคราว่า “ส่วนตัวเจ้ามิจำเป็นต้องเอ่ยขอบคุณข้าแต่อย่างใด เพียงแค่บอกนามของกวีทั้งสองบทนี้มาก็พอ ฝานจือ...กวีสามเดือนสามนี่มีนามว่าเยี่ยงไร ? ”

 

จื่อเอ๋อตกตะลึงยิ่งกว่าสวีเสี่ยวเสียนเสียอีก เหตุใดท่านจางหวนกงถึงได้ตัดสินเรื่องการแต่งงานของคุณหนูด้วยตนเองเช่นนี้กัน ?

 

อย่างน้อยก็ควรที่จะรอให้หมอเทวดาฮัวตัดสินก่อนว่าสวีเสี่ยวเสียนหายป่วยแล้วหรือยัง แล้วค่อยตัดสินใจทีหลังก็ยังมิสาย !

 

นางเป็นสาวใช้ข้างกายของคุณหนู แท้ที่จริงมิมีสิทธิอันใดที่จะเอ่ยปาก ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับความสุขทั้งชีวิตของคุณหนูเชียว...

 

ในขณะที่จื่อเอ๋อกำลังจะเอ่ยปากออกมา คาดมิถึงว่านางจะถูกจือรุ่ยเอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน

 

ก่อนหน้านี้จือรุ่ยหวังมาเสมอว่าคุณชายจะได้แต่งงานกับคุณหนูเยวี่ยเอ๋อ ทว่าหลายวันมานี้นางได้จ้องมองผีเสื้อคู่นั้น และในที่สุดก็คิดขึ้นมาได้ว่านั่นคือผีเสื้อสีขาวของนาง จะให้ผู้อื่นแย่งชิงไปได้เยี่ยงไรกัน ?

 

จิตใจของจือรุ่ยร้อนผ่าว นางโพล่งออกไปโดยที่ยังมิทันได้คิดเลยด้วยซ้ำ “นายท่านเจ้าคะ บ่าวคิดว่า...เรื่องนี้ควรจะปล่อยให้เป็นเรื่องของคนสองคน ในเมื่อนายอำเภอจี้ได้ขอสัญญาหมั้นหมายกลับคืนไปแล้ว หากว่าจะส่งกลับมาอีก เอ่อคือ...แม้ว่าบ่าวจะอ่านตำรามาน้อย ทว่าก็พอจะได้ยินมาบ้างว่า ม้าที่ดีจะมิหันกลับไปกินหญ้าเก่า เนื่องจากมันมิเหมาะมิควรเจ้าค่ะ”

 

สวีเสี่ยวเสียนรู้สึกทำตัวมิถูกขึ้นมาทันใด นางคิดอันใดของนางอยู่กัน ?

 

ม้าที่ดีมิหันกลับไปกินหญ้าเก่า ผู้ใดคือม้า ? ผู้ใดคือหญ้า ?

 

เหตุใดข้าถึงกลายเป็นหญ้าได้เล่า ?

 

เมื่อจื่อเอ๋อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกดีใจมากยิ่งนัก นางรีบเอ่ยแทรกขึ้นมาทันใดว่า “นั่นสิเจ้าคะ บ่าวเองก็รู้สึกว่าเรื่องนี้จะตัดสินใจอย่างลวก ๆ มิได้ คุณชายสวีมีความสามารถและความรู้สูงส่ง คุณหนูจวนข้าก็มีความสามารถด้านการประพันธ์กวีเป็นเลิศ ว่ากันว่าเสือสองตัวอยู่ในถ้ำเดียวกันมิได้ อีกทั้งเมื่อเสือสองตัวแย่งชิงกันต้องมีตัวใดตัวหนึ่งตายไป คาดว่าจะเกิดความขัดแย้งขึ้นได้...เรื่องนี้สู้รอดูไปก่อนมิดีกว่าหรือเจ้าคะ ? ”

 

จางหวนกงชะงักงันเล็กน้อย สาวใช้สองนางนี้กำลังเอ่ยถึงเรื่องใดกัน ?

 

ความหมายที่ทั้งสองนางต้องการจะสื่อเขาเข้าใจดี ดังนั้นเขาจึงเอ่ยถามสวีเสี่ยวเสียนว่า “ฝานจือ แล้วเจ้าเล่า เห็นเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”

 

“ข้ารู้สึกว่าพวกนางทั้งสองคนกล่าวได้ถูกต้องแล้ว”

 

จือรุ่ยและจื่อเอ๋อจึงวางใจลง จางหวนกงจึงทำได้เพียงส่ายหน้าอย่างเสียดาย “เอาเถิดเรื่องนี้เป็นเรื่องของคนหนุ่มสาว ข้าเองก็ชราถึงเพียงนี้แล้ว คงจะมิเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย เอาล่ะ ! กลับมาที่หัวข้อสนทนาของเราเถิด เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่ากวีทั้งสองบทนี้มีนามว่าเยี่ยงไร ? ”

 

สวีเสี่ยวเสียนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เมื่อเอ่ยถึงจี้เยวี่ยเอ๋อเขาก็จะนึกถึงนายอำเภอจี้ หน้าตาท่าทางราวกับลิงเช่นนั้น หากว่านำไปแสดงละครคงจะต้องเป็นตัวร้ายอย่างแน่นอน แล้วบุตรสาวของเขาจะงดงามได้สักเท่าใดกัน ?

