ตอนที่ 49 ร้านหนังสือซานเว่ย
ภายในรถม้า จือรุ่ยมีความสุขมากยิ่งนัก
แม้ว่าคุณชายจะถูกทุบตี แต่ก็ถือว่าคุ้มค่า การถูกทุบตีในครานี้สามารถเปลี่ยนเป็นยาได้หลายชุด โดยที่ยาหนึ่งชุดอยู่ที่หนึ่งตำลึง !
นางลืมเรื่องที่จะซื้อผงชาดไปเสียสนิท นางรู้สึกว่ามิได้สูญเสีย ทั้งยังได้รับกลับมาอีกด้วย
หน้าผากของคุณชายฟกช้ำเล็กน้อยเท่านั้น นี่มิใช่เรื่องใหญ่อันใด ค่อยกลับไปทายาที่จวน มิเกินสองวันก็น่าจะหายดีแล้ว
คุณหนูผู้งดงามผู้นั้นช่างน่าสงสารยิ่งนัก เสียทั้งเลือดเสียทั้งน้ำตา
จือรุ่ยจ้องมองไปทางสวีเสี่ยวเสียน ด้วยดวงตาที่เป็นประกาย “คุณชายเจ้าคะ หรือว่าแม่นางผู้นั้นจะชอบท่านกัน ? ”
สวีเสี่ยวเสียนตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน จากนั้นก็ยกมือขึ้นลูบศีรษะของจือรุ่ยไปมา “เจ้าคิดอันใดอยู่กัน ? ”
จือรุ่ยขบเม้มริมฝีปาก บนใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “คุณชายลองคิดดูสิเจ้าคะ ใต้หล้านี้มีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ที่ไหนกัน คราที่แล้วก็ชนกันที่มุมถนน แม่นางผู้นั้นได้ตกลงมาในอ้อมกอดของท่าน ครานี้...”
จือรุ่ยครุ่นคิด “ชั้นสองมีราวจับล้อมสูงถึงเพียงนั้น นางจะตกลงมาได้เยี่ยงไรกัน ? นางต้องจงใจกระโดดลงมาเพราะเห็นคุณชายอยู่ด้านล่างเป็นแน่เจ้าค่ะ ! ”
“หากมิใช่เพราะนางสนใจท่าน แล้วจะมีเหตุผลอันใดที่ต้องใช้วิธีฟ้าบันดาลเพื่อเรียกร้องความสนใจจากคุณชายกันเจ้าคะ ? ”
คำเอ่ยนี้ค่อนข้างมีเหตุผล !
สวีเสี่ยวเสียนก็รู้สึกประหลาดใจมากเช่นกัน สตรีที่งดงามถึงเพียงนั้น นางเหมือนกับจ้าวลี่อิงในชาติที่แล้วมากจริง ๆ หากเป็นเมื่อชาติที่แล้ว เกรงว่าแถวของคนที่ตามเกี้ยวนางคงยาวถึง 5 ลี้ ส่วนตนหน้าตาก็มิค่อยจะดี ทั้งยังมีชื่อเสียงที่มิดี เหตุใดนางต้องทำเช่นนี้ด้วยกัน ?
ในฐานะเจ้าหน้าที่บรรเทาความยากจนผู้หนึ่ง สวีเสี่ยวเสียนมิเคยเชื่อเรื่องโชคหล่นลงมาจากฟ้า นับประสาอันใดกับสตรีคนเดิมที่ตกลงมาจากฟ้าถึงสองครา !
นางจะต้องมีเล่ห์เหลี่ยมเป็นแน่
จือรุ่ยจ้องมองท่าทีครุ่นคิดของสวีเสี่ยวเสียนพลันรู้สึกมิสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย นางกำชายเสื้อเอาไว้แน่น นางรู้สึกว่าตนเองมิสามารถเทียบเคียงกับคุณหนูผู้นั้นได้เลย... มิมีทางเทียบได้ ระยะห่างนั้นมากจนเกินไป ช่างเถิด...คุณชายได้เสียคุณหนูตระกูลจี้ไปแล้ว หากคุณหนูท่านนี้มีใจให้คุณชายจริง ๆ ก็ถือเป็นโชคดีของคุณชาย เยี่ยงไรคุณชายก็มีอาการป่วยอยู่ คุณหนูผู้นั้นย่อมทราบดีอยู่แล้ว ทว่าก็ยังเดินหน้าเกี้ยวคุณชายเช่นนี้ คาดว่านี่คือความรักที่แท้จริง เหมือนข้อความในหนังสือวรรณกรรม
สวีเสี่ยวเสียนมิได้คิดถึงเรื่องนี้ เพราะนี่มิใช่เรื่องดีแต่อย่างใด
“ร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดของเขตเหลียงอี้อยู่ที่ใด ? ”
คุณชายจะซื้อตำราเพื่อเตรียมเข้าร่วมการสอบเยี่ยงนั้นหรือ ?
