ตอนที่ 48 เลือดออก
จี้ซิงเอ๋อรู้สึกว่าอารมณ์ของนางดูแปลกไป ประการแรก...นางคิดว่าสวีเสี่ยวเสียนทำอาหารได้อร่อยมากยิ่งนัก และนางหวังว่าเมื่อพี่สาวของนางแต่งงานกับเขาแล้ว ตัวนางเองจะได้ไปหาของอร่อยกินเป็นประจำ
ประการที่สอง...สวีเสี่ยวเสียนเป็นโรคประสาท นางรู้สึกกังวลใจมากยิ่งนักว่าหากพี่สาวของตนแต่งงานกับเขาจริง ๆ ในภายภาคหน้าหากว่าจะต้องเป็นม่าย เช่นนั้นพี่สาวของตน...ก็จะต้องโดดเดี่ยวเดียวดายไปตลอดชีวิตน่ะสิ
แต่มิว่าจะด้วยประการใด นางก็มิอยากเห็นสวีเสี่ยวเสียนมีหญิงสาวคนอื่นอยู่ข้างกาย อีกทั้งยังดูสนิทสนมยิ่งนัก สวีเสี่ยวเสียนกล้าเดินจูงมือสตรีนางนั้นได้เยี่ยงไรกัน !
จือรุ่ยมิอยากอยู่ที่นี่นาน ๆ เนื่องจากสิ่งของในนี้ราคาสูงเสียดฟ้า
แต่สวีเสี่ยวเสียนกลับรู้สึกว่าก็แค่ของมิกี่ตำลึงมิใช่หรือ ? นางคอยรับใช้อยู่ข้างกายตนมานานกว่าสิบปี จะว่าไปหากมิใช่เพราะนาง เจ้าของร่างเดิมก็คงจะอดตายไปแล้ว
“คุณชายเจ้าคะ หากว่ามีเงินเพียงพอ พวกเราไปซื้อยาที่ร้านยาตระกูลโจวมิดีกว่าหรือเจ้าคะ ! ”
“เจ้านี่นะ ! เหตุใดวัน ๆ ถึงเอาแต่คาดหวังว่าข้าจะต้องกินยา ? ไปดูทางนั้นกันเถิด ข้ารู้สึกว่าแป้งผัดหน้าตรงนั้นก็มิเลวเลย”
สวีเสี่ยวเสียนเอ่ยจบก็เดินจูงมือจือรุ่ยตรงไป จือรุ่ยเดินตามเขาไปที่ตู้ขายของด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ
จี้ซิงเอ๋อเบิกตากว้างมองดูพวกเขา มิทันได้สังเกตว่าซูผิงอันเดินมาหยุดอยู่ข้างกายของนาง นางเอ่ยพึมพำและสบถออกมาว่า “หญิงร้ายชายเลว ! ข้าจะสังหารพวกสุนัขลักขโมยไร้หัวใจพวกนี้เสีย ! ”
น้ำเสียงของนางเยือกเย็นและเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น เดิมทีซูผิงอันตั้งใจจะเอ่ยบางอย่างออกมา ทว่าเขากลับต้องหุบปากลงไปทันพลัน ขาทั้งสองข้างของเขาหดเกร็งและกำลังจะหันหลังจากไป ทว่าก็พบกับสวีเสี่ยวเสียนที่อยู่ด้านล่างเข้าพอดี
ซูผิงอันชะงักลงเล็กน้อยพลางจ้องมองไปทางจี้ซิงเอ๋อด้วยท่าทีครุ่นคิด ทันใดนั้นเขาก็เห็นว่าจี้ซิงเอ๋อถลกแขนเสื้อขึ้น มือข้างหนึ่งของนางจับไปที่ราว ชั้นสองสูงราวสองถึงสามจั้ง ทว่านางก็กระโดดลงไปจริง ๆ !
ซูผิงอันชะโงกหน้าลงไปดูด้วยความตกใจ พบว่าสวีเสี่ยวเสียนยืนอยู่ด้านล่างพอดี
สวีเสี่ยวเสียนก็คาดมิถึงเช่นกันว่าจะมีคนกระโดดลงมาจากด้านบนเช่นนี้ !
