ตอนที่ 50 คุณชายช้าก่อน
จี้เยวี่ยเอ๋อชะงักเล็กน้อย คุณชายผู้นี้กำลังเอ่ยถึงผู้ใดกันแน่ ?
ในราตรีนั้น นางและจี้ซิงเอ๋อยืนอยู่ด้านหน้าศาลาว่าการ ทว่าสายตาของนางมองได้มิไกลนัก จึงทำให้มิอาจเห็นใบหน้าของสวีเสี่ยวเสียนได้อย่างชัดเจน
ทว่าจื่อเอ๋อเคยเดินทางไปที่จวนของสวีเสี่ยวเสียนมาก่อน จื่อเอ๋อจึงขยับริมฝีปากพึมพำด้วยความประหลาดใจว่า “...สวีเสี่ยวเสียน ? ”
จี้เยวี่ยเอ๋อตกตะลึงขึ้นมาทันใด จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า “เจ้าคือคุณชายสวี.... สวีเสี่ยวเสียนเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
สวีเสี่ยวเสียนรีบโบกไม้โบกมือเสียยกใหญ่ด้วยท่าทีรังเกียจ งดงามปานดาราดังแล้วเยี่ยงไรเล่า ? ข้านั้น...ต่อให้ชื่นชอบก็มิยอมก้มหัวให้เจ้าหรอก !
“พวกเราสองคนมิได้สนิทกันถึงเพียงนั้น เจ้ามิต้องทำเสแสร้งไป เลือดหยุดแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? อืม...ดูเหมือนเลือดจะหยุดแล้วจริง ๆ เอาล่ะ ถือว่าพวกเราเสมอกัน ข้าขอตัวก่อน ! ”
สวีเสี่ยวเสียนหันหลังเดินจากไป จี้เยวี่ยเอ๋อกับจื่อเอ๋อได้แต่มองหน้ากันอย่างงุนงง
“นี่มัน...” จี้เยวี่ยเอ๋อชี้ออกไปที่ด้านนอกแล้วเอ่ยว่า “เขาเอ่ยว่าเยี่ยงไรนะ ? เลือดออกอันใดกัน ? ”
จื่อเอ๋อเองก็ตกตะลึงมิต่างกัน นางก็มิรู้ว่าเกิดอันใดขึ้นเช่นกัน
จี้เยวี่ยเอ๋อนึกขึ้นมาได้ว่า เรื่องนี้จะต้องเข้าใจผิดกันอย่างแน่นอน
นางจึงเดินออกไปด้านนอกแล้วตะโกนไปทางสวีเสี่ยวเสียนที่เดินจากไปว่า “คุณชาย...ช้าก่อน ! ”
สวีเสี่ยวเสียนโบกมือ โดยที่ยังหันหลังให้แก่นาง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เชิญคุณหนูกลับไปเถิด ! ”
จี้เยวี่ยเอ๋อจึงกระทืบเท้ามิพอใจ “คุณชาย...โปรดช้าก่อนเถิด ! ”
สวีเสี่ยวเสียนหยุดฝีเท้าลงแล้วนึกขึ้นมาได้ว่า จริงสิ ! ข้าเดินทางมาซื้อตำรานี่ ข้ายังมิทันได้ซื้อตำราเลยด้วยซ้ำ อีกอย่าง...ข้าจะกลัวนางเพื่อเหตุอันใดกัน ?
กลางวันแสก ๆ เช่นนี้นางจะกล้าทำร้ายข้าเชียวหรือ ?
หากว่านางกล้าทำร้ายข้าล่ะก็ ข้าจะนอนรอเชียว ฮึ ๆ...
สวีเสี่ยวเสียนจึงหันหลังกลับไป จี้เยวี่ยเอ๋อรู้สึกดีใจมากยิ่งนัก สวีเสี่ยวเสียนรีบก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยว่า “ถอยไป ถอยไป ! ข้าจะไปซื้อตำราสักหน่อย พวกเรามิมีเรื่องอันใดต้องสนทนากัน ทุกคราที่สนทนาก็มักจะทะเลาะเบาะแว้งกันเสมอ อย่าได้ทำลายบรรยากาศอันงดงามเช่นนี้เลย”
จื่อเอ๋อเบิกตากว้าง เจ้าสวีเสี่ยวเสียนผู้นี้ เหตุใดถึงกล้าเอ่ยเช่นนี้กับคุณหนูของข้า !
