ตอนที่ 43 ทหารม้าต้าเฉิน
จางหวนกงตกตะลึงยิ่งนัก เขามองไปทางสวีเสี่ยวเสียนด้วยสายตาที่ยากจะเชื่อ ชายหนุ่มผู้นี้เพิ่งจะอายุสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น คาดมิถึงว่าเขาจะเอ่ยสร้างแรงบันดาลใจที่ลึกซึ้งได้ถึงเพียงนี้
นั่งชมทิวทัศน์ภูเขาลำเนาไพร ฟังเสียงลมเสียงฝนยามที่หลับใหล มองดูแขกเหรื่อเดินทางไปมา และดอกไม้ที่ผลิบานในแต่ละปี...
เขาจะต้องเข้าใจและมีสติปัญญามากเพียงใดถึงจะสามารถเข้าใจหลักการที่ลึกซึ้งถึงเพียงนี้ได้ ? ถึงจะสามารถตามหาชีวิตที่มีอิสระและสบายใจอย่างไร้ที่เปรียบได้ ?
หลักการเช่นนี้ แม้แต่เขาผู้ที่มีชื่อเสียงทางด้านวรรณกรรมของต้าเฉินก็มิเคยคิดมาก่อน
นี่คือคำเอ่ยที่น่าตกตะลึง... มีเพียงผู้ที่มีปัญญาสูงส่งเท่านั้น ถึงจะเอ่ยออกมาได้ !
หมอเทวดาฮัวก็ตกตะลึงเช่นกัน มือที่ค้างอยู่กลางอากาศของเขาค่อย ๆ ดึงกลับมา
คำเอ่ยนี้ของสวีเสี่ยวเสียน ทำให้เขารู้สึกค้างคาอย่างมิรู้จบ ผลกระทบที่ชายหนุ่มผู้นี้ได้รับมา คาดมิถึงว่าจะมองเห็นความเป็นความตายได้อย่างทะลุปรุโปร่ง !
ผู้คนทั่วทั้งใต้หล้า จะมีสักกี่คนที่มีอิสรภาพทางความคิดเช่นนี้ ?
เขาป่วยเยี่ยงนั้นหรือ ?
เขาป่วย ทว่าเขาก็มิได้ป่วยเช่นกัน !
สมองของเขาป่วย ทว่าความคิดของเขากลับแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้คนในใต้หล้าทั้งหมดนี้เสียอีก !
เช่นนั้นอาการป่วยนี้ยังสำคัญอยู่หรือไม่ ? ทราบแล้วจะมีประโยชน์อันใด ? มิใช่ว่าเป็นการหาความลำบากมาสู่ตนเองหรอกหรือ
ช่างมัน ช่างมันเถิด !
อาการป่วยของเจ้าเด็กนี่ ข้ามิจำเป็นต้องรักษาแล้ว
จื่อเอ๋อฟังมิค่อยเข้าใจ แต่เมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงของผู้อาวุโสทั้งสอง นางก็รู้สึกว่าคำกล่าวของสวีเสี่ยวเสียนนี้ต้องลึกซึ้งอย่างถึงที่สุดเป็นแน่
นางได้จำคำเอ่ยเหล่านั้นเอาไว้ ประเดี๋ยวต้องเล่าให้คุณหนูฟัง คิดว่าคุณหนูต้องเข้าใจความหมายของคำเอ่ยนี้เป็นแน่
น่าเสียดาย...ที่เขาเลือกล้มเลิกการตรวจรักษา
ดวงตาของจือรุ่ยเป็นประกายขึ้นมาทันใด แม้นางจะฟังแล้วรู้สึกงุนงง แต่นางก็รู้สึกว่าคุณชายนั้นดูเก่งกาจเป็นอย่างมาก !
