ตอนที่ 46 ซูเฟย
“ข้า...ข้ามิอยากเป็นสาวใช้ของท่านแล้ว”
เมื่อสวีเสี่ยวเสียนได้ยินดังนั้นก็รีบลุกพรวดขึ้นมาจากเก้าอี้ทันที
เขาเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของจือรุ่ย จือรุ่ยตั้งใจจะเอนศีรษะ ทว่าเมื่อนางเอนศีรษะไปเพียงเล็กน้อย กลับถูกสวีเสี่ยวเสียนใช้สองมือจับให้ตั้งตรงดังเดิม
สวีเสี่ยวเสียนจ้องมองใบหน้าของจือรุ่ยอย่างละเอียดถี่ถ้วน ใบหน้าของนางแดงเรื่อ ทว่ามิได้เป็นไข้ วันนี้นางเป็นอันใดไป ?
“ข้าให้ค่าตอบแทนเจ้าน้อยไปเยี่ยงนั้นหรือ ถึงได้อยากจะไปจากข้า ? ”
จือรุ่ยรู้สึกอึดอัดใจมากยิ่งนัก “ข้า...”
“เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ นับตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป ข้าจะขึ้นเงินเดือนให้เจ้าเดือนละ 100 อีแปะ ข้ารู้ดีว่าเจ้าคงอยากจะซื้อผงชาดที่หอติ้งฟาง แต่ละคราที่เดินทางผ่านสถานที่แห่งนั้น สายตาของเจ้าเอาแต่จ้องมอง บัดนี้ข้าพอมีเงินบ้างแล้ว ยามเว่ยข้าจะพาเจ้าไปซื้อ ถือว่าข้ามอบให้เจ้าเป็นของขวัญก็แล้วกัน”
“ข้า... ! ”
“มิต้องเอ่ยอันใดแล้ว พวกเราสองคนนับว่ารู้จักกันมาตั้งแต่ยังเยาว์ อีกทั้งยังเติบโตมาด้วยกัน เมื่อตอนยังเยาว์ข้านั้นกลัวอากาศหนาว เจ้าก็มักจะเพิ่มความอบอุ่นบนเตียงให้แก่ข้า เรื่องราวเหล่านี้ข้าจดจำได้ดี เจ้าอย่าไปจากข้าเลย ในใจของข้า เจ้าเป็นเหมือนน้องสาวแท้ ๆ ไม่สิ ! สนิทกว่าน้องสาวแท้ ๆ เสียอีก หากมิใช่เพราะเจ้าคอยดูแลข้า ข้าจะมีชีวิตมาถึงตอนนี้ได้หรือ ? ”
“ข้า... ! ”
“อย่าได้คิดจะไปจากข้าเลยเชียว หากมีสิ่งใดที่เจ้าต้องการก็จงร้องขอมาเถิด ข้าจะทำตามที่เจ้าต้องการอย่างแน่นอน เอาล่ะ ! นี่ใกล้จะยามอู่แล้ว ไปจัดเตรียมอาหารเถิด ข้าจะไปอ่านตำราสักหน่อย”
เมื่อเอ่ยจบ สวีเสี่ยวเสียนก็ลุกขึ้นยืนแล้วขยี้ไปที่ศีรษะของจือรุ่ย ก่อนจะเดินจากไป
ล้อเล่นหรือเยี่ยงไรกัน !
หากว่าจือรุ่ยจากไปจริง ๆ ข้า หลายฝูและสุนัขอีกหนึ่งตัว อีกทั้งยังเป็นสุนัขตัวผู้ อาศัยอยู่ในเรือนแห่งนี้คงจะมืดมนน่าดู !
