ตอนที่ 45 วันเวลาที่สงบสุข
กลีบดอกท้อได้ร่วงหล่นลงมาจำนวนมิน้อย นั่นหมายความว่าฤดูใบไม้ผลิกำลังจะจากไปแล้ว
ในช่วงหลายวันมานี้ สวีเสี่ยวเสียนมิได้ออกไปข้างนอก เขากำลังอ่านตำรา
เขาอ่าน ‘บันทึกภูเขาต้าเฉินและแม่น้ำ’ จนจบแล้ว บัดนี้เขาพอจะเข้าใจคร่าว ๆ แล้วว่าตนเองอยู่ในตำแหน่งใด ซึ่งมิเหมือนกับชาติที่แล้วเลยสักนิด !
เพียงแค่ชื่อเมืองจำนวนมากในราชวงศ์ต้าเฉินก็มิเหมือนกับชื่อเมืองในชาติก่อนแล้ว อย่างเช่นเมืองหลวงฉางอัน อย่างเช่นเจียงหนาน ซูโจว หยางโจวและอื่น ๆ
เขตเหลียงอี้ตั้งอยู่ทางเหนือของรัฐเหลียง ขึ้นเหนือไปอีกเป็นแคว้นเว่ย ทางตะวันตกมีพรมแดนติดกับแคว้นหยุน... สวีเสี่ยวเสียนวาดแผนที่คร่าว ๆ ออกมาหนึ่งแผ่น ซึ่งมิค่อยสวยเท่าใดนัก
ราชวงศ์ต้าเฉินก่อตั้งมา 16 ปีแล้ว ภายในประเทศทั้งสี่ทิศถือว่าสงบสุข ทว่าที่ชายแดนกลับมีสงครามตลอดเวลา โดยเฉพาะชายแดนเป่ยเหลียงนี้
ภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดมาจากราชวงศ์เว่ย์เหนือ ซึ่งมีระยะห่างจากเขตเหลียงอี้ราวสามร้อยกว่าลี้ อีกทั้งทางเหนือยังมีจุดยุทธศาสตร์ทางการทหารเยี่ยงเมืองช่างหยางอยู่ สถานที่แห่งนั้นมีกองทัพชายแดนของราชวงศ์ต้าเฉินประจำการอยู่หนึ่งแสนกว่านาย
ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของราชวงศ์ต้าเฉินและราชวงศ์เว่ย์เหนือในตอนนี้ค่อนข้างจะซับซ้อนเล็กน้อย อีกด้านหนึ่งของเขตเหลียงอี้มีชาวเว่ย์เข้ามาทำการค้าจำนวนมาก ทว่าอีกด้านหนึ่งเหมือนว่าที่ชายแดนของทั้งสองประเทศจะอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด
โชคดีที่ความสัมพันธ์ของทั้งสองแคว้นในช่วงสองปีมานี้ คลี่คลายลงไปบ้างแล้ว เอ่ยกันว่าทั้งสองฝ่ายต่างข่มกลั้นอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง จึงทำให้การปะทะในแนวหน้าลดน้อยลงไปมากนัก
นี่คือข้อเท็จจริงหาใช่ประวัติศาสตร์แต่อย่างใด ทว่าคล้ายกับราชวงศ์ถังในอดีตเป็นอย่างมาก เพียงแต่สวีเสี่ยวเสียนมั่นใจว่าที่นี่มิใช่ราชวงศ์ถังอย่างแน่นอน เพราะวงศ์ตระกูลของเชื้อพระวงศ์ในปัจจุบันมิใช่หลี่ และมิมีผู้คนที่ยอดเยี่ยมเหล่านั้นด้วยเช่นกัน
