ตอนที่ 47 พบเจอโดยบังเอิญ
ม้าชราลากรถม้าผุพังไปตามถนนอย่างช้า ๆ ภายในรถม้า ใบหน้าที่แดงก่ำของจือรุ่ยค่อย ๆ จางลงไปแล้ว นางยังคงรู้สึกมิสบายใจอยู่เล็กน้อย
คุณชายเป็นนักปราชญ์ คาดมิถึงว่าเขาจะสามารถทำสิ่งของที่สตรีใช้กันออกมาได้ด้วย ทั้งยังตั้งชื่อให้ว่าซูเฟย...มันคือผ้ารอบเดือนมิใช่หรือ ?
เหตุใดเขาถึงรู้จักของสิ่งนี้ได้กัน ?
จือรุ่ยลอบมองสวีเสี่ยวเสียน หรือว่าเขาจะเคยเห็นข้าเปลี่ยนของสิ่งนี้มาก่อนเยี่ยงนั้นหรือ ?
ไอหยา...น่าอายเกินไปแล้ว !
ใบหน้าของจือรุ่ยแดงระเรื่อขึ้นมาอีกครา
สวีเสี่ยวเสียนดึงสายตากลับมามองใบหน้าของจือรุ่ย เขานึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก จึงเอ่ยถามออกไปว่า “เจ้า...ร้อนใช่หรือไม่ ? ”
“เอ่อ...เล็กน้อยเจ้าค่ะ”
สวีเสี่ยวเสียนจึงเลิกผ้าม่านรถม้าขึ้นอย่างระมัดระวัง ทำให้ลมฤดูใบไม้ผลิพัดเข้ามา โบกพัดผมยาวสลวยของจือรุ่ย ปลายผมของนางพัดไปกระทบกับใบหน้าของสวีเสี่ยวเสียน เขาจึงยกมือขึ้นเกาเพราะรู้สึกคันเล็กน้อย “ประเดี๋ยวเมื่อไปที่หอติ้งฟาง หากเจ้าชอบสิ่งใดก็สามารถซื้อได้เลย”
จือรุ่ยนึกดีใจ นางจึงเงยหน้าขึ้นมา จากนั้นก็จ้องมองสวีเสี่ยวเสียนแล้วเอ่ยด้วยท่าทีจริงจังว่า “ข้ารู้สึกว่าผงชาดนั้นมิจำเป็น คุณชาย...พวกเราไปร้านยาตระกูลโจวเพื่อสั่งยาดีหรือไม่เจ้าคะ”
เจ้ากำลังคิดอันใดอยู่กัน ?
“บัดนี้ก็กลางเดือนสี่แล้ว ข้ารู้สึกว่าคุณชายควรจะหยิบตำราขึ้นมาอ่านได้แล้ว ท้ายที่สุด... ท้ายที่สุดแล้วทุกอย่างล้วนด้อยค่ามีเพียงนักปราชญ์เท่านั้นที่อยู่สูง หากคุณชายไปสอบจู่เหริน ต่อให้มิได้เป็นขุนนาง ทว่าหากมีสถานะจู่เหริน เมื่อซื้อที่ดินก็มิต้องเสียภาษี”
สวีเสี่ยวเสียนชะงักงัน “จู่เหรินมีสวัสดิการเช่นนั้นด้วยหรือ ? ”
จือรุ่ยรู้สึกว่าคุณชายควรทานยาได้แล้ว “ใช่เจ้าค่ะ มิเพียงแต่มิต้องเสียภาษีทุกชนิดเท่านั้น เมื่อพบเจอขุนนางอาวุโสก็มิจำเป็นต้องคุกเข่าด้วยเช่นกัน นอกเสียจากจะเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ... แน่นอนว่าย่อมมิมีทางได้เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิอยู่แล้ว แต่หากเจอพวกขุนนางขึ้นมาล่ะเจ้าคะ ? ”
“เอ่ยได้ว่าเมื่อมีสถานะเป็นจู่เหริน ในสายตาของผู้คนทั่วไปคุณชายถึงจะเป็นคุณชายอย่างแท้จริง ต่อให้อ่านหนังสือมากกว่าเดิมแต่มิมีสถานะก็เป็นได้เพียงแค่ชาวบ้านธรรมดา ๆ เท่านั้น”
“สถานะซิ่วไฉมิมีประโยชน์เลยหรือ ? ”
“มิมีประโยชน์เจ้าค่ะ ! ”
