ตอนที่ 22 : ปล้น
“ ทรงพลังจริง ๆ !” หยางเฉินจ้องไปที่ต้นไม้ที่โดนแทงด้วยกระบี่ตาไม่กะพริบ เขาไม่อาจจะสงบจิตใจอยู่ได้สักพัก
“ เสี่ยวหยาง หากเจ้าควบคุมโทสะของกระบี่อสนีโลกันตร์ได้ พลังของกระบี่จะแข็งแกร่งขึ้นไปอีก โชคร้ายที่เราไม่มีวรยุทธ์กระบี่เพื่อใช้ควบคุมกระบี่อสนีโลกันตร์” เถาเถารู้สึกเศร้าใจขึ้นมา
หยางเฉินมองไปที่คัมภีร์ที่ปรากฏขึ้นมาพร้อมกับกระบี่ จากนั้นเถาเถาก็ได้สติทันที “ คัมภีร์ !”
“ บางทีมันอาจจะเป็นวรยุทธ์ของกระบี่นี้ !” เถาเถาหยิบมันขึ้นมาและคลี่ออกอย่างช้าๆ
ตอนที่คลี่คัมภีร์ออกมานั้น หนังสัตว์ก็ได้ตกลงมาจากคัมภีร์ราวกับใบไม้ที่ร่วงหล่น หยางเฉินยื่นมือไปรับหนังสัตว์เอาไว้ และเห็นว่าหนังสัตว์เต็มไปด้วยลวดลายต่าง ๆ ทั้งภูเขาและแม่น้ำ มันเหมือนกับจะเป็นแผนที่ แต่มันไม่สมบูรณ์oyd
“ แผนที่รึ ? ” เถาเถามองไปที่แผนที่และถามขึ้นมา “ เสี่ยวหยางมันมีอะไรเขียนไว้บนแผนที่กัน ? ”
“ เครื่องหมายบางอย่างข้าจะไปรู้ได้ยังไงว่ามันคืออะไร เจ้าลองเอาไปดูเองเถอะ !” หยางเฉินโยนเศษแผนที่ให้กับเถาเถา และเขายังเห็นว่ามันมีตัวหนังสือเขียนไว้ที่ส่วนล่างของเศษแผนที่ด้วย
เถาเถารับแผนที่เอาไว้พร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนไป เขาเห็นตัวหนังสือที่ด้านล่างแผนที่ ตัวหนังสือเหล่านั้นเขียนบอกเอาไว้ว่า‘จักรพรรดิกระบี่ได้มุ่งหน้าไปยังภูเขามังตัง....’ นี่คือตัวหนังสือบนเศษแผนที่ แต่มันไม่ได้บอกว่าจักรพรรดิกระบี่มุ่งหน้าไปยังภูเขามังตังเพื่อทำอะไร แม้ว่าภูเขาวูชานจะใหญ่โตแต่ก็เท่ากับแค่มุมเดียวของภูเขามังตัง
“ จักรพรรดิกระบี่ ! แก่นน้ำ !” เถาเถาเบิกตากว้าง ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เขากำลังแสดงสีหน้าตะลึงรึตื่นเต้นกันแน่
“ จักรพรรดิกระบี่รึ ?” หยางเฉินอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึก ๆ ชัดแล้วว่านี่ไม่ใช่เรื่องดี เศษแผนที่นี้ถูกทิ้งไว้โดยยอดฝีมือในจักรวรรดิฮั่นที่เคยมีคนแข็งแกร่งแบบนั้นอยู่
สุดท้ายเถาเถาก็เรียกสติกลับมา เขาสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วมองไปที่หยางเฉิน “ เสี่ยวหยางเจ้ารู้รึไม่ว่าทำไมเขาถึงถูกเรียกว่าจักรพรรดิกระบี่ ? ”
“ รึว่าอาวุธที่เขาใช้เป็นกระบี่ ?” หยางเฉินลูบจมูกแล้วคาดเดาออกมา
“ เสี่ยวหยางเจ้าไม่รู้รึว่ากระบี่นั้นแทนถึงอะไร มันแทนถึงสุดยอดนิกาย ชื่อของนิกายนั้นคือนิกายกระบี่!” เถาเถาพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ เมื่อเขาใช้คำนี้เป็นตำแหน่ง งั้นก็หมายความว่าเขาเป็นศิษย์ของนิกายกระบี่”
“ นิกายกระบี่รึ ? ” หยางเฉินไม่เคยได้ยินชื่อนิกายนี้มาก่อน
“ คนของนิกายนี้ล้วนแต่ใช้กระบี่ กระบี่เหล่านี้ยาวกว่า 2 เมตร. มันหนาและหนัก พลังโจมตีของพวกเขาน่าทึ่ง จนแม้แต่นายของข้าก็ยังไม่กล้าหาเรื่องพวกนั้น” เถาเถาพูดขึ้นมา “ เขาเป็นจักรพรรดิ แต่เขาจะมีสมบัติติดตัวแค่เพียงชิ้นเดียวได้ยังไง ? ไม่แปลกไปหน่อยรึ ? ”
“ เถาเถา ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินชื่อนิกายกระบี่มาก่อน นิกายกระบี่เป็นยังไงเมื่อเทียบกับวังวูหลิน ? ” หยางเฉินถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“ ฮึ่มวังวูหลินพิเศษก็จริง ศิษย์ของพวกเขาสามารถทำลายที่นี่ได้เป็นร้อย ๆ ครั้ง” เถาเถามองไปที่หยางเฉิน “ มันมีนิกายเป็นพัน ๆ ในที่ราบกลาง เสี่ยวหยาง หากเจ้าอยู่แต่ในเมืองที่แม้แต่นกก็ยังไม่สนใจ เจ้าคงเป็นคนที่แข็งแกร่งไม่ได้”
“ นิกายกระบี่.... ” หยางเฉินอดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมา นิกายลึกลับนี้จะแข็งแกร่งขนาดไหนกัน ?