หากผีเสื้อที่บินอยู่ท่ามกลางดอกไม้หายไปอย่างกะทันหัน สวีเสี่ยวเสียนรู้สึกว่าตนมิสามารถทำใจได้
จือรุ่ยร้องไห้ออกมาโดยมิมีน้ำตา ข้ามิได้คิดจะจากไปที่ใดสักหน่อย ข้าเพียงแค่ เพียงแค่... ปัดโถ่ ! จือรุ่ยกัดฟันกระทืบเท้า น้องสาวเยี่ยงนั้นหรือ ? ผู้ใดอยากจะเป็นน้องสาวของท่านกัน !
เขา เขาผู้นี้ มีปัญหาทางความคิดจริง ๆ ด้วย !
จือรุ่ยจ้องมองไปทางสวีเสี่ยวเสียนที่เดินจากไปพลางเบ้ปากน้อย ๆ ของนาง จนกระทั่งร่างนั้นลับตาไป นางถึงได้สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่แล้วถอนหายใจออกมา มองดูแล้วคุณชายคงมิได้คิดเป็นอื่น ทว่าเป็นนางเองที่คิดมากไปเอง โชคดีเสียเหลือเกินที่นางมิได้เอ่ยออกไปตรง ๆ มิเช่นนั้นจะขายหน้าเพียงใด ?
จือรุ่ยรู้สึกผิดหวังทว่าก็รู้สึกโชคดีไป การที่ได้อยู่ข้างกายของคุณชายต่อไปถือเป็นเรื่องดี ทว่า...ทว่าแต่ละวันเขาเติบโตขึ้นทุกวัน ท้ายที่สุดแล้วสักวันหนึ่งเขาก็ต้องแต่งงาน เมื่อถึงเวลาที่เขาพาภรรยากลับมา ข้า...ข้าควรทำเยี่ยงไรดี ?
ฤดูใบไม้ผลิใกล้จะมาเยือนเต็มทีแล้ว หญิงสาวอายุ 15 ปีพึ่งจะแตกเนื้อสาวและมีความรู้สึกรักใคร่ หากว่าสวีเสี่ยวเสียนยังคงเป็นหนอนหนังสือเหมือนก่อนหน้านั้น จือรุ่ยคงมิเอาความรู้สึกของนางไปไว้บนตัวของเขาหรอก
ทว่าสี่เดือนมานี้คุณชายเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทำให้นางรู้สึกว่าคุณชายเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขากลายเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใสสดชื่นและเป็นกันเอง อีกทั้งยังคิดริเริ่มทำกิจการของตนเอง
เมื่อเขาเป็นเช่นนี้จึงจะนับว่าเป็นคนปกติ ส่วนก่อนหน้านั้นเขาดูเหมือนเทพเจ้าที่มิต้องกินต้องดื่มและดูเยือกเย็น อีกทั้งยังปฏิเสธการไปมาหาสู่ของผู้คนทุกคน
“ข้ามิใช่สาวใช้ของเจ้าสักหน่อย ! เหตุใดถึงต้องให้ข้าทำอาหารด้วยเล่า ? ”
จือรุ่ยโมโหจนต้องกระทืบเท้า จากนั้นก็ละสายตากลับมา บังเอิญหันไปเห็นสวนดอกไม้ที่มีผีเสื้อสองตัวบินวนเวียนอยู่
ผีเสื้อสีขาวตัวหนึ่งและสีเหลืองตัวหนึ่ง
จือรุ่ยจ้องมองไปที่ผีเสื้อสองตัวนั้นแล้ววิ่งเข้าไป นางใช้ชายเสื้อของตนเองไล่ผีเสื้อสองตัวนั้นออกไปพร้อมกับบ่นว่า “ผู้ใดใช้ให้พวกเจ้ามาบินแถวนี้กัน ! ช่างไร้ยางอายเสียจริง ! ผู้ใดใช้ให้พวกเจ้ามาอวดความรักต่อกันเช่นนี้ ! มิรู้หรือเยี่ยงไรว่าจะทำให้ตายเร็วกว่าเดิม ? ”
ในวันนี้มีควันไฟลอยโขมงออกมาจากโรงครัว อาหารบนโต๊ะดูเหมือนจะไหม้ไปเล็กน้อยและรสชาติก็เค็มยิ่งนัก น้ำแกงก็ไร้รสชาติ สวีเสี่ยวเสียนจ้องมองไปทางจือรุ่ยพลันรู้สึกว่าวันนี้นางดูเหมือนจะมีเรื่องมิสบายใจ หรือว่านางจะไปแอบชอบชายหนุ่มคนใดในเขตเหลียงอี้เข้ากัน ?