ในขณะที่นางกำลังจะออกหน้าแทนคุณหนู พบว่าคุณหนูส่ายหน้าให้กับนาง
จือรุ่ยรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งนัก...หรือว่าที่นี่จะเป็นร้านของพวกนักเลงกัน ?
ว่าแต่เหตุใดคุณหนูผู้นั้นถึงเดินทางมาที่นี่ได้เร็วถึงเพียงนี้กัน ?
เมื่อครู่นางยังอยู่ที่หอติ้งฟางอยู่เลยมิใช่หรือ ?
เพียงชั่วพริบตาเดียว นางก็มาถึงร้านหนังสือซานเว่ยแล้ว อีกทั้งยังเปลี่ยนชุดแล้วด้วย
คุณหนูเมื่อครู่สวมชุดสีแดง ทว่าบัดนี้นางเปลี่ยนเป็นสีขาว จริงสิ ! เมื่อครู่นางเลือดกำเดาไหลมากมายถึงเพียงนั้น เปลี่ยนชุดถือเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว
ทว่าแม่นางผู้นี้เมื่อสวมชุดสีขาวแล้วช่างดูงดงามเสียเหลือเกิน !
ชุดสีขาวราวกับหิมะช่างเข้ากันกับใบหน้าที่แดงก่ำและผมที่ยาวถึงเอวของนางเสียจริง...แม้แต่จือรุ่ยเองก็มองจนมิอาจละสายตาได้ ทว่าคุณชายกลับปฏิเสธหญิงงามที่เต็มไปด้วยเสน่ห์เช่นนี้
คุณชายช่างสูงส่งเหลือเกิน !
หรือว่าคุณชายมิชอบสตรีกันนะ ?
บัดนี้จิตใจของนางมิอาจสงบลงได้เลย สายตาของนางเหลือบไปเห็นสาวใช้ที่สวมชุดสีเขียว
สาวใช้ผู้นี้นางเคยเห็นมาก่อน นางเคยติดตามท่านจางหวนกงไปที่จวนสวี คาดว่าคงจะเป็นสาวใช้ของท่านจางหวนกง ทว่าเหตุใดนางถึงมาปรากฏกายอยู่ที่นี่กัน ?
สวีเสี่ยวเสียนเดินเข้าไปในร้านหนังสือ แล้วมองดูอย่างระมัดระวัง
เขาพบว่าร้านหนังสือนี้มิได้ใหญ่โตมากนัก ทว่ามีการจัดระเบียบอย่างประณีต มิรู้ว่าเจ้าของร้านหนังสือแห่งนี้เป็นผู้ใดกัน ?
เหตุใดถึงตั้งชื่อร้านหนังสือเช่นนี้ ?
ร้านหนังสือซานเว่ย อืม...นามนี้ช่างคุ้นหูเสียเหลือเกิน หรือว่าผู้ที่เป็นเจ้าของร้านหนังสือจะทะลุมิติมาเช่นเดียวกันกับเขา ?
หากว่าเป็นจริงดังนั้น เขาก็คงจะมิเหงาอีกต่อไป
เขาครุ่นคิดแล้วหันไปมองทางจี้เยวี่ยเอ๋อ ในครานี้แววตาของเขามิได้แหลมคมเหมือนเมื่อครู่ ทว่ากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาดใจและคาดหวัง กิริยาท่าทางของแม่นางผู้นี้แตกต่างไปจากผู้อื่น มิเหมือนกับหญิงสาวในยุคนี้เลยสักนิด ดูคลับคล้ายคลับคลากับสตรีในยุคปัจจุบันของเขาเสียมากกว่า
สตรีในยุคก่อนหน้านี้ล้วนเข้มแข็งและพึ่งพาตนเอง จึงทำให้มีนิสัยแข็งกระด้างเช่นนี้
หากว่านางทะลุมิติมาจริง ๆ การทะเลาะวิวาทก่อนหน้านี้สามารถให้อภัยกันได้ หรือบางที...เขาอาจจะยอมให้นางก็เป็นได้ !
