บทที่ 11 คำสาบาน
ฉางหนิง มองดู มู่เฟิง ด้วยความประหลาดใจ แล้วหันไปมองคนในเผ่าต้าเจียงอย่างละเอียดและปลาที่อยู่บนหลังของพวกเขา หลี่หูและ หมิงกวง ต่างประหลาดใจเล็กน้อย แม้ว่าหญิงสาวจะบอกว่านางแค่เดินผ่านมา หวังว่านางคงจะไม่ลงมือ แต่สายตาที่มองไปมองมาของนางนั้นทำให้ทั้งสองคนรู้สึกไม่วางใจ
เนื่องจากอีกฝ่ายมีคนจำนวนมากและมีนักรบที่เชี่ยวชาญในการต่อสู้ หากอีกฝ่ายต้องการแย่งอาหารจริงๆพวกเขาคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนเหล่านั้น
ขณะที่ทั้งสองกำลังกระวนกระวายใจอยู่ ฉางหนิง ก็ยิ้มแล้วถามว่า
“เช่นนั้นเจ้าพาข้าไปดูเผ่าของเจ้าได้หรือไม่”
“ดูเผ่าของเรา?”แม้แต่ มู่เฟิง ก็ยังรู้สึกประหม่า
“วางใจเถอะข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายจริงๆ!” ฉางหนิง หัวเราะอย่างผ่อนคลาย
“ข้าไม่ได้สนใจอาหารของพวกเจ้าและก็จะไม่แย่งอย่างแน่นอนนักรบวิหคเขียวของข้าก็จะไม่ทำเช่นนั้น!”
“ข้าแค่อยากพบหัวหน้าเผ่าของพวกเจ้าและขอคำชี้แนะจากเขา!”
“ขอคำชี้แนะจากหัวหน้าเผ่า?”หลี่หูหันไปมอง มู่เฟิง โดยไม่รู้ตัว แต่เขารีบเบือนหน้าหนีและมองไปที่หญิงสาว
“ท่านต้องการคำชี้แนะจากหัวหน้าเผ่าของเราอย่างนั้นหรอ?”
หญิงสาวหัวเราะเบาๆและถามว่า “นอกจากทำฉมวกไม้ไผ่แล้วพวกเจ้ายังทำอาวุธอื่นอีกหรือไม่! ไม่ต้องกังวลข้าจะไม่ถามเขาโดยไม่มีสิ่งแลกเปลี่ยน!”
หลี่หูยังคงสงสัย
ฉางหนิง ชี้ไปที่มังกรดินหุ้มเกราะที่อยู่ด้านหลัง “ถ้าพวกเจ้าให้ข้าไปพบหน้าเขา และข้าได้วิธีการที่ข้าต้องการ มังกรดินตัวนี้จะเป็นของเจ้า!”
“จริงหรอ?”หลี่หูหายใจถี่
มังกรดินหุ้มเกราะไม่เพียงแต่เป็นพาหนะเท่านั้นแต่ยังเป็นสัตว์อสูร สัตว์ที่อยู่ในป่ามักจะกลัวพวกมันเช่นกัน หากเผ่าของเขามีมังกรดิน เผ่าของเขาก็จะรอดจากการโจมตีของสัตว์ร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมีมังกรดินหุ้มเกราะเป็นสัญลักษณ์ว่ามีเผ่าใหญ่คอยหนุนหลังพวกเขา ต่อไปเผาพวกเขาจะไม่ถูกรุกรานโดยเผ่าอื่นอีก
“กําเริบเสิบสาน!คิดว่าคำพูดของเผ่าวิหคเขียวจะเป็นคำพูดโกหกอย่างนั้นรึ” ชายที่เคยตะโกนออกมาก่อนหน้านี้ ตะโกนขึ้นอีกครั้ง
“อากู่ลี่!” ฉางหนิง ขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่านางรู้สึกโกรธเล็กน้อย
“หากเป็นเช่นนี้อีกเชื่อหรือไม่ว่าข้าจะบอกท่านพ่อว่าจะไม่ให้เจ้าออกจากเผ่าอีก!”
ผู้ชายคนนั้นหุบปากทันทีและพ่นลมออกจมูกอย่างเย็นชา
ฉางหนิง มองไปที่ มู่เฟิง และหลี่หูอีกครั้ง ทำความเคารพอย่างมีมารยาทด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“โปรดยกโทษให้กับคนในเผ่าของข้าที่เสียมารยาท ข้าอยากขอคำชี้แนะจากใจจริง!”
มู่เฟิง ครุ่นคิดอยู่ครู่นึงก่อนจะกล่าวว่า “พวกเราไม่คัดค้านที่ท่านต้องการจะพบหัวหน้าเผ่าของเราแต่พวกเจ้ามีจำนวนมากเกินไป..”
เขายังพูดไม่จบแต่รู้ว่าหญิงสาวนั้นเข้าใจ เป็นไปดังคาดครั้งนี้หญิงสาววางมือลงบนหน้าอก อีกนิ้วชี้บนฟ้า มอง มู่เฟิง อย่างจริงจังแล้วพูดว่า
“ข้าขอสาบานด้วยเกียรติของวิหคเขียว หากมีความหมายอื่นเผ่าวิหคเขียว จะไม่สามารถบินได้ต่อไป!”