 

“เรียนท่านจางหวนกง กวีสามเดือนสามนี้มีชื่อเรียกว่า ‘ฝันของเจียงหนาน วันที่สามเดือนสาม’ ส่วนกวีอีกบทนั้น...กวีบทนี้มีนามว่า ‘พิณทอง’ ขอรับ”

 

“ยอดเยี่ยม ! ยอดเยี่ยมยิ่ง ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง” จางหวนกงเอ่ยชมว่ายอดเยี่ยมติดกันถึงสามครา ก่อนจะหยิบพู่กันจุ่มลงไปในน้ำหมึกแล้วเขียนลงไปบนหัวกระดาษ

 

จากนั้นหมอเทวดาฮัวก็ได้เข้ามา “บัดนี้ถึงตาข้าแล้ว ฝานจือ...ยื่นมือออกมาให้ข้าจับชีพจรดูหน่อย”

 

สวีเสี่ยวเสียนเริ่มรู้สึกมิอยากทำตาม แม้ว่าอาการทางประสาทนั้นจะมิสามารถตัดสินได้จากการจับชีพจร ทว่าเขาก็มิอาจทราบได้ว่าหมอที่นี่เก่งกาจเพียงใด หากตัดสินออกมาว่าเขามิได้เป็นโรคอันใด เกราะป้องกันที่เขามีเพียงหนึ่งเดียวนี้คงจะสูญสิ้นไปเช่นกัน

 

“ท่านหมอเทวดาฮัว ความหวังดีของท่านนั้นข้าน้อยซาบซึ้งใจอย่างถึงที่สุด ข้าน้อยรู้สึกว่าจะป่วยหรือไม่นั้นหาได้สำคัญไม่ คราก่อนที่อาการกำเริบนั้น ข้าน้อยรู้สึกว่าตนเองได้ตระหนักถึงหลักการและเหตุผลมากมายเลยทีเดียว”

 

สวีเสี่ยวเสียนถอนหายใจยาวออกมา สีหน้าของเขาดูตึงเครียดและหนักแน่น เต็มไปด้วยอรรถรสของนักปราชญ์ผู้สูงส่ง

 

“มิว่าชีวิตคนเราจะสั้นหรือยาว ล้วนต้องการแสวงหาความอบอุ่นของแสงสุริยา ฉกฉวยโอกาสช่วงฤดูใบไม้ผลิยามสายลมสงบและอ่อนโยน ฉวยโอกาสช่วงที่ดอกไม้ยังมิผลิบาน ฉวยโอกาสตอนที่ยังหนุ่มสาว ออกเดินทางเพื่อค้นหาจิตวิญญาณของตนเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”

 

“แท้ที่จริงชีวิตของคนเรานั้น จะสั้นหรือยาวเพียงใดก็มิสำคัญ ที่สำคัญคือประสบการณ์ของชีวิต”

 

“ก่อนหน้านี้ข้าน้อยได้พยายามฝักใฝ่อ่านตำราเพื่อต้องการตำแหน่งชื่อเสียง ทว่านั่นเป็นเพียงความหมกมุ่น บัดนี้ข้าน้อยได้ปล่อยวางมันลงแล้ว ความใฝ่ฝันที่มีในตอนนี้ก็คือนั่งชมทิวทัศน์ภูเขาลำเนาไพร ฟังเสียงลมเสียงฝนยามที่หลับใหล มองดูแขกเหรื่อเดินทางไปมา และดอกไม้ที่ผลิบานในแต่ละปี”

 

“ส่วนเรื่องชีวิตจะจบลงเมื่อใดนั้น...” สวีเสี่ยวเสียนมองข้ามสายตาตกตะลึงของทุกคนไป จากนั้นเขาก็รินน้ำชาให้แก่ชายชราทั้งสอง แล้วเงยหน้าขึ้นอย่างช้า ๆ พลางเอ่ยว่า

 

“เมื่อยามที่ชีวิตสูญสิ้น มีเพียงลมในฤดูใบไม้ผลิ จันทราในฤดูใบไม้ร่วง ดอกไม้ในฤดูร้อนและหิมะในฤดูหนาวคอยอยู่เป็นเพื่อนยามที่ร่างถูกฝังลงดิน ดังนั้นตายไปแล้วเยี่ยงไรเล่า ? ”

รีวิวผู้อ่าน