เอาเถิด...ในฐานะเจ้าหน้าที่บรรเทาความยากจนผู้หนึ่ง สวีเสี่ยวเสียนต้องยอมรับว่าตนนั้นมิรู้อันใดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เลย
เขาวางพู่กันในมือลง จากนั้นก็เก็บแผนที่แผ่นนั้นลงไปในกระเป๋าอกเสื้อ ลุกขึ้นยืนและเดินออกไปจากศาลาริมน้ำเซียนหยุน
เขาควรจะใช้ชีวิตอย่างสบายใจ การทำศึกสงครามมิได้เกี่ยวอันใดกับเขาเลยแม้แต่น้อย หากราชวงศ์เว่ย์เหนือสามารถยึดครองเมืองช่างหยางได้แล้ว... ม้าชราตัวนั้นต้องปลดเกษียณแล้ว จำต้องซื้อม้าหนุ่มฝีเท้าดีมาสักตัว เมื่อถึงเวลาจะได้วิ่งเร็วขึ้นอีกสักหน่อย
แสงสุริยาสาดส่องมาที่ลาน ฉางเหว่ยนอนอยู่บนพื้นเพื่ออาบแดด ราวกับว่ามันยอมรับชะตากรรมของตนเองได้แล้ว หลายวันมานี้มันจึงมิเห่าไปเรื่อยอีก เมื่อมันเห็นผู้เป็นเจ้าของ มันก็ส่ายหางอย่างรวดเร็ว
ราวกับว่าเจ้าสุนัขนี่จะหมกมุ่นและหลงใหลในกระดูกเสียเต็มประดา มันแทะทุกวันด้วยฟันที่แข็งแรง
จือรุ่ยกำลังนั่งปักผ้าอยู่ใต้ต้นกุ้ยฮวาที่ส่งกลิ่นหอมรัญจวนไปทั่วบริเวณ ส่วนหลายฝูกำลังเล็มกิ่งต้นไม้ที่กระจัดกระจายในลาน ช่างเป็นวันเวลาที่สงบสุข อบอุ่นและกลมเกลียวเป็นหนึ่งเสียจริง
นี่คือช่วงเวลาที่สวีเสี่ยวเสียนชื่นชอบ เขาย้ายเก้าอี้ไปนั่งข้าง ๆ จือรุ่ย จือรุ่ยตื่นตกใจจนสดุ้งโหยง เข็มจึงทิ่มเข้าที่ปลายนิ้วของนาง “ไอหยา... ! ”
จือรุ่ยสะบัดมือไปมา จากนั้นก็ยกขึ้นมามอง เห็นว่ามีเลือดไหลซิบที่ปลายนิ้ว นางจึงนำนิ้วโป้งยัดเข้าไปในปากแล้วดูด พลางลอบมองไปทางคุณชาย สวีเสี่ยวเสียนกำลังยิ้มกริ่ม
“จือรุ่ย”
“เจ้าคะ”
“คดีนั้น ในตอนท้ายเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“อ่า...มีประกาศออกมานานแล้วเจ้าค่ะ คืนวันแต่งงานของหยางชิงฉวนบุตรชายของหยางหยวนเหว่ย... หรือก็คือวันที่สองเดือนสาม หลังจากที่งานเลี้ยงเลิกราก็ได้เกิดหายนะขึ้นที่ห้องหอ ฟางซู่คืออดีตสหายสนิทร่วมชั้นของหยางชิงฉวน เรือนของเขาตั้งอยู่ที่ตลาดฝั่งตะวันตกซึ่งเป็นร้านขายของชำ”
“ที่ตลาดฝั่งตะวันตกเจ้าสาวมีชื่อเสียงค่อนข้างมิดี ฟางซู่ผู้นี้ก็เคยได้ยินมาบ้าง ในคืนนั้นเขาดื่มค่อนข้างมาก จึงอดมิได้ที่จะเล่าเรื่องนี้ให้กับหยางชิงฉวนฟัง”