อาจเป็นเพราะเขาทะลุมิติมา จึงทำให้สัมผัสที่หกของเขานั้นว่องไวเป็นพิเศษ อยู่ ๆ ก็เกิดแสงไฟสว่างวาบ เขาถอยหลังออกไปตามสัญชาตญาณ พลางยื่นมือทั้งสองข้างออกมา
“ตุ้บ... ! ”
แขนทั้งสองข้างของเขานั้นหนักอึ้ง จนทำให้สวีเสี่ยวเสียนโซซัดโซเซ
จี้ซิงเอ๋อกระโดดลงมาทั้ง ๆ ที่ยังยืนอยู่อย่างนั้น !
ช่างบังเอิญเสียจริง นางกระโดดลงมาคร่อมอยู่บนแขนของสวีเสี่ยวเสียนเข้าพอดี เมื่อสวีเสี่ยวเสียนก้าวไปด้านหน้า ศีรษะของเขา ก็ชนเข้ากับจมูกของจี้ซิงเอ๋อเข้าพอดี
“พลั่ก... ! ”
“อ๊าก... ! ” จี้ซิงเอ๋อร้องเสียงแหลม
ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นต่างก็หันหน้ามามอง
จี้ซิงเอ๋อยกมือขึ้นกุมจมูกของตนพลางร้องไห้น้ำตาไหลริน สวีเสี่ยวเสียนดึงมือออกมาจากขาของนาง “อ๊าก... ! ” เขาเองก็ยกมือขึ้นกุมหน้าผากแล้วร้องโหยหวนออกมาเช่นกัน
ให้ตายเถิด !
เหตุใดถึงเป็นแม่นางผู้นี้ได้กัน ?
นางเป็นตัวซวยของข้าหรือเยี่ยงไร ?
เจ้ากระโดดลงมาจากข้างบนได้ด้วยหรือ ?
ซูผิงอันที่ยืนมองอยู่ด้านบนได้แต่ตกตะลึงจนนิ่งค้าง โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว !
ซูผิงอันส่ายศีรษะเบา ๆ เขารู้สึกว่าตนควรจะล้มเลิกความตั้งใจที่จะแต่งงานกับจี้ซิงเอ๋อผู้นี้ นางโหดเหี้ยมจนเกินไป หากได้แต่งงานกับนางจริง ๆ แล้วชีวิตต่อจากนี้ของเขาจะเป็นเยี่ยงไรกัน จะได้อยู่อย่างสงบสุขเยี่ยงนั้นหรือ !
โจวรั่วหลานวิ่งมาที่ระเบียงพลางชะโงกหน้าดู จากนั้นก็รีบวิ่งลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว
จือรุ่ยเองก็เป็นกังวลมากยิ่งนัก
นางกำชายเสื้อของตนเองเอาไว้แน่น พลางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไป
“คุณชายเป็นอันใดหรือไม่เจ้าคะ ? ”
สวีเสี่ยวเสียนยกมือขึ้นกุมหน้าผากของตน พลางก้าวถอยหลังไปสองก้าว จากนั้นก็ชี้นิ้วไปทางจี้ซิงเอ๋อ “เจ้า เจ้า เจ้า...โรคจิตหรือเยี่ยงไรกัน ! ”
จี้ซิงเอ๋อเลือดกำเดาไหลเป็นทาง นางเจ็บปวดจนในสมองเต็มไปด้วยเสียงอื้ออึ้ง นางหันไปจ้องสวีเสี่ยวเสียนแล้วตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดังว่า “เจ้านั่นแหละโรคจิต ! สวีเสี่ยวเสียน ข้ากับเจ้าคงอยู่ร่วมโลกกันมิได้แล้ว ! ”
สวีเสี่ยวเสียน ? !
ชายหนุ่มผู้นี้ก็คือสวีเสี่ยวเสียน ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในเขตเหลียงอี้เยี่ยงนั้นหรือ ?
สวีเสี่ยวเสียนผู้ที่แก้ผ้าวิ่งล่อนจ้อนในฤดูหนาวตอนที่หิมะตกวันนั้นน่ะหรือ ?
เป็นสวีเสี่ยวเสียนผู้ที่ใช้ศพในการสืบสวนคดีจนประสบความสำเร็จผู้นั้นหรือ ?