ดวงตาของจือรุ่ยเป็นประกายขึ้นมาอีกครา “ที่จวนยังมีตำรามิเพียงพออีกหรือเจ้าคะ ? ”
“ข้าต้องการซื้อตำราอื่น ๆ น่ะ”
นักปราชญ์มีเต็มบ้านเต็มเมือง นี่มิใช่สิ่งที่สวีเสี่ยวเสียนต้องการ เขาต้องการที่จะทราบถึงสภาพอากาศ ประเพณี ผู้มีชื่อเสียงของราชวงศ์ต้าเฉิน เขาต้องการทราบถึงของหายาก เช่น ผลไม้ ผัก และสัตว์ปีกชนิดต่าง ๆ ของโลกใบนี้ นี่คือเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง สำหรับสายงานผู้เชี่ยวชาญ
เมื่อซื้อที่แล้ว ก็จำต้องทำการเพาะปลูก เมื่อมีเงินมากขึ้นก็ต้องสร้างเรือนขึ้นมาหนึ่งหลัง
เมื่อมีที่และเรือนแล้วก็ต้องเพาะปลูกผักผลไม้ และต้องเพาะเลี้ยงสัตว์ปีก
ก่อนที่จะช่วยผู้อื่นจำต้องช่วยตนเองเสียก่อน เขาจำต้องทำการเพาะปลูกและปศุสัตว์ออกมาก่อน ภายภาคหน้าหากพัฒนาได้จนเติบโต ค่อยทำการค้าผูกขาดตลาด กำไรนี้ใช่ว่าจะได้มาง่าย ๆ ทว่ามันก็เพียงพอที่จะทำให้ทั้งชีวิตของตนนั้นอยู่อย่างอิสระและสุขสบาย
นี่ต่างหากถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ !
“เอ่ยถึงร้านหนังสือ... ใช่ ! เหมือนว่าข้าจะเคยได้ยินมาว่ามีร้านหนังสือซานเว่ยที่มีชื่อเสียงพอตัวเลยเจ้าค่ะ”
สวีเสี่ยวเสียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ร้านหนังสือซานเว่ยเยี่ยงนั้นหรือ ?
เขาเลิกผ้าม่านด้านหน้าขึ้น จากนั้นก็ตะโกนบอกหลายฝูว่า “ไปร้านหนังสือซานเว่ย”
......
......
ร้านหนังสือซานเว่ยตั้งอยู่ในตรอกหลีฮวา
เดือนสี่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ต้นสาลี่สองข้างทางเต็มไปด้วยดอกสาลี่สีขาวราวกับหิมะซึ่งกำลังบานสะพรั่ง ดูสวยงามมากยิ่งนัก
ถนนสายนี้เป็นเส้นทางไปยังสำนักศึกษาจูหลิน ซึ่งค่อนข้างเงียบสงบ
จี้เยวี่ยเอ๋อนำอุปกรณ์เครื่องเขียนและตำราเหล่านั้นที่จี้ซิงเอ๋อซื้อกลับมา จัดวางแยกหมวดหมู่ไว้เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นนางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วนั่งลงตรงโต๊ะหนังสือที่อยู่ข้าง ๆ หน้าต่าง
บนโต๊ะมีตำราที่ใหม่เอี่ยมวางอยู่ ตำราเล่มนั้นมีนามว่ารวบรวมบทกวีของซานเปี่ยน
ลัวชูหลานเป็นหัวหน้าผู้มีพรสวรรค์ทั้งสี่แห่งเจียงหนานมีสมญานามว่าซานเปี่ยน ตัวอักขระของเขาพิถีพิถันเป็นอย่างมาก เขาเป็นสุภาพบุรุษที่มีลักษณะสามประการตามตำราหลุนอี่ว์... มองการณ์ไกลด้วยความสุขุม มองเบื้องหน้าด้วยความอ่อนโยน วาจาน่าเกรงขาม
