ตอนที่ 44 จี้เยวี่ยเอ๋อใจสลาย
“เยวี่ยเอ๋อกวีบทนี้มีนามว่า ‘ฝันของเจียงหนาน วันที่สามเดือนสาม’ ส่วนกวีบทนี้มีนามว่า ‘พิณทอง’ ”
จางหวนกงนำกวีทั้งสองบทยื่นคืนให้จี้เยวี่ยเอ๋อพลางส่ายหน้าอย่างเสียดาย “เดิมทีอาจารย์ต้องการนำกวีสองบทนี้ ส่งไปยังเมืองฉางอันให้ซูหมิงหยางหัวหน้าสำนักศึกษา หากว่ามีท่านซูคอยสนับสนุนล่ะก็ กวีสองบทนี้ย่อมสามารถจารึกลงในหอเหวินเฟิงได้อย่างแน่นอน...”
“ทว่าน่าเสียดาย...” จางหวนกงยิ้มออกมาอย่างเสียดาย “ฝานจือมิยินยอม”
นักวรรณกรรมในใต้หล้านี้ มีผู้ใดบ้างที่มิอยากให้กวีของตนเองได้รับความนิยมชมชื่นไปทั่วหล้า โอกาสดี ๆ เช่นนี้เหตุใดเขาถึงมิยินยอมกันเล่า ?
เมื่อเห็นสายตาประหลาดใจของจี้เยวี่ยเอ๋อ จางหวนกงจึงยิ้มออกมาอีกคราแล้วเอ่ยว่า “นี่คือส่วนที่อาจารย์มิอาจเทียบเคียงกับฝานจือได้ ! ”
จี้เยวี่ยเอ๋อตกตะลึงขึ้นมาอีกครา ท่านอาจารย์เป็นถึงนักปราชญ์ด้านวรรณกรรม ทั้งยังมีชื่อเสียงเลื่องลือ เหตุใดถึงเอ่ยประโยคเช่นนี้ออกมากัน ?
ต่อให้สวีเสี่ยวเสียนมิได้ป่วย ต่อให้การสอบระดับเขตเมื่อปีที่แล้วมิได้เกิดปัญหาใดขึ้น เขาก็คงจะเป็นได้เพียงแค่เจี่ยหยวนเท่านั้น เขามีความสามารถถึงขนาดที่ทำให้ท่านอาจารย์นับถือได้เลยหรือ ?
จางหวนกงยกถ้วยชาขึ้นมา จากนั้นก็ใช้ฝาถ้วยชาปาดลงไปเบา ๆ ที่ขอบถ้วย “จากการที่ฝานจือได้พบกับวิบัติมากมายในครานี้ ทำให้เขามองเห็นโลกและแก่นแท้ของชีวิต เขาเพิ่งจะอายุ 17 ปีเท่านั้น ทว่ากลับมองเห็นสัจธรรมของชีวิตได้อย่างถ่องแท้ ส่วนอาจารย์มีอายุ 63 ปีแล้ว อาจารย์มัวแต่คาดหวังว่าจะมีสักวันหนึ่ง ที่ตนเองจะสามารถกลับไปยังเมืองฉางอันได้อีกครา”
“เพียงคิดว่าต้องการกลับไปตอบแทนบุญคุณขององค์จักรพรรดิ ในใจคิดเพียงแค่ต้องการผลักดันสงครามต้าเฉินและราชวงศ์เวย์เหนือเพื่อที่สถานการณ์นี้จะได้สงบลงเสียที ทว่าบัดนี้เมื่อลองมาคิดตริตรองดูดี ๆ แล้ว อาจารย์เพียงต้องการชื่อเสียงเท่านั้น”
จี้เยวี่ยเอ๋อกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ นางรู้สึกเสียใจที่มิได้เข้าไปในจวนสวีเพื่อฟังว่าสวีเสี่ยวเสียนเอ่ยอันใดออกมา
เดิมทีจิตใจของท่านอาจารย์ช่างหนักแน่น แต่เมื่อเข้าไปในจวนสวีเพียงแค่ครึ่งวัน กลับทำให้เขาเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
บัดนี้เมื่อมองไปยังท่านอาจารย์ดูเหมือนว่าเขาจะไร้จิตตั้งมั่น ทว่าก็มิได้ท้อถอยตกต่ำ มันเป็นความรู้สึกเยี่ยงไรนั้น นางเองก็บอกมิถูก !