หลายฝูโยนกระดูกชิ้นหนึ่งไปให้ฉางเหว่ย ฉางเหว่ยกัดไปเพียงหนึ่งคำก็คายออกมาแล้วทำท่าขยะแขยง ดูเหมือนมันอยากบอกว่า...เหตุใดกระดูกในวันนี้จึงมิเหมือนเดิมกัน ?
“ดูสิ ! แม้แต่สุนัขยังมิกินเลย คงมิใช่เพราะต่อมรับรสของพวกเรามีปัญหาหรอก จือรุ่ย...”
“อยากกินก็กิน มิอยากกินก็วางเอาไว้ ! ”
หลายฝูอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ ไม่สิ ! วันนี้จือรุ่ยเป็นอันใดไป ?
“มองข้ามีอันใด ? วันนี้ข้าอารมณ์มิดี ! ”
หลายฝูรีบละสายตากลับคืนมา จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ สวีเสี่ยวเสียนเหลือบมองไปทางจือรุ่ยแล้วนึกในใจว่า นางอายุได้ 15 ปีแล้ว คาดว่าคงจะมีรอบเดือนเป็นแน่
“จือรุ่ยดื่มน้ำอุ่นให้มาก ๆ อย่าได้ไปสัมผัสน้ำเย็นล่ะ”
“หลายฝู ช่วงนี้จือรุ่ยมิสบายตัว เจ้ามาทำกับข้าวแทน”
หลายฝู “... ! ”
เยี่ยงไรเขาก็เป็นเพียงแค่เจ้าหน้าที่บรรเทาความยากจนคนหนึ่งเท่านั้น จะไปเข้าใจความคิดของหญิงสาวได้เยี่ยงไรกัน
......
......
ณ ศาลาริมน้ำเซียนหยุน
จือรุ่ยจ้องมองไปทางสวีเสี่ยวเสียนด้วยสายตาประหลาดใจ
นางมองเห็นสวีเสี่ยวเสียนหยิบกรรไกรขึ้นมา ทาบไปบนผ้าฝ้าย จากนั้นก็ทำการตัดมัน เขาตัดมันออกมามิเป็นรูปเป็นร่าง ทำให้ผ้าฝ้ายผืนนั้นต้องเสียไป ช่างล้างผลาญเสียจริง !
เขาคิดจะทำอันใดกันแน่ ?
“คุณชายเจ้าคะ”
“อืม...”
