ตอนที่ 1 : หยางเฉิน
ในอาณาเขตจักรวรรดิฮั่นในทางตะวันตกของจีน
ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ พระอาทิตย์สาดแสงบนท้องฟ้า แม่น้ำที่ใสกระจ่างได้ไหลลงมาจากยอดเขา
หยางเฉิน นั่งอยู่บนหน้าผามองไปยังแม่น้ำ เขาอายุเพียง 14 ปี ใบหน้ารูปไข่ คิ้วราวกับดาบ ริมฝีปากกางๆ จมูกสันเป็นคม สายตาดูมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว เขาสวมชุดผ้าฝ้ายที่ดูเก่าเป็นอย่างมาก
“ พี่เฉิน หลานเอ๋อ เดาถูกแล้วเจ้าปีนเขาขึ้นมาจริงๆด้วย ” เสียงหวานๆดังขึ้นมาจากป่าด้านหลัง ทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้นก็มีสาวน้อยในชุดฟ้าที่ก้าวออกมาจากป่า
เด็กสาวในชุดฟ้านี้ชื่อ เว่ยหยานหลาน นางอายุน้อยกว่า หยางเฉิน เล็กน้อย นางมีผมเปียพาดไปที่ไหล่ซ้าย ในหน้ากลม นางดูซื่อตรง งดงามและดูสูงส่ง แม้ว่าจะยังเด็กแต่ก็ดูงดงามราวกับหญิงงาม
“ พี่เฉิน หลานเอ๋อ เอาของบางอย่างมาให้เจ้าด้วย ” เว่ยหยานหลาน นั่งลงไปข้างๆ หยานเฉิน ก่อนจะล้วงกระเป๋าล้วงเอาของที่ห่อด้วยกระดาษน้ำมันออกมา แม้ว่าจะยังไม่ได้เปิดกระดาษออกแต่ก็ยังพอได้กลิ่นหอมของมัน
“ หลานเอ๋อ เจ้าดีกับข้าจริงๆ ” หยานเฉิน พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม เขาพอใจอย่างมาก เขานอนไปบนตัก เว่ยหยานหลาน แล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาฉีกกระดาษน้ำมันออกก่อนจะพบขาไก่สีเหลืองทองด้านใน เขาเลียปากด้วยความหิวโหย
เว่ยหยานหลาน เห็นท่าทีสบายใจของเด็กหนุ่มตรงหน้าก็ได้แต่รู้สึกขมขื่นในใจ ‘ 9 ปีแล้วแต่ พี่เฉิน ก็ยังไม่อาจจะบ่มเพาะได้ เขาไม่อาจจะสร้างปราณขึ้นมาได้และเป็นได้แค่คนธรรมดา ’
หยางเฉิน ที่นอนอยู่บนตัก เว่ยหยานหลาน ราวกับขอทานที่ไม่ได้กินอะไรมานาน แต่ในตอนที่กินอยู่นั้นเขาก็พบสายตาอันขมขื่นของ เว่ยหยานหลาน
“ หลานเอ๋อ ข้ารู้ว่าเจ้าเศร้าแทนข้า...เฮ้อ ข้ากลัวว่าคงไม่อาจจะทำตามที่ตกลงไว้ได้ ” หยางเฉิน กินขาไก่ด้วยความพอใจแต่ในใจของเขากลับรู้สึกหม่นหมอง
คนที่ชอบขาไก่นั้นไม่ใช่ หยางเฉิน ในตอนนี้แต่เป็น หยางเฉิน ที่ตายไปเมื่อ 9 ปีก่อน หยางเฉิน ในตอนนี้เป็นวิญญาณที่มาจากอีกโลกหนึ่ง โลกที่เรียกว่าดาวโลก
บังเอิญว่าเด็กหนุ่มจากดาวโลกเองก็ชื่อว่า หยางเฉิน เช่นกัน แม้ว่าจะสะกดต่างกันแต่การออกเสียงนั้นเหมือนกับ หยางเฉิน ที่ตายไปแล้ว
หยางเฉิน เป็นเด็กกำพร้าในองค์กรดูแลเด็กกำพร้า แต่อันที่จริงแล้วนี่คือองค์กรที่คอยฝึกสอนให้เด็กๆไปหลอกลวงผู้คน หยางเฉิน นั้นโชคดีที่ถูกที่นี่เก็บมาเลี้ยง