นางชื่นชอบคำเอ่ยเหล่านั้นเป็นอย่างมาก ยิ่งคุณชายเอ่ยคำเหล่านั้นด้วยท่าทีที่เรียบเฉย นางก็ยิ่งชอบเป็นทวีคูณขึ้นไปอีก
ความชอบเช่นนี้ก็ราวกับมีหินก้อนหนึ่งตกลงมาในหัวใจอย่างกระทันหัน จึงทำให้น้ำภายในหัวใจสั่นเป็นระลอก จนมิอาจหยุดยั้งได้
สองมือของจือรุ่ยกำชายเสื้อเอาไว้แน่น ดวงตาของนางราวกับดวงดาราบนท้องนภายามราตรีที่ทอประกาย แม้แต่กระบนใบหน้าก็ราวกับมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันใด
มีเพียงลมในฤดูใบไม้ผลิ จันทราในฤดูใบไม้ร่วง ดอกไม้ในฤดูร้อนและหิมะในฤดูหนาวคอยอยู่เป็นเพื่อนยามที่ร่างถูกฝังลงดิน อาจจะเงียบเหงาไปสักหน่อย
ทันใดนั้นนางก็หน้าแดงเรื่อแล้วโพล่งออกไปว่า “คุณชายเจ้าคะ คุณชายยังมีบ่าวนะเจ้าคะ บ่าวยินดีที่จะอยู่เป็นเพื่อนยามที่ร่างถูกฝังลงดิน”
สวีเสี่ยวเสียนเงยหน้า จ้องมองไปทางจือรุ่ย เจ้าคิดอันใดอยู่กัน ?
“จะยามอู่แล้ว เจ้าไปตุ๋นหัวหมูเถิด”
จือรุ่ยดีอกดีใจทั้งยังแสดงท่าทีเขินอาย จากนั้นนางก็พุ่งออกไปราวกับผีเสื้อ
“ฝานจือ บทกวีทั้งสองบทนี้ ข้าตั้งใจจะส่งไปยังฉางอันให้กับท่านซูหมิงหยางแห่งสำนักศึกษาไท่หยวน บทกวีทั้งสองบทนี้ ตามการคาดเดาของข้า จะต้องได้เข้าสู่หอเหวินเฟิงอย่างแน่นอน เมื่อเข้าสู่หอเหวินเฟิงแล้ว ชื่อเสียงของฝานจือก็จะเป็นที่โด่งดังไปทั่วฉางอันและทั่วประเทศ”
“หากฝานจือมีความตั้งใจที่จะเป็นขุนนาง ข้าก็จะแนะนำเจ้าให้ได้เป็นขุนนาง มิทราบว่าเจ้ามีความเห็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
สวีเสี่ยวเสียนโบกมือเป็นพัลวัน “ความหวังดีของท่านหวนกง ข้าได้รับรู้ถึงมันแล้ว เหมือนกันกับที่ข้าเพิ่งเอ่ยไปเมื่อครู่ ตอนนี้ในชีวิตนี้ของข้าได้หมดความคิดเรื่องชื่อเสียงและยศถาบรรดาศักดิ์แล้ว ข้าที่เป็นโรคประสาท ทำได้เพียงใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเช่นนี้เท่านั้น”
“เฮ้อ...” จางหวนกงถอนหายใจช้า ๆ ใช่แล้ว ! สุดท้ายสวีเสี่ยวเสียนก็มีอาการป่วย มิเหมาะสมที่จะเป็นขุนนางในราชสำนัก น่าเสียดาย น่าเสียดายอย่างแท้จริง !
“เช่นนั้น ก็ช่างมันเถิด”
สวีเสี่ยวเสียนได้ผ่อนคลายลง เขามิต้องการที่จะมีชื่อเสียง มีชื่อเสียงแล้วมีประโยชน์อันใดกัน ?
เขาเบื่อหน่ายกับการวางอุบายยามที่อยู่ในราชสำนัก หากต้องใช้ชีวิตอย่างเหน็ดเหนื่อยเช่นนั้น สู้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไปชั่วชีวิตที่นี่ยังจะดีเสียกว่า
ทันใดนั้นเอง จือรุ่ยก็ได้วิ่งเข้ามาราวกับผีเสื้อที่กำลังโบยบิน ทว่าครานี้นางบินเร็วมากยิ่งนัก
“คุณชาย คุณชายเจ้าคะ...”
สวีเสี่ยวเสียนได้คุ้นชินกับท่าทีหอบหายใจของนางแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทีเรียบเฉย จากนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า “มีเรื่องอันใดกัน ? ”
“ด้านนอก ด้านนอกมีทหารม้าชุดดำมาเป็นจำนวนมากเจ้าค่ะ ! ”
สวีเสี่ยวเสียนตกตะลึงขึ้นมาทันใด เขามิสามารถนิ่งเฉยได้
ทหารม้าชุดดำเยี่ยงนั้นหรือ ?
หรือว่าจะเป็นผู้ตรวจการโจวที่มาจับกุมตน ?