สตรีน้อยใหญ่พากันจ้องมองไปยังใบหน้าของสวีเสี่ยวเสียน ไอหยา...ชายหนุ่มผู้นี้มองไปแล้วหน้าตาหล่อเหลาเอาการ
ทว่าน่าเสียดายที่เขาเป็นโรคประสาท
เหล่าจีนมุงพากันกรูเข้ามา ทุกคนล้วนรู้จักจี้ซิงเอ๋อ ทว่าพวกเขารู้สึกว่าสวีเสี่ยวเสียนช่างลึกลับยิ่งนัก เนื่องจากชื่อนี้โด่งดังไปทั่วทั้งเขตเหลียงอี้ อีกทั้งในคืนนั้นแสงไฟสลัวจนมิสามารถมองหน้าเขาได้อย่างชัดเจน
สวีเสี่ยวเสียนเป็นบุคคลลึกลับจริง ๆ เขากลายเป็นจุดสนใจขึ้นมาทันใด “อยู่ร่วมโลกกันเยี่ยงนั้นหรือ ? มีบันไดดี ๆ มิเดิน กลับกระโดดลงมาเยี่ยงนี้ เจ้าลองคิดดูเอาเองเถิดว่าเจ้ามีความผิดปกติทางสมองหรือไม่ ? ”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากมิใช่เพราะข้ามีปฏิกิริยาที่ว่องไว ร่างทั้งร่างของเจ้าคงจะตกลงมาใส่ศีรษะของข้าแล้ว ! ”
“การทิ้งของจากที่สูงลงมาถือว่าผิดกฎหมาย นับประสาอันใดกับการที่เจ้ากระโดดปล่อยร่างทั้งร่างลงมาเช่นนี้ ! ”
“เจ้าคิดว่าตนเองเป็นลูกบอลแพรปักหรือเยี่ยงไร ! ”
“แม้แต่มนุษย์แมงมุมยังมิทำเช่นนี้เลย ! ”
จี้ซิงเอ๋อถูกสวีเสี่ยวเสียนต่อว่าต่าง ๆ นานาโดยมิหยุดพักหายใจ นางร้องไห้ออกมาอย่างรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ บรรดาสตรีน้อยใหญ่ก็พากันมิพอใจขึ้นมา นางทั้งงดงามและสูงส่ง การที่นางตกลงมาใส่ร่างของสวีเสี่ยวเสียนนั้น ควรจะนับว่าเป็นบุญเสียมากกว่า !
โจวรั่วหลานเดินมาหยุดอยู่ข้างกายของจี้ซิงเอ๋อ นางมิรู้ว่าเกิดอันใดขึ้น นางรู้เพียงแค่ว่าจะยอมให้จี้ซิงเอ๋อถูกเจ้าหมอนั่นรังแกมิได้
โจวรั่วหลานยกมือขึ้นเท้าสะเอวแล้วจ้องมาที่เขาเขม็ง จากนั้นก็เริ่มเปิดปากด่าทันทีว่า “เจ้าเป็นลูกผู้ชายหรือไม่ ? เจ้าทำซิงเอ๋อเลือดออกเช่นนี้ มิเพียงจะมิกล่าวขอโทษเท่านั้น ทว่าเจ้ายังตะโกนด่าทอนางอีก ! ”
“ตำราและความรู้ที่เจ้าร่ำเรียนมาไปอยู่ในสมองสุนัขหมดแล้วหรือเยี่ยงไรกัน ? ”
“เจ้ามิรู้หรือว่ามารยาทคือสิ่งใด ? ”
“สถานที่แห่งนี้กว้างขวางจะตายไป ทว่าเจ้ากลับมายืนอยู่ตรงนี้ เจ้าตั้งใจทำเช่นนี้ใช่หรือไม่ ? ! ”
“ข้ารู้ว่าสมองของเจ้ามิปกติ เช่นนั้นก็ควรจะไปทำการรักษาสิ ! มิมีเงินใช่หรือไม่ ? ถ้ามิมีเงินก็เอาใบสั่งยามา ข้าจะไปซื้อยาให้เจ้าเองโดยที่เจ้ามิต้องเสียค่าใช้จ่าย ! ”
สวีเสี่ยวเสียนชะงักงันขึ้นมาทันใด ให้ตายเถิด...สตรีนางนี้ช่างดุเดือดและโต้วาจาเก่งกาจเสียเหลือเกิน ประกอบกับบรรดาสตรีน้อยใหญ่ที่ส่งสายตาอาฆาตเข้ามา เขาจึงรู้สึกกดดันขึ้นมาทันใด
มิได้การล่ะ ข้าจำต้องหนี !