“คุณชายหยางผู้นั้นรับมิได้ จึงมิยินยอมที่จะเข้าห้องหอ ผลลัพธ์ก็คือ...พระโง่เขลาแห่งวัดชิงหลงรูปนั้นได้ปีนกำแพงเข้าไปแล้วก็...” ใบหน้าของจือรุ่ยแดงระเรื่อขึ้นมาทันใด นางเอ่ยด้วยความเขินอายขึ้นมาอีกครา “เจ้าสาวถูกพระรูปนั้นข่มขืน พระรูปนั้นถือว่าสมควรตายเจ้าค่ะ ในยามที่เขากำลังจะออกไป เจิ้งถูฟูก็ได้ปีนกำแพงเข้ามาเช่นกัน ในอดีตเจิ้งถูฟูมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างซับซ้อนกับเจ้าสาวมาก่อน เจิ้งถูฟูในคืนนั้นก็ดื่มไปมากเช่นกัน ทั้งยังนำมีดสับหมูไปด้วยหนึ่งเล่ม”
สวีเสี่ยวเสียนชะงักงัน “งานแต่งงานเจิ้งถูฟูเอามีดสับหมูไปทำอันใดกัน ? ”
“เขาได้วางแผนเอาไว้แล้วเจ้าค่ะ เขาต้องการสังหารเจ้าสาว เพราะเขาเป็นพ่อหม้าย เจ้าสาวผู้นั้นเคยตกปากรับคำว่าจะแต่งงานกับเขา แต่คาดมิถึงว่านางจะเปลี่ยนใจ”
“ไอหยา...เจิ้งถูฟูได้พบเจอกับพระรูปนั้นเข้าพอดี ดังนั้นจึงสังหารพระรูปนั้น แล้วนำไปโยนลงในทะเลสาบฉายหยุนใช่หรือไม่ ? ”
“เจ้าค่ะ เป็นเช่นนั้น”
“แล้วเกิดอันใดขึ้นกับเจ้าแซ่ฟางนั่นกัน ? ”
“คนแซ่ฟางผู้นั้น หลังจากที่เมาจะกลายเป็นคนมักมาก เขาหลงใหลในความสวยของเจ้าสาว จึงย่อมไปยังห้องหอหลังจากที่ฝ่ายเจ้าบ่าวเมาแล้ว ทว่าสิ่งที่เขาได้เห็นก็คือโลหิตที่เจิ่งนองเต็มพื้นและเจ้าสาวที่แขวนคอไปแล้ว เขาจึงเกิดความกลัวขึ้นมา และในตอนที่กำลังจะออกไป คาดมิถึงว่าฝ่ายเจ้าบ่าวที่สร่างเมาแล้วจะเดินเข้ามา”
“เจ้าบ่าวได้เห็นโศกนาฏกรรมในห้องหอ จึงสร่างเมาด้วยความตื่นตกใจและมั่นใจว่าคนแซ่ฟางผู้นั้นคือฆาตกร ฟางซู่มิได้เอ่ยแก้ตัวอันใดออกไป ทั้งสองจึงลงไม้ลงมือต่อกัน คนแซ่ฟางคว้านเจอมีดสับหมูเล่มนั้นของเจิ้งถูฟูที่ทิ้งเอาไว้ได้ หลังจากสังหารเจ้าบ่าวเสร็จแล้ว เขาจึงตัดศีรษะของเจ้าบ่าวไปด้วย”
“หลังจากที่เจิ้งถูฟูนำศพพระรูปนั้นไปโยนทิ้งทะเลสาบฉายหยุนเสร็จแล้ว เขาก็พลันนึกขึ้นมาได้ว่าตนเองลืมมีดหั่นหมูไว้ที่ห้องหอ ดังนั้นเขาจึงลอบกลับไปอีกครา เห็นว่าเจ้าบ่าวและเจ้าสาวต่างก็สิ้นใจทั้งหมดแล้ว มีดก็หามิเจอเช่นกัน เรื่องก็เป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ”
เรื่องราวมิได้ซับซ้อน สวีเสี่ยวเสียนมิได้คิดถึงเรื่องยุ่งยากนี้อีก ดังนั้นจึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า “แล้วหาศีรษะของเจ้าบ่าวผู้นั้นพบหรือไม่ ? ”