ไม่ต้องเดาเลยว่าช่วงเวลาดีๆนั้นอยู่ได้ไม่นาน เขาก็ตาย และวิญญาณจากอีกโลกได้เข้ามายังโลกนี้ ตอนที่ตื่นขึ้นมาเขาก็พบว่าตัวเองได้กลายเป็นคนอื่นไปแล้ว เขาดีใจอย่างมากแต่ก่อนที่จะได้ดีใจเขาก็พบว่า ... ใช่ร่างนี้ของเขาก็กำลังจะตาย
เพราะในร่างที่เขาอยู่นั้นมีสองความคิด ความคิดหนึ่งคือเจ้าของร่างเดิม ความคิดที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น
ความคิดโกรธแค้นนี้ได้สั่งเสียเอาไว้
“ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใครแต่ข้าอยากให้เจ้ารับปากข้า 4 อย่าง..อย่างแรกช่วยข้าแก้แค้น...อย่างที่สองช่วยข้าหาพ่อแม่ อย่างที่สามดูแลเจ้าเฒ่าขี้เมา อย่างที่สี่...อย่าให้ใครรังแกอีก เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก...รับปากกับข้าแล้วข้าจะให้ร่างนี้กับเจ้า ”
“ ให้ร่างกับฉันเหรอ ? ”
ตอนนั้น หยางเฉิน กลับขนลุกขึ้นมา เขาคิดว่าเขากำลังโดนหลอกอยู่
แต่เขาก็ได้สติทันที เขารู้สึกว่าเขาอยู่ในร่างของคนอื่น อีกฝ่ายเหมือนกำลังจะตาย อีกฝ่ายอยากให้เขารับปาก 4 เรื่องถึงจะให้โอกาสเขาได้มีชีวิตต่อไป เมื่อคิดแบบนั้นได้ เขาก็ต้องรวบรวมพลังทั้งหมดแล้วตะโกนออกมา “ ข้ารับปากเจ้า ! ”
“ ขอบคุณ....ขอบคุณที่รับปากข้า จำข้อตกลงของเราเอาไว้...จำชื่อข้าเอาไว้...หยางเฉิน ดวงดาวในหมู่ดวงดาว...” เสียงของเด็กน้อยคนเดิมได้หายไป แทบจะพร้อมกันนั้น หยางเฉิน ที่ตายไปกับอุบัติเหตุรถยนต์ก็ต้องตื่นขึ้นมา
ตอนที่ตื่นขึ้นมานั้นเขาก็พบว่าเขานอนอยู่ริมแม่น้ำ เมื่อมองไปยังผิวน้ำก็พบกับเลือดที่ลอยจางไปกับสายน้ำ ใบหน้าของเด็กวัย 5 ถึง6 ปีสะท้อนออกมาจากผิวน้ำ มันทำให้เขาเชื่อว่าสิ่งที่เขารับรู้มาเมื่อสักครู่คือความจริง เขาได้กลับมาเกิดใหม่จริงๆ
ใน 9 ปีต่อมาเขาก็รับรู้ว่า โลกที่เขาได้เดินทางมานั้นเป็นโลกแบบไหน
โลกนี้คือโลกแห่งอำนาจ โลกของการบ่มเพาะและพลัง ที่ที่เขาอยู่คือทวีปกลาง มันคือโลกที่มีนิกายและประเทศมากมายนับไม่ถ้วน ความแข็งแกร่งของนิกายและประเทศนั้นทัดเทียมกัน ผู้คนที่นี่พึ่งการบ่มเพาะ ยิ่งแกร่งเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งได้รับความเคารพจากผู้อื่น
ที่ที่เขาอยู่นี้เรียกว่าประเทศวูชาน มันมีเมืองเล็กๆ 3 เมืองคือ เมืองไชหยาน, เมืองหลุนเซีย และเมืองซูเซียน เขาอยู่ในเมืองซูเซียน ในเมืองนี้หากอยากได้ความเคารพจากผู้อื่น งั้นก็ต้องเป็นผู้บ่มเพาะให้ได้ก่อนอายุ 18 ปี แต่โชคร้ายที่เขาอายุ 14 ปีแต่ก็ยังไม่อาจจะเป็นผู้บ่มเพาะได้
ด้วยความแข็งแกร่งของ หยางเฉิน ในตอนนี้แล้วเขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะเป็นราชาปกครองผู้ใด เขาเป็นได้แค่ขอทานเท่านั้น !