ต่อจากนั้น เขาก็เห็นแม่ทัพที่สวมชุดเกราะสีดำนายหนึ่งเดินปรี่เข้ามาด้านใน
แม่ทัพผู้นี้ยังหนุ่มยังแน่น รูปลักษณ์ทรงอำนาจ สีหน้าเคร่งขรึม ย่างก้าวอย่างมั่นคง
ที่สำคัญคือเขาสะพายดาบเล่มยักษ์ไว้ด้านหลัง ฝักดาบสีดำได้แผ่รังสีทะมึนออกมา
เขาเดินมาถึงศาลาริมน้ำเซียนหยุน ทว่ามิได้มองมาที่สวีเสี่ยวเสียนแต่อย่างใด สวีเสี่ยวเสียนจึงลอบถอนหายใจออกมาอย่างเงียบ ๆ
แม่ทัพผู้นั้นยกมือขึ้นคำนับหมอเทวดาฮัว แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มและร้อนรนว่า “ท่านฮัว...ขอเชิญไปยังฉางอันเถิดขอรับ”
สีหน้าของหมอเทวดาฮัวตึงเครียดขึ้นมาทันใด คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่น จากนั้นก็เอ่ยถามออกมาว่า “อาการกำเริบอีกแล้วหรือ ? ”
“ขอรับ และครานี้...ค่อนข้างสาหัส ! ”
“ตกลง...ไปกัน ! ”
จากนั้นหมอเทวดาฮัว ก็หันมาเอ่ยกับสวีเสี่ยวเสียนว่า “ฝานจือ ไว้พบกันคราหน้า”
สวีเสี่ยวเสียนลุกขึ้นยืนและคำนับ “เดินทางโดยสวัสดิภาพท่านหมอฮัว”
แม่ทัพผู้นั้นจ้องมองสำรวจสวีเสี่ยวเสียนอย่างถี่ถ้วน จากนั้นทั้งสองก็เดินจากไปอย่างเร่งรีบ สวีเสี่ยวเสียนหันมองไปทางจางหวนกง ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
“ทหารม้าต้าเฉิน”
จางหวนกงเอ่ยออกมาสั้น ๆ พลางจ้องมองสวีเสี่ยวเสียนอย่างระมัดระวัง เขามิเห็นท่าทีที่ผิดแปลกบนใบหน้าของสวีเสี่ยวเสียน บางเรื่องเขามิควรเอ่ยถึง ทว่าเขาก็เอ่ยออกมาว่า
“เมื่อปีนั้นที่ฝ่าบาททรงก่อตั้งประเทศขึ้นมา มีทหารม้าที่เก่งกาจที่สุดภายใต้บังคับบัญชา ชั่วชีวิตการรบของฝ่าบาท ใช้เวลาถึง 8 ปีเต็มในการกวาดล้างราชวงศ์หลีแล้วก่อตั้งต้าเฉินขึ้นมา บัดนี้ราชวงศ์ต้าเฉินก็ได้ก่อตั้งมา 16 ปีแล้ว ฝ่าบาททรงได้เดินทางมาถึงปีแห่งชะตาฟ้าลิขิตแล้ว”
“เฮ้อ...องค์จักรพรรดิของพวกเรานั้นทรงพระประชวร มีอาการปวดพระเศียร ยามที่ปวดขึ้นมาก็หนักเอาการ ในช่วงหลายปีมานี้ด้วยการรักษาของหมอเทวดาฮัวจึงเบาลงมามิน้อย ทว่าสุดท้ายก็ไร้หนทางที่จะรักษาให้หายขาด ดังนั้นหมอเทวดาฮัวถึงได้มีความคิดที่จะริเริ่มการศึกษาสมองขึ้นมา”
“วันนี้ทหารม้าเดินทางมาถึงที่นี่ด้วยตนเอง คาดว่าอาการปวดพระเศียรของฝ่าบาทคงกำเริบขึ้นมาอีกเป็นแน่”
ปวดศีรษะเยี่ยงนั้นหรือ ?