จือรุ่ยส่ายหน้าพรืด “คนแซ่ฟางผู้นั้นเอ่ยว่าโยนทิ้งไปนอกเมือง ทว่ายังหามิพบ คาดว่าน่าจะถูกสุนัขคาบไปแล้ว”
ทันใดนั้นสวีเสี่ยวเสียนก็ขมวดคิ้วมุ่น มีบางอย่างที่มิสมเหตุสมผล แต่เขาก็มิได้ให้ความสนอกสนใจแต่อย่างใด ตนหาใช่เจ้าหน้าที่ไม่ เรื่องนี้มิได้เกี่ยวข้องกับตนเลยแม้แต่น้อย
นายอำเภอจี้ไขคดีได้ จึงมิได้มาที่จวนเพื่อคะยั้นคะยอคืนสัญญาหมั้นหมายให้เขาอีก เขาได้ทำสำเร็จตามเป้าหมายของตนเองแล้ว
เขานอนอยู่บนเก้าอี้เอน แสงสุริยาส่องผ่านใบไม้สีเขียวสดสาดกระทบกับใบหน้า จึงทำให้ค่อนข้างคันอยู่เล็กน้อย
เขาจึงยกมือขึ้นมาเกาเบา ๆ ทันใดนั้นก็นึกถึงเป้าหมายระยะสั้นของตนขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามว่า “จือรุ่ย...ยังมิมีประกาศขายที่ดินอีกหรือ ? ”
“ต้องไปถามพ่อค้านายหน้าเจ้าค่ะ...” จือรุ่ยหันหน้าไปมองคุณชาย ด้วยดวงตาที่เป็นประกาย “คุณชาย...คุณชายจะซื้อที่ดินจริงหรือเจ้าคะ ? ”
“จริงสิ ! หาเงินไปพลางซื้อที่ดินไปพลาง ซื้อที่ดินสักร้อยหมู่ พวกเราก็น่าจะนั่งกินนอนกินอย่างสบาย ๆ ได้ชั่วชีวิตแล้ว”
ทันใดนั้นใบหน้าของจือรุ่ยก็แดงเรื่อขึ้นมาทันใด พวกเรา...คุณชายกำลังเกี้ยวข้าอยู่ใช่หรือไม่ ?
“มิสามารถนั่งกินนอนกินสมบัติเก่าจนหมดได้...ประเดี๋ยวข้าไปถามพ่อค้านายหน้าให้ดีหรือไม่ ? ”
สวีเสี่ยวเสียนมิได้สนใจที่จือรุ่ยมิได้แทนตนเองว่าบ่าวอีกต่อไป นางใช้คำว่า ‘ข้า’ แทน
ในช่วงหลายวันมานี้ จือรุ่ยคิดสะระตะไปต่าง ๆ นานา
จือรุ่ยรู้สึกว่าทุกคนต่างก็เป็นผีเสื้อ เพียงแค่มีสีมิเหมือนกันก็เท่านั้น ภายภาคหน้าการปรนนิบัติเขาก็ยังเป็นเรื่องที่พึงกระทำ ทว่ามิสามารถแทนตนเองว่าบ่าวได้อีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นในจวนนี้ก็หาได้มีสัญญาทาสของตนแต่อย่างใด ปีนั้นตนถูกนายท่านเลือกมาที่จวนสวีแห่งนี้ได้เยี่ยงไรก็มิอาจรับรู้ได้ ดังนั้นจึงมิสามารถเรียกตนเองว่าบ่าวได้อย่างเต็มปาก
และมิสามารถเรียกเขาในฐานะคุณชายได้อีกแล้ว เช่นนั้น...เช่นนั้นสถานะจะแตกต่างกันจนเกินไป
“สวีเสี่ยวเสียน”
สวีเสี่ยวเสียนชะงักงัน ริมฝีปากบางของจือรุ่ยเม้มลงเล็กน้อย นางเอ่ยด้วยสีหน้าเขินอายว่า “ข้า...ข้ามิอยากเป็นสาวใช้ของท่านแล้ว”