ดูเหมือนว่าท่านอาจารย์จะปล่อยวางทุกอย่างลงได้แล้ว เขารู้สึกผ่อนคลายราวกับนกกระเรียนป่าที่อยู่ท่ามกลางปุยเมฆ
ใช่ ! เหมือนว่าท่านอาจารย์จะสามารถปล่อยวางเรื่องทางโลกได้แล้ว
จุดเปลี่ยนยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ เปรียบเทียบได้กับการที่จี้ซิงเอ๋อ ผู้ซึ่งตั้งใจฝึกฝนวรยุทธ์ อยู่ ๆ กลับวางดาบลงแล้วมานั่งเย็บปักถักร้อยอย่างไรอย่างนั้น ทำให้จี้เยวี่ยเอ๋อรู้สึกมิค่อยคุ้นชินเท่าใดนัก
“ท่านอาจารย์เจ้าคะ สวีเสี่ยวเสียนเขา...เขาเอ่ยอันใดอีกบ้าง ? ”
จางหวนกงจิบชาหนึ่งอึก ก่อนจะวางถ้วยน้ำชาลง รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าต้องกับแสงสุริยาที่เจิดจรัส
“ฝานจือเอ่ยว่า...มิว่าชีวิตคนเราจะสั้นหรือยาว ล้วนต้องการแสวงหาความอบอุ่นของแสงสุริยา ฉกฉวยโอกาสช่วงฤดูใบไม้ผลิยามสายลมสงบและอ่อนโยน ฉวยโอกาสช่วงที่ดอกไม้ยังมิผลิบาน ฉวยโอกาสตอนที่ยังหนุ่มสาว ออกเดินทางเพื่อค้นหาจิตวิญญาณของตนเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
จี้เยวี่ยเอ๋อใจสั่นสะท้านขึ้นมาทันใด ดวงตางดงามของนางเบิกกว้างเป็นประกายแวววาว “ประโยคนี้...ออกมาจากปากของสวีเสี่ยวเสียนจริง ๆ หรือเจ้าคะ ? ”
จางหวนกงยกมือขึ้นลูบเครายาวของตนแล้วพยักหน้า “คาดว่าในใต้หล้านี้คงมิมีผู้ใดที่สามารถเอ่ยประโยคลึกซึ้งแต่เรียบง่ายเช่นนี้ได้อีกแล้ว จริงสิ ! เขายังเอ่ยอีกว่า เขาได้ละทิ้งความพยายามที่จะตั้งหน้าตั้งตาเรียนเพื่อสอบเอาตำแหน่งขุนนางแล้ว บัดนี้เขาต้องการเพียง...นั่งชมทิวทัศน์ภูเขาลำเนาไพร ฟังเสียงลมเสียงฝนยามที่หลับใหล มองดูแขกเหรื่อเดินทางไปมา และดอกไม้ที่ผลิบานในแต่ละปี”
จี้เยวี่ยเอ๋อรู้สึกหลงใหลในตัวเขามากขึ้นเรื่อย ๆ ปากน้อย ๆ ของนางอ้าค้างอยู่เนิ่นนาน สายตาของนางจ้องมองไปยังดอกท้อที่กำลังบานสะพรั่งพลางพึมพำกับตนเองว่า
“นั่งชมทิวทัศน์ภูเขาลำเนาไพร ฟังเสียงลมเสียงฝนยามที่หลับใหล มองดูแขกเหรื่อเดินทางไปมา และดอกไม้ที่ผลิบานในแต่ละปี...”
นั่นเป็นชีวิตที่ผ่อนคลายและสงบสุขเพียงใดกัน เขาใช้คำได้งดงามยิ่งนัก มันช่างเรียบง่าย นี่คืออิสระที่ไร้พันธนาการ ไร้ซึ่งความปรารถนาใด บ่งบอกถึงความปลอดโปร่งอย่างแท้จริง !