ในนิยายย้อนยุคทะลุมิติแต่ละเรื่อง ดูเหมือนว่าโดยส่วนใหญ่แล้วตัวละครเอกจะข้ามภพไปเพียงคนเดียวเท่านั้น มิเคยเจอเรื่องราวที่มีคนข้ามภพไปถึงสองคนแล้วมาแต่งงานกัน มิรู้ว่าหากผู้ที่ข้ามภพทั้งสองคนมาแต่งงานกัน แล้วบุตรที่กำเนิดมานั้นถือเป็นผู้ที่ข้ามภพมาด้วยหรือไม่ ?
เรื่องนี้ควรได้รับการพิสูจน์
อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าสตรีนางนี้ช่างน่ามองเสียเหลือเกิน ทั้งยังเหมาะสมที่จะให้กำเนิดบุตรของเขา
เขาจำต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่าสตรีนางนี้เป็นผู้ใด มาจากจวนใด
“เจ้า...คือเจ้าของร้านหนังสือซานเว่ยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
จี้เยวี่ยเอ๋อพยักหน้าตอบรับอย่างเขินอาย
สวีเสี่ยวเสียนจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “ผลรวมของด้านประกอบมุมฉากกำลังสองเท่ากับด้านตรงข้ามมุมฉากกำลังสอง ! ”
จี้เยวี่ยเอ๋อ “...... ? ? ? ”
สวีเสี่ยวเสียน “ไฮโดรเจน เบริลเลียม โบรอน คาร์บอน ! ”
จี้เยวี่ยเอ๋อ “...... ? ? ? ”
สวีเสี่ยวเสียน “แปดเกียรติและแปดความอัปยศ ค่านิยมหลักของสังคมนิยม ? ”
จี้เยวี่ยเอ๋อ “...... ? ? ? ”
“ไก่กับกระต่ายอยู่ในกรงเดียวกัน มี 48 หัว 132 ขา ขอถามว่าไก่และกระต่ายมีอย่างละกี่ตัว ? ”
จี้เยวี่ยเอ๋อ “...... ? ? ? ”
สวีเสี่ยวเสียนกลืนน้ำลายลงคอ “ทั้งสี่ฤดูสามารถทำให้มืดมนได้ หากว่าเป็นความต้องการของดวงอาทิตย์
ชีวิตคนเราสามารถทำให้เงียบเหงาได้
หากความรักเต็มใจ
ข้าจะมิปรากฏตัวให้เจ้าเห็นอีก
หากเจ้าต้องการ”
ริมฝีปากของจี้เยวี่ยเอ๋อขยับเล็กน้อย ดวงตาของนางเป็นประกายระยิบระยับ สวีเสี่ยวเสียนจึงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา แล้วเอ่ยต่อไปว่า
“นอกจากความคิดถึงที่มีต่อเจ้า
มิว่าสหายหรือญาติมิตร
ข้าก็หาได้มีไม่
ทว่า หากเป็นความต้องการของเจ้า
ข้าจะทำให้ความรักและความคิดถึงนั้นห่อเหี่ยว
ร่วงโรย”
ดวงตาของจี้เยวี่ยเอ๋อส่องสว่างเป็นประกาย นางก้าวเดินไปเบื้องหน้า มือทั้งสองข้างกำชายเสื้อเอาไว้แน่น ริมฝีปากแดงระเรื่อขยับแล้วเอ่ยออกมาอย่างประหม่าว่า “ไม่...ข้ามิต้องการ ! ”
สวีเสี่ยวเสียนชะงักน้อย เขารู้สึกผิดหวังยิ่งนัก
ทั้งคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ การเมืองการปกครอง...หรือบทกวีต่าง ๆ นางมิรู้เรื่องเลยสักอย่าง
มองดูแล้ว นางมิใช่คนที่ข้ามภพมาแน่นอน
“คุณหนู...ช้าก่อน ! ”
จี้เยวี่ยเอ๋อจึงหยุดฝีเท้าลง พบว่าสวีเสี่ยวเสียนหันหลังกลับไป ก่อนจะได้ยินเขาเอ่ยขึ้นมาว่า “ข้ามาซื้อตำรา เมื่อครู่...อาการคงจะกำเริบ”
ในใจของสวีเสี่ยวเสียน รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง
ท่ามกลางผู้คนมากมายเช่นนี้ เขารู้สึกเงียบเหงาและโดดเดี่ยว เฮ้อ...ช่างเถิด ข้าคิดอันใดอยู่กัน
เขาจัดการกับอารมณ์และความรู้สึกของตนเอง จากนั้นก็เดินไปที่ชั้นตำราเพื่อหาตำราที่ตนต้องการ
จี้เยวี่ยเอ๋อมองตามหลังสวีเสี่ยวเสียนไป ในใจของนางเต็มไปด้วยรสชาติที่ยากจะสรรหาคำใดมาพรรณนา มีทั้งความประหลาดใจ ความหลงใหล ความสงสัย อีกทั้งชื่นชม แม้นางจะฟังมิออกว่าก่อนหน้านั้นเขาเอ่ยสิ่งใดออกมา ทว่าหลักการคิดนั้นนางได้จดจำเอาไว้แล้ว ส่วนประโยคสุดท้ายที่เอ่ยออกมา นั่นมิใช่กวีหรือบทกลอน นางก็มิรู้ว่ามันคือสิ่งใดเช่นกัน แต่นางรู้สึกว่ามันทำให้คนฟังรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่งดงาม
เฉกเช่นเดียวกับดอกสาลี่ที่ร่วงหล่นลงสู่พื้น เป็นความรู้สึกเช่นนั้น
ข้าจะมิปรากฏตัวให้เจ้าเห็นอีก หากเจ้าต้องการ นี่เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่เพียงใด !