ว่ากันว่าบิดาของลัวซานเปี่ยนหวังให้เขาเป็นสุภาพบุรุษที่ปกครองใต้หล้า ลัวซานเปี่ยนผู้นี้ก็ได้รับผิดชอบต่อความหวังของบิดา เขาอายุเพียง 10 ปีก็เข้าใจในตำราศักดิ์สิทธิ์แล้ว เขาสอบได้ซิ่วไฉตั้งแต่อายุยังมิเกิน 10 ปีเลยด้วยซ้ำ ทั้งยังได้ประพันธ์ตำรา ‘ส่งเสริมการใฝ่เรียน’ ที่ปัจจุบันได้แพร่หลายอย่างกว้างขวาง
“เรียน จากปุถุชนก็กลายเป็นขุนนาง มิเรียน จากขุนนางก็เหลือเพียงประชาชน” คำเอ่ยนี้มาจากตำราส่งเสริมการใฝ่เรียนของลัวชูหลานหรือลัวซานเปี่ยน
ในตอนนั้นเขาเพิ่งจะอายุได้ 10 ปีเท่านั้น เขามองเส้นทางของนักปราชญ์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง บุคคลเช่นนี้ ย่อมเป็นมังกรและหงส์ในหมู่ผู้คนอยู่แล้ว แน่นอนว่าเขาย่อมเป็นเป้าหมายที่สตรีมากมายชื่นชม
และปัจจุบันผู้มีความสามารถท่านนี้เพิ่งจะอายุได้ 17 ปีเท่านั้น เอ่ยกันว่าเขาสอบจู่เหรินได้ตั้งแต่อายุ 14 ปี เพียงแต่การสอบฮุ่ยซื่อ1นั้นมิเอื้อผล คาดมิถึงว่าเขาจะสอบมิผ่าน
ทว่าเขายังคงเป็นชายหนุ่ม เขายังมีเวลาอีกมากมายที่จะไปสอบต่อ ในภายภาคหน้าเขาจะต้องมีอนาคตที่สดใสเป็นแน่
จี้เยวี่ยเอ๋อพลิกเปิดบทกวี จากนั้นก็อ่านบทกวีทั้งสองบทอย่างละเอียด มิรู้เพราะเหตุใด นางถึงรู้สึกว่าระดับความสามารถของผู้มีความสามารถท่านนี้ถึงลดลง
นางขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพลางหยิบพู่กันและหมึกขึ้นมา จากนั้นก็เขียนกวีทั้งสองบทของสวีเสี่ยวเสียนลงบนกระดาษ
นางเปรียบเทียบอย่างระมัดระวัง ตัดสินจากองค์ประกอบโดยรวม บทกวีของสวีเสี่ยวเสียนมีเสน่ห์กว่าบทกวีของผู้มีความสามารถแห่งเจียงหนานท่านนี้เสียอีก
แนวความคิดสูงส่งกว่า การใช้คำก็ดูมีการค้นคว้ายิ่งกว่า และเมื่อจมดิ่งลงไปในนั้น ก็ได้เห็นทิวทัศน์ที่ไร้ขอบเขตจากอักขระเหล่านั้น
เช่นบทกวีฝันของเจียงหนาน
ต้นหลิวยาวสยาย ชะล้างเศษผ้าของฤดูไม้ผลิ ฝันของเจียงหนาน ปลดใบเรือแล่นกลับไป... การตวัดพู่กันที่มิฉูดฉาด ทว่าเห็นได้ถึงความสง่างามและความสบาย ๆ ของผู้ประพันธ์
และอย่างเช่นพิณทองบทนั้น
ราวกับเขายกพู่กันแล้วจรดความตั้งใจลงไป หนึ่งสายหนึ่งเสาคิดถึงปีเรืองรอง ประโยคนี้ได้กำหนดแนวคิดพื้นฐานของบทกวีนี้เอาไว้แล้ว ต่อมาถึงได้ใช้จวงเชิงเสียวเลอะเลือนถึงผีเสื้อ หวังตี้ฝากฝังนกแขกเต้า ทะเลมรกตมีน้ำตา นาสีครามเกิดควันขึ้นมาเป็นการเติมเต็มความหมายให้สมบูรณ์ บทกวีนี้ก็ได้สร้างการเคลื่อนไหวและรูปลักษณ์ขึ้นมา ทำให้ผู้คนตกอยู่ในความหลงใหล
ประโยคสุดท้ายนั้นราวกับพู่กันของเทพเซียน ความรู้สึกนี้ถือได้ว่าเป็นการระลึกถึง...แต่ช่วงนั้นมันหายไป แล้วอันใดอีก ?