ทันใดนั้นจี้เยวี่ยเอ๋อก็รู้สึกว่านางมองเห็นภาพอันงดงามภาพหนึ่ง
มันเป็นภาพในฤดูใบไม้ผลิ ธารน้ำใสไหลเอื่อย ต้นหลิวชอุ่มพัดเอนไปมา ใต้ต้นหลิวบริเวณที่แสงสุริยาส่องกระทบปรากฏร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ริมแม่น้ำ เขาสวมชุดสีขาวผ่อง จ้องมองไปทางท้องนภาและฟังเสียงธารน้ำไหล
สุริยาโผล่พ้น สุริยาลาลับ เสียงลมเสียงฝนลอยมา ดอกไม้ผลิบานและกลีบดอกไม้ร่วงโรย สิ่งเหล่านี้ช่างดูเหมือนชีวิตของคนเราเสียเหลือเกิน
เมื่อจ้องมองไปยังแผ่นหลังของชายหนุ่มผู้นั้น ก็ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและเงียบเหงา ทว่าก็ดูหยิ่งผยองน่านับถือไปในที
หากว่าสามารถยืนอยู่ข้างกายของชายหนุ่มผู้นั้นได้ และได้ชื่นชมบรรยากาศอันงดงามนี้กับเขา ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศที่เปลี่ยนไปทั้งสี่ฤดูอย่างช้า ๆ หัวใจคงจะสงบนิ่งยิ่งนัก ทุกอย่างเงียบสงัด...คาดว่าคงจะจับมือกันไปจนแก่ชรา
ในตอนนี้ จี้เยวี่ยเอ๋อรู้สึกว่าหัวใจของนางตกอยู่ในความลุ่มหลงราวกับดอกไม้ที่ผลิบานและร่วงโรยวนเวียนไปมาในแต่ละปี
จินตนาการของหญิงสาวเปี่ยมไปด้วยวรรณกรรม นางยังมิรู้สึกตัว ยังคงตกอยู่ในภวังค์ของจินตนาการ
นางรู้เพียงแค่ว่าตนเองในตอนนี้ได้ปล่อยวางความใฝ่ฝันลงแล้ว สามีในอนาคตนั้น ต่อให้เป็นแม่ทัพหรือขุนนางแล้วเยี่ยงไรเล่า ? นั่นเป็นเพียงดอกไม้ที่ผลิบานให้ผู้อื่นเห็น หลังจากดอกไม้นั้นร่วงโรยสิ่งที่เหลืออยู่ก็คงจะเป็นเพียงกลีบดอกไม้แห้งเหี่ยวที่ตนต้องเชยชม
ใบหน้าของจี้เยวี่ยเอ๋อถูกแสงสุริยาสาดส่องจนแดงระเรื่อ ในสายตาของจื่อเอ๋อนางมองว่าใบหน้าของนายหญิง งดงามยิ่งกว่าดอกท้อเสียอีก
ทันใดนั้นจื่อเอ๋อก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมา นางกระซิบขึ้นมาเบา ๆ ว่า “คุณหนูเจ้าคะ คุณชายจวนสวีปฏิเสธการรักษาจากหมอเทวดาฮัวเจ้าค่ะ”
แน่นอนว่านางกำลังตักเตือนคุณหนูอยู่เป็นนัย ว่าอาการเจ็บป่วยของสวีเสี่ยวเสียนมิรู้ว่าหนักหนาเพียงใด
จี้เยวี่ยเอ๋อละสายตากลับมาแล้วยกยิ้มขึ้น นางได้ยินท่านอาจารย์เอ่ยขึ้นมาอีกว่า “และนี่ก็คือส่วนที่ฝานจือมิเหมือนกับผู้อื่น เนื่องจากเขาปล่อยวางความเป็นความตายลงได้อย่างเหลือเชื่อ ! ”
“เขาเอ่ยว่า...มีเพียงลมในฤดูใบไม้ผลิ จันทราในฤดูใบไม้ร่วง ดอกไม้ในฤดูร้อนและหิมะในฤดูหนาวคอยอยู่เป็นเพื่อนยามที่ร่างถูกฝังลงดิน ดังนั้นตายไปแล้วเยี่ยงไรเล่า ? ”
“นี่เป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดเพียงใดกัน ? ความรู้สึกเช่นนี้คงจะมีเพียงฝานจือผู้เดียวเท่านั้นที่อธิบายออกมาได้ ! ”
“ตั้งแต่ยังเยาว์ เขามิมีบิดามารดา นับตั้งแต่อายุได้ 3 ปีก็ถูกบิดาพามาทิ้งเอาไว้ที่เขตเหลียงอี้ เขาถูกทาสผู้มีจิตใจโหดเหี้ยมรังแก แต่ก็ยังตั้งใจศึกษาตำราถึง 14 ปี ปีที่แล้วเขาควรจะได้รับตำแหน่งเจี่ยหยวน ความฝันของเขาใกล้จะเป็นจริงอยู่รอมร่อ แต่อยู่ ๆ กลับมิมีรายชื่อ นี่เป็นอุปสรรคคราใหญ่ การที่ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องร้ายแรงเหล่านี้ในชีวิต ในที่สุดเมื่อปีที่แล้วเขาก็ได้ทรุดลง”
“ทว่าในปีนี้ อยู่ ๆ เขาก็ลุกขึ้นยืนได้อีกคราและกลายมาเป็นเฉกเช่นทุกวันนี้ อาจารย์คิดว่าตัวเขาที่เป็นเช่นนี้ช่างดียิ่งนัก ในสนามราชการเต็มไปด้วยหุบเหวลึกมากมาย ต้องพานพบกับเรื่องสกปรกนับมิถ้วน กว่าจะเดินได้แต่ละก้าวต้องคอยระมัดระวังอย่างสุดชีวิต จะมีดอกไม้หรือจันทราให้ชื่นชมได้เยี่ยงไร ? จะมีโอกาสนั่งชมป่าเขาลำเนาไพรเยี่ยงนั้นหรือ ? คงมิอาจฟังเสียงลมเสียงฝนยามหลับใหลได้อย่างแน่นอน”
......