ดังนั้น เว่ยหยานหลาน จึงแสดงสีหน้าขมขื่นออกมา นางรู้ว่า หยางเฉิน ทดลองมาหลายวิธีแล้วแต่ก็ไม่มีวิธีใดที่ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นมาได้ แม้ว่า หยางเฉิน จะไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคและแสร้งว่าไม่อยากแข็งแกร่งขึ้นต่อหน้า เว่ยหยานหลาน แต่นั่นคือคำโกหก !
หยางเฉิน เป็นคนหยิ่งทะนง เขาคือคนที่มุ่งมั่น ในชีวิตที่แล้วเขาไม่เคยยอมแพ้ให้กับโชคชะตา ในชีวิตนี้ก็เช่นกัน ! ดังนั้นเขาจะยอมให้ชีวิตในโลกแห่งอำนาจต้องอยู่แบบคนต้อยต่ำได้ยังไง ?
เมื่อเห็นว่า เว่ยหยานหลาน เศร้าแทนตน หยางเฉิน จะไม่ปวดใจได้ยังไง ?
เขาจำได้ว่าเขาที่เพิ่งมายังโลกนี้ถูกแทบทุกคนรังแก ไม่สิ ! น่าจะบอกว่ารังแก หยางเฉิน คนเดิมแต่ถึงอย่างนั้นเพราะอยู่ในร่างเดียวกันก็ถือว่าเป็นการรังแกเขาด้วย
มีแค่ เว่ยหยานหลาน เท่านั้นที่ดีกับเขา สำหรับเขาแล้วเธอคือเทพธิดา ! เขาไม่อยากทำให้เทพธิดาต้องผิดหวังแต่ความเป็นจริงมันโหดร้าย
ตอนที่ หยางเฉินนึกถึงเรื่องในอดีต เว่ยหยานหลานกลับยิ้มออกมา “พี่เฉิน วันนี้เจ้าไม่ไปโถงวรยุทธรึ ? ” นางรู้ว่า หยางเฉิน อยากให้นางหัวเราะ ดังนั้นต่อหน้า หยางเฉิน นางจึงมักจะยิ้มออกมาเสมอ
“ เฮ้อ...”
เมื่อได้ยินคำพูดของเว่ยหยานหลาน หยางเฉินก็เลิกสนใจน่องไก่ตรงหน้า สิ่งที่เขากลัวที่สุดคือโถงวรยุทธ
วรยุทธคือสิ่งที่ผู้บ่มเพาะใช้ต่อสู้กันในโลกแห่งอำนาจ ! วรยุทธนั้นสามารถแบ่งเป็นขั้น ระดับทั่วไป, ระดับปฐพี, ระดับสวรรค์, ระดับเทวะ
โถงวรยุทธคือที่ที่ผู้คนจะได้รับการสั่งสอนวรยุทธและทำการฝึกฝนวรยุทธ มันคือที่ที่เด็กทุกคนในเมืองไปรวมตัวกัน ตราบใดที่อายุไม่เกิน 18 ปี พวกเขาก็ต้องไปศึกษาในโถงวรยุทธ พวกเด็กๆนั้นมีพรสวรรค์ไม่ได้ทัดเทียมกัน คนอย่าง หยางเฉิน มีอยู่แค่สองคนเท่านั้น
เมื่อเขามายังผาแห่งนี้ เขาก็ไม่อยากจะไปยังโถงวรยุทธ เขาไม่อาจจะทนสายตาของผู้อื่นได้
แต่เขารู้ว่าการหนีนั้นไม่ใช่ทางเลือก ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของ เว่ยหยานหลาน เขาก็ได้แต่ต้องลุกขึ้น เขาลูบหัวนางแล้วยิ้มออกมา
“ หลานเอ๋อ ไปกันเถอะ ”
เขาเดินไปที่ป่าช้าๆ เขายิ้มแห้งๆออกมา รอยยิ้มของเขานั้นยียวนกวนประสาทอย่างมาก
เว่ยหยานหลาน พยักหน้าและรีบวิ่งตาม หยางเฉิน ไป นางจับมือ เว่ยหยานหลาน เอาไว้แล้วเดินเข้าไปในป่าด้วยกัน