ดวงตาคู่โตที่เต็มไปด้วยความหวังของจือรุ่ยกะพริบปริบ ๆ ในความคิดของจือรุ่ย หากอาศัยพื้นฐานจากการตรากตรำมานานหลายปีของคุณชายแล้วทบทวนให้ดีอีกครา การสอบจู่เหรินก็มิน่าจะยากเย็นอันใด
คุณชายเป็นโรคประสาท เขามิสามารถเป็นขุนนางได้ แต่สามารถมีสถานะได้ คุณชายจำต้องสอบให้ได้เท่านั้น หลังจากนั้นค่อยปฏิเสธการเป็นขุนนาง
สวีเสี่ยวเสียนเพิ่งจะมองเห็นปัญหานี้อย่างจริงจัง สิ่งที่เรียกว่าชื่อเสียงดูเหมือนว่าจะมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ประโยชน์ที่จะได้ก็มั่นคงเช่นกัน... เขานึกย้อนความทรงจำอย่างถี่ถ้วน พบว่าสิ่งที่เจ้าของร่างเดิมเคยศึกษายังคงชัดเจนในความทรงจำ
การสอบระดับท้องถิ่นแห่งต้าเฉินแบ่งเป็นวิชาความรู้ทั่วไปและวิชาว่าด้วยระบบต่าง ๆ วิชาความรู้ทั่วไปจะจัดขึ้นทุกปีในต้นเดือนแปด ส่วนวิชาว่าด้วยระบบต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับความสุขขององค์จักรพรรดิ
การสอบระดับท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นที่ก้งย่วน1ของแต่ละรัฐ ก้งย่วนรัฐเหลียง... สวีเสี่ยวเสียนใคร่ครวญอย่างรอบคอบ เขายังคงจดจำตำแหน่งนั้นได้
ทว่าช่วงเวลาของการสอบนั้นค่อนข้างไร้สาระ การสอบมีทั้งหมด 3 สนาม หนึ่งสนามใช้เวลาสอบ 3 วัน ต้องใช้เวลาสอบทั้งหมด 9 วัน ! ทั้งยังสอบติดต่อกันอีกด้วย และผู้ที่เข้าร่วมสอบมิสามารถออกจากสนามสอบได้ !
ส่งข้อสอบก่อนได้ ทว่ามิสามารถออกไปก่อนได้ แม้แต่วันสุดท้ายที่สอบเสร็จแล้วก็มิอาจออกไปได้ จำต้องรอวันถัดไป หรือก็คือวันที่สิบเจ็ดเดือนแปดการสอบถึงจะจบลงโดยสมบูรณ์
เจ้าว่าในช่วงระหว่างนั้น ข้าจะทานอันใด ?
สามารถนำอาหารสำหรับ 9 วันเข้าไปได้ จนถึงขั้นสามารถนำอาหารสดเข้าไปทำอาหารที่ห้องได้อีกด้วย ! และสามารถมอบเงินให้ผู้คุมสอบไปซื้อมาให้ตนเองได้เช่นกัน !
ราชสำนักคิดมาแล้วรอบด้าน ! ภายในห้องรับรองมีการเตรียมถ่าน เทียน และ...ห้องน้ำให้อีกด้วย !
ถ่านสามารถนำมาใช้เพิ่มความอบอุ่น ต้มน้ำทำอาหารได้ แน่นอนว่าเทียนช่วยเพิ่มความสว่าง เรื่องการนอน...หากนำไม้กระดานสองแผ่นที่ใช้เป็นโต๊ะทำข้อสอบมาต่อกัน มันก็จะกลายเป็นเตียงขนาดเล็กหนึ่งตัว
ของเหล่านี้ถือว่าปกติ แต่ส่วนที่ไร้มนุษยธรรมมากที่สุดก็คือเรื่องขับถ่าย
ความสามารถของห้องเล็ก ๆ นี้ทรงพลังจนเกินไป มันรวมการกิน การดื่มและการนอนหลับเอาไว้ด้วยกัน !
ความรู้สึกนั้น...เพียงแค่ลองคิดดูยังขนลุกขนชันถึงเพียงนี้
อากาศในเดือนแปดจะเริ่มเย็น ดังนั้นจำต้องพกผ้าห่มไปด้วย เมื่อรวมกับอาหารและเครื่องดื่มภายในเก้าวัน แทบจะเหมือนกับการย้ายบ้านก็มิปาน
เหมือนกับการลี้ภัยอย่างแท้จริง !