“ข้าผิดไปแล้ว ในวันนี้ข้ามิควรโมโหและระบายอารมณ์ออกมาเช่นนั้น”
ใบหน้าท่าทางของจือรุ่ยมิต่างไปจากนักเรียนที่ทำผิดและรอฟังคำตำหนิติเตียนจากอาจารย์อย่างนอบน้อม
สวีเสี่ยวเสียนเงยหน้ามองดูนางแล้วยิ้มออกมาบาง ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “มิเป็นไรหรอก เจ้ามิได้ทำอันใดผิดสักหน่อย เป็นเพราะข้าเองที่มิได้ใส่ใจเจ้ามากนัก”
ประโยคนี้เปรียบเสมือนกับแสงสุริยาอันอบอุ่นในเดือนสี่ที่สาดส่องมายังหัวใจของจือรุ่ย ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความสุข คิ้วและดวงตาของนางโค้งขึ้น คุณชายมิเพียงแต่มิตำหนินางเท่านั้น อีกทั้งยังเข้าอกเข้าใจดูแลนาง การที่เรียกเขาว่าคุณชายดูจะสะดวกมากกว่า ดูใกล้ชิดกว่าการเรียกเขาว่าสวีเสี่ยวเสียนเสียอีก
หัวใจอันอบอุ่นของหญิงสาวที่ถูกแสงสุริยาสาดส่องมาได้เกิดรากงอกขึ้นใหม่อีกครา ดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
นางจ้องมองคุณชายของตนที่กำลังยุ่งด้วยสายตาชื่นชม นางรู้สึกว่าหากชีวิตสามารถดำเนินไปได้เช่นนี้ก็คงจะดีมิน้อย
ทว่านั่นมันเป็นไปมิได้ เนื่องจากจวนสวีมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่เป็นผู้สืบทอดตระกูล เขาจำต้องออกหน่อแตกผลให้แก่จวนสวีต่อไป
เฮ้อ...หากว่าเมื่อมิกี่วันก่อนนี้หมอเทวดาฮัวตรวจโรคให้แก่เขาก็คงจะดี เพื่อเป็นการยืนยันว่าอาการทางสมองของเขาเป็นเรื่องจริง เมื่อเป็นเช่นนั้นก็คงมิมีสตรีคนใดในใต้หล้ากล้าแต่งงานกับเขาแล้ว
เช่นนั้นเขาก็จะตกเป็นของข้า !
หึ ๆ ๆ !
“เจ้ายิ้มอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เอ่อ...มิมีอันใดเจ้าค่ะ คุณชายกำลังทำสิ่งใดอยู่หรือเจ้าคะ ? ”
ผ้าฝ้ายที่ขนาดพอดีกับฝ่ามือพับไปพับมาถึงห้าชั้น ส่วนปลายมีเชือกผูกทั้งสองข้าง และสวีเสี่ยวเสียนกำลังเย็บเจ้าสิ่งนี้อยู่
“สิ่งนี้น่ะหรือ ? มันเรียกว่าซูเฟย”
“ซูเฟยเยี่ยงนั้นหรือ ? ได้ยินมาว่าที่เจียงหนานในตระกูลซู มีสตรีนางหนึ่งที่มีความสามารถมากนักหนา นางมีนามว่าซูเฟย คุณชายน่าจะเคยได้ยินนามของนางมาก่อน”
สวีเสี่ยวเสียนชะงักงันเล็กน้อย นี่มัน...มีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ด้วยหรือ ?
“มิใช่ ! ซูเฟยผู้นั้นมิใช่ซูเฟยนี้ เอาล่ะ...เป็นอย่างนี้น่ะจือรุ่ย หญิงสาวเมื่อถึงเวลาอันควรแล้วร่างกายจะมีเลือดไหลออกมา ในจวนของเราไร้สตรีที่เป็นผู้ใหญ่คอยสั่งสอนเจ้า ดังนั้นเจ้าอาจจะมิรู้ เลือดที่ไหลออกมาเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติของร่างกาย เจ้ามิต้องกังวลไป ทว่าต้องรักษาสุขภาพจิตให้ดี ทำให้ตนเองอารมณ์ดีอยู่เสมอ”
แท้จริงแล้วสวีเสี่ยวเสียนยังอยากกำชับนางว่าให้ดูแลรักษาความสะอาดให้ดี แต่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่านางอาบน้ำทุกวัน สุขอนามัยในด้านนั้นคงจะมิมีปัญหา
ทว่าจือรุ่ยกลับเบิกตากว้าง นางเข้าใจความหมายของเขาเป็นอย่างดี ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบผ้าผืนนั้นมา ข้า...รอบเดือนของข้าผ่านไปแล้ว !
“เจ้าจงสวมใส่มันเถิด อีกประเดี๋ยวพวกเราจะออกไปซื้อผงชาดที่หอติ้งฟางกัน และไปซื้อหนังสือสักสองสามเล่ม”