“ เสี่ยวหยาง หากเจ้าให้คนอื่นรู้ว่าเจ้ามีเศษแผนที่นี้กับตัว แม้แต่ข้าก็ไม่อาจจะช่วยเจ้าได้” เถาเถาพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ค่าของมันมากมายเหลือเกิน สิ่งที่มันบันทึกเอาไว้ ล้วนแต่ทำให้ยอดฝีมือบ้าคลั่งได้”
“ ของมีค่าแบบนี้มันน่าจะเป็นแก่นน้ำที่เจ้าพูดถึงใช่รึไม่ ? แล้วแก่นน้ำมันคืออะไรกัน!” สีหน้าของหยางเฉินเปลี่ยนไปทันที เศษแผนที่นี้ดูเหมือนว่าจะเป็นตัวปัญหา ?
“ แก่นน้ำคือหนึ่งในแก่นทั้งสี่ นิกายของนายข้าก็มีแก่นน้ำเช่นกัน เท่าที่ข้ารู้มา หลังจากที่ยอดฝีมือตายไปมันจะมีน้ำแปลกๆหลงเหลืออยู่ในร่าง ตอนที่พวกเขาตาย น้ำนี้จะดูดซับร่างกายและเลือดเอาไว้ มันจะดูดซับพลังที่แปลกประหลาด ในโลกมันเหมือนจะเรียกว่าแก่นวิญญาณ จากนั้นก็จะพัฒนากลายเป็นแก่นน้ำ” เถาเถาอธิบายออกมา
“ แก่นน้ำรึ ?” หยางเฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ ใจของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง แก่นน้ำนั้นมีชีวิต แก่นทั้งสี่นี้ไม่ดูผิดปกติไปหน่อยรึ ?
“ ในตอนที่เราอยู่เรียกได้ว่าเป็นยุคโบราณ ต่อมาคือยุคกลาง ทั้งสองยุคไม่ได้มีแก่นทั้งสี่ มีแค่ยุคโบราณขึ้นไปเท่านั้นที่มี ยิ่งนานเท่าไหร่ก็ยิ่งสร้างแก่นทั้งสี่ได้ง่ายขึ้นเท่านั้น ข้าไม่รู้ว่าแก่นน้ำนี้ถูกพบโดยจักรพรรดิกระบี่ ถูกสร้างขึ้นมาในยุคโบราณ รึเก่าแก่กว่านั้น” เถาเถาพึมพำออกมา
“ เถาเถาหากแก่นน้ำนี้มีชีวิต มันก็มีชีวิตมานาน แม้ว่าเราจะหามันพบ แต่เราจะทำยังไงกับมัน ? มันต้องแกร่งมากแน่ๆ” หยางเฉินพูดขึ้น
เถาเถาตบหัวตัวเองแล้วยิ้มแห้งๆออกมา “ ใช่ หากเจ้าพบกับแก่นน้ำตอนนี้ เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน”
“ ใช่สิเถาเถา ทำไมยอดฝีมือถึงจะบ้าคลั่งเมื่อพบว่ามันเกี่ยวข้องกับแก่นน้ำ?” หยางเฉินถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“ แก่นทั้งสี่จะส่งผลต่อผู้บ่มเพาะอย่างมาก เจ้าไม่เข้าใจที่ข้าบอกไปตะกี้รึ เอาไว้เมื่อถึงเวลาแล้วข้าจะบอกเจ้า” เถาเถาส่ายหน้า เขาไม่ต้องการจะพูดเรื่องนี้กับหยางเฉินอีก
“ ไม่พูดก็ไม่ต้องพูด” หยางเฉินฮึดฮัดออกมา เขามองไปยังคัมภีร์ในมือเถาเถาแล้วถามขึ้นมา “ เถาเถานั่นมันวรยุทธ์อะไรกัน?”