สวีเสี่ยวเสียนสูดหายใจเข้าลึก เขารู้สึกว่าตนเองคงจะอยู่ที่ห้องนั้นได้มิเกินเก้าวัน
“ค่อยว่ากันภายหลังเถิด นี่เพิ่งจะเดือนสี่เท่านั้น ยังมีเวลาอีก 4 เดือน มิต้องรีบร้อนไปหรอก ! ”
ยังมิต้องรีบร้อนเยี่ยงนั้นหรือ ?
จือรุ่ยหันไปมองคุณชายอีกครา บัณฑิตในสำนักศึกษาจูหลินต่างก็กำลังฝึกฝนอย่างเอาเป็นเอาตาย ท่านมิรีบจริง ๆ หรือ ?
“ถึงแล้ว...พวกเราไปซื้อผงชาดกันเถิด”
รถม้าหยุดลงหน้าหอติ้งฟาง สวีเสี่ยวเสียนและจือรุ่ยเดินลงมาจากรถ ใบหน้าของหลายฝูเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ พวกเขาต่างก็เป็นคนใช้ในเรือนเหมือนกัน เหตุใดคุณชายถึงซื้อผงชาดที่แพงหูฉี่เช่นนั้นให้จือรุ่ยเล่า ?
เพราะนางเป็นสตรีเยี่ยงนั้นหรือ ?
พวกเขาละทิ้งหลายฝูที่น่าสงสารเฝ้ารถม้า ส่วนสวีเสี่ยวเสียนพาจือรุ่ยก้าวผ่านประตูใหญ่ของหอติ้งฟางเข้าไปด้านใน
สถานที่แห่งนี้เป็นหอผงชาดเพียงหนึ่งเดียวในเขตเหลียงอี้ กิจการของหอติ้งฟางย่อมขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
ตระกูลมั่งคั่งในเขตเล็ก ๆ ถือว่ายังมีอยู่บ้าง เหล่าฮูหยินและคุณหนูจากตระกูลใหญ่ต่างก็ชื่นชอบสินค้าของหอติ้งฟางเป็นอย่างมาก เพราะภายในหอติ้งฟางมีผงชาดที่นำมาจากเมืองหลวงฉางอัน
โจวรั่วหลานคุณหนูตระกูลมั่งคั่งแห่งร้านยาตระกูลโจวกำลังเลือกสินค้าที่เพิ่งมาถึงอยู่ที่ชั้นสอง ผู้ที่มากับนางก็ถือญาติผู้พี่เยี่ยงจูจ้งจี๋และซูผิงอัน ดังนั้นนางจึงลากจี้ซิงเอ๋อมาด้วยอีกคน
จี้ซิงเอ๋อที่สวมชุดแดงมิได้สนใจของเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย นางมิเข้าใจว่าเหตุใดพี่สาวและโจวรั่วหลานถึงชอบของสิ่งนี้นักหนากัน ?
ใบหน้าเดิมก็เนียนสวยอยู่แล้ว เหตุใดต้องลงผงชาดนี่ด้วยกัน ? เหตุใดต้องทำให้แก้มแดงด้วย ? เหตุใดต้องทาให้ปากแดงยิ่งขึ้นไปอีกกัน ? และเหตุใดต้องวาดคิ้วด้วยแปรงนั่นกัน ?
สวยงามอย่างธรรมชาติไร้มลทินมิใช่ว่าสวยกว่าหรอกหรือ ?
ของเหล่านี้แพงมากยิ่งนัก สตรีที่ยากจนเยี่ยงจี้ซิงเอ๋อย่อมมิมีปัญญาซื้ออยู่แล้ว
นางจ้องมองโจวรั่วหลานที่กำลังเลือกของเล็ก ๆ สามอย่างนั้น คิดเป็นเงิน 12 ตำลึง ครานี้นางช่วยพี่สาวไปซื้อสินค้ามาจากรัฐเหลียง พี่สาวจึงให้ค่าจ้างมา 5 ตำลึง ดังนั้นในกระเป๋าตอนนี้จึงมีเงินเพียง 8 ตำลึงกับ 8 อีแปะเท่านั้น นางอยากซื้อกระบี่เล่มนั้นจากร้านอาวุธ ทว่ายังขาดอีก 20 ตำลึง
เดิมทีควรจะเป็นพี่สาวและโจวรั่วหลานที่เดินทางมายังหอติ้งฟาง ทว่าพี่สาวกำลังยุ่งอยู่กับการจัดสินค้าเข้าใหม่ภายในร้านหนังสือซานเว่ย ตนจึงถูกโจวรั่วหลานลากมาแทน
จี้ซิงเอ๋อที่เบื่อหน่ายอย่างเต็มที่เดินไปยังห้องโถงกลางของหอติ้งฟาง โถงกลางชั้นสองนั้นว่างเปล่า ตรงระเบียงสามารถมองเห็นบางส่วนของชั้นหนึ่งได้ด้วย
นางวางข้อศอกไปกับราวระเบียง พลางใช้มือเท้าคาง สายตามองลงไปด้านล่างมิได้เพ่งไปที่ใดเป็นพิเศษ นางกำลังคิดถึงสวีเสี่ยวเสียน !