ในตอนที่สวีเสี่ยวเสียนประพันธ์กวีบทนี้ จิตใจของเขาจะต้องแปรปรวนเป็นแน่ และในตอนสุดท้ายก็จมดิ่งลงไป จึงกลายเป็นกวีที่ยอดเยี่ยมซึ่งมิเคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์
และเมื่อมองไปยังบทกวีของลัวซานเปี่ยนอีกครา... ก็ให้ความรู้สึกเงียบเหงาและไร้รสชาติ มีความรู้สึกของการฝืนใจในการแต่งบทกวีอยู่กลาย ๆ
ดังนั้น...พรสวรรค์ของสวีเสี่ยวเสียนสูงส่งยิ่งกว่าลัวซานเปี่ยนหนึ่งในสี่ผู้มีพรสวรรค์แห่งเจียงหนานเสียอีก !
เพียงแต่การอาศัยกวีสองบทที่มีอยู่นี้ก็เหมือนว่าจะมิสามารถเผยข้อสรุปเช่นนี้ออกมาได้ หากเขาประพันธ์กวีออกมาอีกสองสามบทก็คงจะดี
จี้เยวี่ยเอ๋อตั้งตารอคอยเป็นอย่างมาก นางขบคิดเรื่องที่ว่าต้องทำเยี่ยงไร ถึงจะสามารถทำให้เขาประพันธ์บทกวีขึ้นมาได้อีก
จื่อเอ๋อจ้องมองคุณหนู เห็นว่าสายตาของคุณหนูมิได้จดจ่ออยู่ที่ตำรา ทว่ากลับจ้องมองดอกสาลี่ที่ด้านนอกหน้าต่างแทน คุณหนูเหม่ออีกแล้ว เป็นเพราะเหตุอันใดกัน !
“คุณหนูเจ้าคะ ใกล้จะถึงเทศกาลเรือมังกรแล้ว บ่าวได้ยินมาว่าสำนักศึกษาจูหลินจะจัดงานวรรณกรรมประจำเทศกาลเรือมังกรขึ้นมา ได้ยินมาว่าจางหวนกงได้ปล่อยข่าวออกมาแล้ว อีกทั้งรายชื่อในมือของจางหวนกงยังมีชื่อคุณหนูด้วยนะเจ้าคะ”
“บ่าวได้ยินมาว่าหลิวเยียนเหมยสตรีผู้มีความสามารถจากเขตสุ่ยหยางข้าง ๆ กันนี้ก็จะมาเข้าร่วมงานด้วยเช่นกัน มิใช่เพราะรายชื่อแต่อย่างใด ต่างเอ่ยกันว่า...เอ่ยว่านางต้องการประลองกับคุณหนูเจ้าค่ะ”
มุมปากของจี้เยวี่ยเอ๋อยกขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะนางมิได้สนใจอันใด
รายชื่อในมือของท่านอาจารย์ล้ำค่าเป็นอย่างมาก หากสวีเสี่ยวเสียนไปร่วมด้วย มิถูก ! เดิมทีท่านอาจารย์เอ่ยว่าจะแนะนำสวีเสี่ยวเสียนไป ทว่ากลับถูกเขาปฏิเสธ
ทันใดนั้น สวีเสี่ยวเสียนก็พาจือรุ่ยเดินเข้ามายังร้านหนังสือซานเว่ย
จี้เยวี่ยเอ๋อหันหน้าไป สวีเสี่ยวเสียนจึงเห็นจี้เยวี่ยเอ๋อเข้าพอดี
ให้ตายเถิด !
โลกช่างกลมเสียจริง !
“เจ้า... เหตุใดถึงพบเจ้าอีกแล้ว ? ”
1ฮุ่ยซื่อ (会试) คือ การสอบระดับประเทศ