ตอนที่ เว่ยหยานหลาน และ หยางเฉิน มาถึงโถงวรยุทธ โถงที่เต็มไปด้วยผู้คนนั้นคึกคักอย่างมากราวกับตลาดสด พ่อแม่ของเด็กๆพากันโอ้อวดถึงลูกของตนว่าแข็งแกร่งเพียงใด
บางคนถึงกับบอกว่าลูกของตนได้ฆ่าสัตว์อสูรในภูเขาวูชานได้ มันทำให้ หยางเฉิน กลัวขึ้นมา ใครกันแน่ที่เป็นคนฆ่าสัตว์อสูร ? ต้องเข้าใจก่อนว่ามันมีสัตว์อสูรในโลกแห่งอำนาจ สัตว์อสูรแกร่งแค่ไหนกัน ? สัตว์อสูรระดับธรรมดานั้นสามารถฆ่าช้างในโลกเขาได้ในพริบตา
หากคิดจะฆ่าสัตว์อสูรนั่น งั้นก็ต้องใช้คนจำนวนมาก คนที่โม้ว่าลูกของตนฆ่าสัตว์อสูรได้นั้นพูดไม่คิดเลยจริงๆ
“ เงียบก่อน ! ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาก้องไปทั่วโถงวรยุทธ
เมื่อได้ยินเสียงนี้ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีก นี่ไม่ต้องพูดถึงเสียงนี้เลย แค่การปรากฏตัวของชายผู้นี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะกล้าขัดคำสั่ง
คนที่พูดนี้สูงกว่า 2 ม. ร่างเขาเปลือยท่อนบน ร่างกายเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ตัวเขาราวกับทำขึ้นจากเหล็ก ผมของเขาสั้นมีหนวดมีปากที่กว้าง สายตาดุดันราวกับเสือ ตอนที่ หยางเฉิน เห็นชายคนนี้ครั้งแรก สิ่งแรกที่เขานึกถึงคือยักษ์เขียวเชร็ค
ชายผู้นี้คือ ถูเชิน เขาอยู่ขอบเขตธุลี ถ้าพูดให้แม่นยำแล้วคือขอบเขตธุลี ขั้น 8 ...แต่ละขอบเขตนั้นแบ่งเป็น 9 ขั้น เขาคือคนที่แกร่งเป็นอันดับสองของเมืองซูเซียน เขารับหน้าที่ในการสั่งสอนเด็กๆในการบ่มเพาะ
“ พวกที่กล้าส่งเสียงออกมาอีก ข้าจะหักมือและเท้าซะรวมถึงไม่อนุญาตให้เข้าโถงวรยุทธไปตลอดชีวิต ! ” เสียงของ ถูเชิน ดังขึ้นมาจากใจกลางห้องโถง
‘ หูข้าแทบหนวก เขาฝึกทักษะเสียงมารึไง ? ’ หยางเฉิน บ่นออกมาในใจ เขาไม่กล้าจะส่งเสียงออกมา ถูเชิน บอกว่าจะหักมือกับเท้า มันอาจจะฟังเป็นเรื่องตลกแต่อีกฝ่ายน่ะจะทำจริงๆ
เว่ยหยานหลาน ยังจับมือหยางเฉินเอาไว้ นางไม่สนใจสายตาผู้ใด รอบตัวหยางเฉิน นั้นมีแต่สายตาอิจฉาราวกับจะสื่อว่า
‘ ดอกไม้บนกองขี้วัว ! ’
“ เหมือนอย่างเคย ทดสอบความแข็งแกร่งของพวกเจ้าก่อน ทดสอบปราณของพวกเจ้าก่อน พวกเจ้าฟังข้าเรียกแล้วก้าวออกมา ! ”
คำพูดสองคำสุดท้ายดังขึ้นในหูเด็กทุกคนราวกับเข็มที่แทงเข้าไปในหูพวกเขา
หยางเฉิน ไม่กล้าจะขัดคำสัง ถูเชิน เขากับ เว่ยหยานหลาน ก้าวเข้าไปในห้องโถง ในพริบตาก็มีเด็กกว่าร้อยคนที่ไปรวมตัวกันใจกลางห้องโถง ทุกคนพากันยืนตัวตรงมือกุมเป้าและเงยหน้า บรรยากาศนี้แทบจะไม่มีใครกล้าหายใจ !