“เอาเถิด สุภาพบุรุษจะมิถกเถียงกับสตรี” สวีเสี่ยวเสียนทำได้เพียงชี้นิ้วออกไปทางจี้ซิงเอ๋อ “จงจำเอาไว้ว่าครานี้เป็นคราที่สองแล้วที่เจ้ากระโดดลงมาทับข้า หากมีคราต่อไปละก็ เจ้ามิเพียงแค่เลือดออกเช่นนี้เป็นแน่ ! ”
จี้ซิงเอ๋อรู้สึกว่าประโยคนั้นฟังดูแปลกหูเสียเหลือเกิน
ทว่าบัดนี้ดวงตาของจือรุ่ยกลับทอประกายแวววาว ประโยคสนทนาของพวกเขาเมื่อครู่...คุณหนูผู้นั้นบอกว่าว่าจะซื้อยารักษาให้โดยมิเสียค่าใช้จ่าย สิ่งนี้ดีมากเลยทีเดียว
โจวรั่วหลานทำท่าทางยืดอกออกมาแล้วเอ่ยว่า “อืม...เจ้าลองบอกข้ามาสิว่าหากมีคราต่อไป เจ้าจะทำอันใดกัน ? ”
จะทำเยี่ยงไรได้อีกกัน ?
ก็คงทำได้เพียง เอ่ยประโยคที่ดุดันไปมากกว่านี้ก็เท่านั้น
“มองอันใดกัน มิเคยเห็นชายหนุ่มรูปงามหรือเยี่ยงไร ถอยไป จงถอยออกไป ! ”
สวีเสี่ยวเสียนจูงมือจือรุ่ยและกำลังจะเดินออกไปด้านนอก ทว่ามิอาจดึงร่างของนางออกไปได้ เขาจึงหันหลังกลับไปมอง พบว่าจือรุ่ยหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วส่งให้โจวรั่วหลาน นางเอ่ยอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสว่า “คุณหนูเจ้าคะ เมื่อครู่... เมื่อครู่คุณหนูเอ่ยจริงหรือไม่ ? นี่คือใบสั่งยาที่หมอเทวดาฮัวออกให้แก่คุณชายของข้าเจ้าค่ะ”
โจวรั่วหลานอ้าปากค้าง ทว่านางกลับเอ่ยอันใดออกมามิได้แม้แต่คำเดียว ดูเหมือนว่าความคิดของสาวใช้ข้างกายของสวีเสี่ยวเสียนนางนี้จะมิปกติเช่นกัน มิใช่ว่าเมื่อครู่ทั้งสองกำลังทะเลาะกันอยู่หรอกหรือ ? จะนับว่าเป็นเรื่องจริงได้เยี่ยงไร ?
เมื่อเห็นท่าทีของโจวรั่วหลาน จือรุ่ยจึงอารมณ์เสียขึ้นมาเล็กน้อย “คุณชายเอ่ยว่าเกิดเป็นคนควรจะให้ความสำคัญกับคำเอ่ยของตนเองและความสัตย์จริง ในเมื่อคุณหนูมิสามารถทำตามสิ่งที่เอ่ยได้ เช่นนั้นก็มิควรเอ่ยออกมาตั้งแต่แรกนะเจ้าคะ”
โจวรั่วหลานชะงักงัน ใบหน้าของนางขึ้นสีแดงระเรื่อ “ทว่าคุณชายของเจ้าทำให้สหายของข้าเลือดออกนะ ! ”
“คุณชายของข้าถูกคุณหนูท่านนี้กระทำต่างหากเล่า คุณชายของข้าเพียงยืนอยู่ที่นี่ มิได้ไปหาเรื่องผู้ใดทั้งสิ้น กลับเป็นคุณหนูผู้นี้ที่กระโดดลงมาจากชั้นบน หากมิใช่เพราะคุณชายของข้ารับนางเอาไว้ นางคงมิเพียงแค่เลือดออก เกรงว่ากระดูกคงจะหักเสียแล้ว”
“ฮึ ! ” โจวรั่วหลานรับใบสั่งยามาจากมือของจือรุ่ยพลางเอ่ยว่า “ก็แค่ยามิกี่ชนิดมิใช่หรือ ? คุณชายของเจ้าควรจะกินยาจริง ๆ นั่นแหละ ! ”
“เจ้าค่ะ” จือรุ่ยยกยิ้มขึ้น “คุณชายของข้าควรจะกินยาได้แล้ว ขอบคุณคุณหนูยิ่งนัก ! ”