หากเจ้าต้องการ ข้าจะทำให้ความรักและความคิดถึงนั้นห่อเหี่ยวร่วงโรย นี่เป็นการเสียสละที่สูงส่งยิ่งนัก !
เหตุใดเขาถึงเอ่ยประโยคเหล่านี้กับข้าเล่า ?
นี่เป็นคราแรกที่ได้พบกัน หรือว่าเขา...เขาจะแอบชื่นชมข้ามาโดยตลอดกัน ? แต่เนื่องจากว่าเขามีอาการเจ็บป่วยทางร่างกาย จึงทำให้เขาต้องละทิ้งทุกสิ่งอย่างไป ?
เช่นเดียวกับบทกวีพิณทองบทนั้น ความรู้สึกนี้ถือได้ว่าเป็นการระลึกถึง แต่ตอนนั้นมันหายไป แม้จะแตกต่างกันไปบ้างเล็กน้อย แต่ก็ล้วนแสดงออกถึงความเศร้าโศก
ทว่าข้าก็ได้เอ่ยออกไปแล้วว่าข้ามิยินยอม !
เขาช่างเงียบสงบเสียเหลือเกิน อาจเป็นเพราะโรคร้ายนั่นเขาจึงมิต้องการทำให้ข้าลำบากไปด้วย ต้องเป็นแบบนี้แน่ ๆ !
ดวงตาของหญิงสาวเป็นประกาย จากนั้นก็หรี่ลงเล็กน้อย นางมองเห็นสวีเสี่ยวเสียนได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ใบหน้าของนางฉายรอยยิ้มที่ออกมาจากใจจริง ราวกับดอกท้อที่บานสะพรั่ง นางรู้สึกว่าบัดนี้นางมีความคิดดี ๆ แล้ว
สวีเสี่ยวเสียนมิรู้ว่าสตรีนางนั้นอ่านบทกวีที่มีนามว่า “หากว่า” ของมู่หรงสีแล้วจินตนาการไปไกล เขาเดินไปหาตำราสองเล่มที่เขาต้องการ ซึ่งมันถูกจัดอยู่ในมุมลึก มันมีนามว่าตำราฉีหมินเย่าซู่และตำราซื่อหมินเยวี่ยหลิง
“สองเล่มนี้ราคาเท่าใด ? ”
จี้เยวี่ยเอ๋อยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ข้ามอบให้ ! ”
สวีเสี่ยวเสียนจ้องมองไปทางจี้เยวี่ยเอ๋อด้วยแววตาดุร้าย “ข้าดูเหมือนคนที่ไร้เงินจ่ายเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
จี้เยวี่ยเอ๋อตกตะลึงขึ้นมาทันใด จากนั้นก็ได้ยินสวีเสี่ยวเสียนเอ่ยขึ้นมาว่า “ถูกต้องแล้ว ข้ามิมีเงินจ่าย แต่ข้าคงมิขอบคุณเจ้าหรอกนะ ! ถือว่าเป็นค่าชดเชยที่เจ้าเข้ามาชนข้าถึงสองครั้งสองครา พวกเราถือว่าหายกัน ลาก่อน ! ”