......
เมื่อกลับมาถึงจวนจี้แล้ว จี้เยวี่ยเอ๋อได้หยิบกระดาษขึ้นมา 1 แผ่น จากนั้นก็ทำการคัดลอกกวีสั้นบทนั้นลงไป
จื่อเอ๋อรู้สึกกังวลใจมากยิ่งนัก ระหว่างที่เดินทางกลับมา คุณหนูให้นางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนสวีให้ฟังอย่างละเอียดอีกหนึ่งครา
ใบหน้าของคุณหนูเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี ดูเหมือนว่านางจะมิได้สนใจเรื่องที่สวีเสี่ยวเสียนปฏิเสธการรักษาจากหมอเทวดาฮัวเลย
เมื่อกลับมาถึงจวน คุณหนูก็รีบหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนบทกวีนั้นลงไปทันที อีกทั้งยังใช้กระดาษที่มีลวดลายสวยงามอีกด้วย
มองดูแล้ว หัวใจของคุณหนูคงจะมอบให้แก่สวีเสี่ยวเสียนแล้วจริง ๆ ทว่าอยู่ ๆ จื่อเอ๋อก็นึกถึงสาวใช้ข้างกายสวีเสี่ยวเสียนขึ้นมาได้ ดูเหมือนว่าสาวใช้นางนั้นจะมีความคิดเป็นอื่นกับคุณชายของนาง
“คุณหนูเจ้าคะ”
“มีอันใด ? ”
“สาวใช้ข้างกายคุณชายสวีรูปร่างหน้าตางดงามชวนมองยิ่งนัก นางได้เอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง บ่าวคิดว่าคุณหนูควรจะให้ความสำคัญเจ้าค่ะ”
จี้เยวี่ยเอ๋อวางพู่กันในมือลงพลางเงยหน้าขึ้น แล้วเอ่ยถามว่า “นางเอ่ยว่าเยี่ยงไรหรือ ? ”
“เมื่อยามที่คุณชายสวีเอ่ยว่า มีเพียงลมในฤดูใบไม้ผลิ จันทราในฤดูใบไม้ร่วง ดอกไม้ในฤดูร้อนและหิมะในฤดูหนาวคอยอยู่เป็นเพื่อนยามที่ร่างถูกฝังลง สาวใช้นางนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า... คุณชายยังมีบ่าวนะเจ้าคะ บ่าวยินดีที่จะอยู่เป็นเพื่อนยามที่ร่างถูกฝังลงดิน”
จี้เยวี่ยเอ๋อรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาทันใด นางขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น เวลาผ่านไปชั่วครู่ถึงได้เอ่ยถามว่า “จวนที่อยู่ข้าง ๆ จวนสวียังมิมีผู้ใดซื้อใช่หรือไม่ ? ”
“น่าจะยังมิมีผู้ใดซื้อเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็จงไปซื้อเอาไว้ ! ”
“...คุณหนูเจ้าคะ อาจจะต้องใช้เงินถึง 500 ตำลึงเลยนะเจ้าคะ บัดนี้มีเงินมิเพียงพอ”
“อ้อ...เช่นนั้นก็จงไปขายที่ดินในหมู่บ้านไป่ฮวาสัก 60 หมู่ ! ”