เจ้าคนประสาทผู้นั้น ช่วยท่านพ่อไขคดีได้โดยแท้จริง เมื่อวานที่กลับมานางได้ยินพี่สาวพร่ำเพ้อว่าสวีเสี่ยวเสียนน่าทึ่งเป็นอย่างมาก นางออกจากเขตเหลียงอี้ไปเพียงสิบวันเท่านั้น เหตุใดเขาถึงได้ทำเรื่องน่าทึ่งอีกแล้วกัน ?
จี้เยวี่ยเอ๋อน่าชังนัก นางแสร้งสร้างสถานการณ์ขึ้นมา จนถึงบัดนี้ก็ยังมิยอมเอ่ยออกมาว่าเหตุใดสวีเสี่ยวเสียนถึงน่าทึ่ง
แต่เมื่อเห็นท่าทีมีความสุขของจี้เยวี่ยเอ๋อ ดูเหมือนว่า...ดูเหมือนว่านางจะมีใจให้กับสวีเสี่ยวเสียน มิเช่นนั้นนางจะทำท่าทางดีใจโง่ ๆ เช่นนั้นทั้งวันเพื่อเหตุอันใดกัน ?
ใช่ ! คาดมิถึงว่านางจะขายที่ดิน !
ถึงแม้ที่ดินเหล่านั้นจะเป็นจี้เยวี่ยเอ๋อที่หามาได้ ทว่านางก็มิได้ขาดแคลนเงินแต่อย่างใด แล้วนางจะขายที่ดินเพื่ออันใดกัน ?
หรือว่านางคิดจะหนีไปกับสวีเสี่ยวเสียน ?
เหอะ ! ข้ามิมีทางให้แผนชั่วของจี้เยวี่ยเอ๋อสำเร็จผลเป็นแน่ !
สวีเสี่ยวเสียนเป็นโรคประสาท หากพี่สาวของตนแต่งงานกับเขาจริง ๆ นางจะมีความสุขเยี่ยงนั้นหรือ ?
ต่อให้มี... แล้วนางจะสามารถอยู่ได้นานเพียงใดกัน ?
สวีเสี่ยวเสียนต้องตายตายต่อหน้าพี่สาวเป็นแน่ แล้วชีวิตในภายภาคหน้าของพี่สาวจะเป็นเยี่ยงไรต่อไป ?
ต้องหาหนทางให้จี้เยวี่ยเอ๋อล้มเลิกความคิดที่น่ากลัวนี้ไปให้ได้ จะทำเยี่ยงไรดี ?
ในตอนที่จี้ซิงเอ๋อร์กำลังคิดอันใดไปเรื่อยเปื่อย สายตาของนางก็แข็งค้างขึ้นมาทันใด นางพบคนที่คุ้นเคยผู้นั้น !
สวีเสี่ยวเสียน !
เขามาทำอันใดที่นี่กัน ?
อ่า...ข้างกายเขามีสตรีอยู่หนึ่งนาง !
เจ้าสุนัขนี่ กินในถ้วยแต่มองในกระทะ2 !
ทันใดนั้นตาของจี้ซิงเอ๋อก็เกิดเปลวไฟขึ้นมาในทันใด
1ก้งย่วน เป็นสถานที่จัดสอบขุนนางในภูมิภาค เพื่อคัดเลือกบุคลากรไปทำงานราชการในสมัยก่อน
2กินในถ้วย แต่มองในกระทะ เป็นสำนวนที่ใช้กล่าวถึง ผู้ที่มิรู้จักพอ โลภ หรือการได้อะไรอย่างหนึ่งแล้วแต่ในขณะเดียวกันก็อยากได้ที่มันดีกว่าหรือยิ่งใหญ่กว่า คล้าย ๆ กับสำนวนไทยที่ว่า ได้คืบจะเอาศอก ได้ศอกจะเอาวา