ทันใดนั้นสวีเสี่ยวเสียนก็นึกถึงกระเป๋าปีนเขาใบนั้นขึ้นมา ดูเหมือนว่าในนั้นจะมียาพาราเซตามอลหรือไอบิวพรอเฟนที่ใช้บรรเทาอาการปวดหรืออันใดสักอย่างอยู่ ในฐานะเจ้าหน้าที่บรรเทาความทุกข์ยากที่ต้องอยู่ในชนบทบ่อยครั้ง ยาสามัญประจำบ้านเหล่านั้นก็ได้ภรรยาเป็นผู้จัดเตรียมให้เขาทั้งสิ้น เพราะหมู่บ้านไป่ฮวานั้นมีระยะห่างจากตัวเมืองถึง 30 ลี้ ทั้งยังเป็นเส้นทางภูเขาอีกด้วย
เขาเพียงแค่ครุ่นคิดเท่านั้น เขามิได้โง่เอ่ยออกไปหรอก เพราะอาการปวดศีรษะมีหลายแบบ เขามิใช่หมอ และมิทราบด้วยซ้ำว่าอาการป่วยเช่นนี้ต้องรักษาเยี่ยงไร
สวีเสี่ยวเสียนมิได้สนใจความเป็นความตายของจักรพรรดิ สิ่งที่เขาสนใจคือเรื่องที่เขาใช้มีดแทงใส่โจวเหยียนหวางมากกว่า
“ท่านหวนกง ผู้ตรวจการโจวผู้นั้น เขาจะลอบสังหารข้าที่เป็นปุถุชนธรรมดาหรือไม่ ? ”
“ต่อให้เขามีตับไตสักสิบชิ้นก็มิกล้าหรอก เมื่อวานข้าได้เขียนจดหมายหนึ่งฉบับแล้วส่งไปหาฉีเหวินจวิ้นเจ้าเมืองเป่ยเหลียงแล้ว คนผู้นั้นคือศิษย์ของข้า ดังนั้นย่อมมิมีปัญหาอย่างแน่นอน”
“ขอบพระคุณท่านหวนกงยิ่งนักขอรับ ! ”
“หากจะกล่าวกันแล้ว วันนั้นข้าก็ต้องขอบคุณเจ้าเช่นกัน”
จางหวนกงเงยหน้ามองท้องนภาแล้วลุกขึ้นยืน “ฝานจือ...หากมีเวลาว่างก็ไปนั่งที่เรือนไม้ป่าท้อของข้าสิ ตั้งอยู่ข้างกันกับสำนักศึกษาจูหลิน”
สวีเสี่ยวเสียนเองก็ลุกขึ้นยืน แล้วเอ่ยยิ้ม ๆ ว่า “หากท่านหวนกงมิรังเกียจที่จะต้อนรับข้า ข้าจะไปเยี่ยมเยียนท่านสักวันขอรับ”
“ฮ่า ๆ ๆ...” จางหวนหัวเราะร่า “คนรู้ใจนั้นหาได้ยากยิ่ง ในเมื่อฝานจือมีจิตใจที่จะละทางโลก ยึดมั่นในอิสระ ทั้งยังถูกชะตาข้าอีกด้วย ข้าจะรอการมาของเจ้า วันนี้ขอลา ! ”
“ข้าขอส่งท่านหวนกง ! ”
ด้านนอกจวนสวี จี้เยวี่ยเอ๋อได้รออย่างใจจดใจจ่อ
ท่านอาจารย์ยังมิทันได้ออกมา ทหารม้าต้าเฉินที่มีชื่อเสียงโด่งดังกลับโผล่มาเสียก่อน นี่ทำให้นางตื่นกลัวเป็นอย่างยิ่ง
นางมิรู้ว่ายังมีผู้อื่นที่ตื่นตกใจยิ่งกว่านางเสียอีก ซึ่งนั่นก็คือสุนัขรับใช้ของโจวเหยียนหวางได้ย่างกรายมาที่นี่พอดิบพอดี ตามคำสั่งของโจวเหยียนหวาง ดาบเล่มนี้จะมิมีทางได้รับมาอย่างไร้ค่า มิว่าเยี่ยงไรก็จำต้องปลิดชีวิตของสวีเสี่ยวเสียนให้จงได้
ทว่าหลังจากที่เขาได้เห็นท่าทีที่น่าเกรงขามของทหารม้า ความคิดนั้นก็ได้หยุดลงทันพลัน คาดมิถึงว่าสวีเสี่ยวเสียนจะมีความเกี่ยวข้องกับทหารม้าต้าเฉิน
แท้จริงแล้วนี่มันเรื่องอันใดกัน ? แท้จริงแล้วเบื้องหลังของสวีเสี่ยวเสียนผู้นั้นใหญ่โตเพียงใดกัน ?
มิได้การ ! จำต้องไปบอกข่าวให้คุณชายที่อยู่โรงหมอตระกูลโจวทราบ สวีเสี่ยวเสียนผู้นี้...เกรงว่าจะข้องเกี่ยวด้วยมิได้แล้ว !