“นี่..”หลี่หูและ หมิงกวง ตกตะลึงไปพร้อมๆกัน
“ไม่! เจ้าคือไข่มุกของเผ่าวิหคเขียว เจ้ากล้าสาบานกับคนกลุ่มนี้ได้อย่างไร!” ชายคนเดิมตะโกนอีกครั้งเห็นได้ชัดว่าเขาโกรธมาก
มู่เฟิง รู้สึกตกใจ ในความทรงจำชีวิตก่อนหรือชีวิตนี้เขาเข้าใจดีว่า วิหคเขียวคือความเชื่อของชนเผ่านี้ ไม่มีใครกล้าสาบานด้วยชื่อของเผ่าตัวเอง
“ได้!” มู่เฟิง พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นบอกข้ามาว่าเจ้าอยากถามอะไร”
“หา?” ฉางหนิง ประหลาดใจ “เจ้าว่าอะไรนะ”
“ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องการพบหัวหน้าเผ่าของเราหรอกหรอ ข้าคือหัวหน้าเผ่า!” มู่เฟิง พูดอย่างใจเย็น
“เจ้างั้นหรอ?” ฉางหนิง ตกตะลึง คิ้วคมขมวดแน่นท่าทางจริงจังทำให้ มู่เฟิง อดหัวเราะไม่ได้
“ทำไมล่ะ ไม่เหมือนอย่างนั้นหรอ?” มู่เฟิง เริ่มหยอกล้ออย่างสบายสบาย
“เจ้าเป็นหัวหน้าเผ่างั้นหรอ?” ฉางหนิง คล้ายกับเจอปัญหาที่แก้ยาก
“จะเป็นไปได้อย่างไรเจ้าอายุยังไม่เท่าข้าด้วยซ้ำ ในเผ่าของพวกเราเจ้าเป็นแค่เด็กน้อยที่พึ่งจะฝึกล่าเท่านั้น!”
มู่เฟิง ถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าข้าจะเด็กเกินไปที่จะเป็นหัวหน้าเผ่า!”
เขาหันกลับไปมอง หลี่หู และ หมิงกวง ที่กำลังตื่นตระหนก
“พอได้แล้วไม่ต้องกังวลขนาดนั้นให้ทุกคนวางปลาลงและรออีกสักหน่อย!”
หลี่หูพยักหน้าและหันไปมองคนด้านหลังพร้อมกับสั่งการ
ฉางหนิง พึ่งมีปฏิกิริยา ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เจ้าเป็นหัวหน้าเผ่าจริงๆหรอ!”
“อื้ม!” มู่เฟิง รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขารู้สึกราวกับว่าหญิงสาวที่มีชีวิตชีวาเมื่อครู่กลายเป็นสาวน้อยที่มีเสน่ห์และกำลังมองไปที่ชายหนุ่มด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความชื่นชม แต่เพียงไม่นานนานก็กลับเข้าไปในหัวข้อหลักอีกครั้ง
“ในเมื่อเจ้าเป็นหัวหน้าเผ่าเช่นนั้นก็ไม่ต้องเดินทางไปในที่ไหนแล้ว ฉมวกไม้ไผ่นี้นอกจากสามารถแทงปลาได้แล้ว?ยังทำอะไรได้อีก หรือว่าเจ้ามีอาวุธที่มีประสิทธิภาพอื่นๆอีกหรือไม่?”
นางหยุดไปครู่หนึ่งและพูดเสริมว่า “ได้โปรดบอกข้ามามังกรดินตัวนี้จะเป็นของเจ้า!”
“หืม?” มู่เฟิง ตาเป็นประกาย เมื่อสักครู่ยังคิดที่จะ เป็นชายหนุ่มเลี้ยงเหยี่ยว แต่ตอนนี้หากมีมังกรดินตัวนี้เป็นพาหนะจริงๆมันย่อมดีกว่าขี่ม้าอย่างแน่นอน
“ได้สิ!” มู่เฟิง พยักหน้าและหยิบฉมวกไม้ไผ่จากคนด้านหลัง หากจะเรียกว่าฉมวกก็แค่เป็นไม้ไผ่ที่ปลายแหลมเท่านั้นเองแม้ว่ามันเรียบง่ายแต่ มู่เฟิง ก็สามารถทำให้มันมีประโยชน์อย่างอื่น
“คนทางนั้นหลีกทางหน่อย!” มู่เฟิง มองไปที่ต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไป 10 เมตรแล้วตะโกนใส่คนที่อยู่ข้างต้นไม้ คนพูดนั้นยังคงลังเลแต่ ฉางหนิง หันหน้ามาส่งสัญญาณให้เขา เขาจึงรีบเดินหลบไปทันที
มู่เฟิง สูดหายใจเข้าลึก หวนนึกถึงวิชาเรียนพลศึกษาในชาติก่อน เขาถอยหลังไปหลายก้าวและกระโดดเข้ามาอีก 2-3ก้าวก่อนที่มือขวาจะเหวี่ยงฉมวกไม้ไผ่ไปที่ต้นไม้ต้นนั้น
ไม้ไผ่บินออกไปเป็นเส้นโค้งในอากาศแล้วแทงเข้าที่ลำต้นของต้นไม้ ไม้ไผ่สั่นสะเทือนไม่หยุด ส่วนปลายของไม้ไผ่จมลงไป 2-3 นิ้ว
“ซี๊ด” มีเสียงคนสูดหายใจเข้าอย่างตื่นเต้น