“ นี่คือวรยุทธ์กระบี่ แต่โชคร้าย ถึงจะมีวรยุทธ์นี่แต่เจ้าก็ไม่อาจจะควบคุมโทสะของกระบี่อสนีโลกันตร์ได้ เพราะเจ้านั้นอ่อนแอเกินไป ปราณน้อยนิดในตัวเจ้าไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นโทสะของกระบี่อสนีโลกันตร์ได้” เถาเถาส่ายหน้าด้วยทาทีหมดหนทางอันที่จริงตอนที่หยางเฉินกวัดแกว่งกระบี่ อย่างมากเขาก็ทำได้แค่ปล่อยปราณกระบี่ออกมา แต่เถาเถากลับสามารถกระตุ้นโทสะของกระบี่อสนีโลกันตร์ออกมาได้อย่างง่ายดาย เพราะความต่างเรื่องปริมาณปราณ
“ เจ้าน่าจะบ่มเพาะวรยุทธ์กระบี่นี่ เมื่อปราณในตัวเจ้าพอเพียง เจ้าก็น่าจะควบคุมกระบี่อสนีโลกันตร์นี่ได้ตามใจ” เมื่อพูดจบเถาเถาก็ได้โยนคัมภีร์ให้กับหยางเฉิน
หยางเฉินไม่ได้สนใจว่าเขาจะใช้โทสะของมันได้รึไม่ เพราะกระบี่อสนีโลกันตร์นั้นทำให้เขาใช้ปราณออกมาจากตัวได้ หากเขามีวรยุทธ์กระบี่ ความแข็งแกร่งของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
หยางเฉินคลี่คัมภีร์ออกแล้วอ่านขึ้นมา “ วรยุทธ์นิกายกระบี่ วรยุทธ์กระบี่เก้าอสนี ปราณกระบี่ราวกับสายฟ้าตัดผ่ามิติ...
‘กระบี่เก้าอสนีรึ ? นี่มันอะไรกัน ? นิกายของเขามีแต่สิ่งประหลาด ยิ่งไปกว่านั้นทำไมคนของนิกายกระบี่ถึงได้ใช้กระบี่ที่บางและสั้นเช่นนี้ ? ‘เถาเถาอดไม่ได้ที่จะสงสัย เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่
หยางเฉินยิ้มกว้างออกมา เขาไม่รู้ว่าเถาเถาคิดอะไร ไม่ว่ามันจะเป็นวรยุทธ์ที่ดีรึไม่ แต่ตราบใดที่เพิ่มความแข็งแกร่งได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้ว
“ เสี่ยวหยางอย่าเพิ่งดีใจไป วรยุทธ์ของนิกายกระบี่นั้นไม่ได้บ่มเพาะกันง่ายๆ” เถาเถาเรียกสติหยางเฉิน
หยางเฉินก้มลงไปมองคัมภีร์ วิธีการบ่มเพาะด้านในนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะบ่มเพาะได้สำเร็จ การบ่มเพาะวรยุทธ์กระบี่นี้ยากจริงๆ เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาด้วยความขมขื่น วรยุทธ์กระบี่เก้าอสนี บอกได้ว่าได้สร้างขึ้นจากการโคจรของสายฟ้า หากต้องการบ่มเพาะวรยุทธ์นี้ งั้นก็ต้องเข้าใจการเคลื่อนไหวของสายฟ้า หยางเฉินส่ายหน้าด้วยท่าทีสลดและสบถออกมาในใจ ‘บัดซบ วรยุทธ์เฮงซวยอะไรกัน ข้าจะเข้าใจการเคลื่อนไหวของสายฟ้าได้ยังไง ? ’
“ เสี่ยวหยางเจ้าต้องเรียนรู้การใช้กระบี่ และการใช้รูปแบบกระบี่ก่อน รวมถึงท่าพื้นฐานของกระบี่ สำหรับท่าระดับสูงขึ้นไปนั้นมันยังไม่สายหากจะเรียนรู้เมื่อเจ้าหาที่ที่เต็มไปด้วยสายฟ้าได้” เถาเถาพูดขึ้นมา “ เจ้าต้องออกล่าและฆ่าสัตว์อสูรด้วยการใช้วรยุทธ์กระบี่ในการสู้กับสัตว์อสูร นี่คือทางที่รวดเร็วที่สุด” หยางเฉินพยักหน้าเขารู้ดีว่าถึงเถาเถาจะดูเด็ก แต่เขานั้นก็เป็นอาจารย์ที่ดี
“ เตรียมตัวให้พร้อม เราจะมองหาสัตว์อสูรขอบเขตกำลังภายในเพื่อฝึกฝนวรยุทธ์กระบี่ เจ้าสามารถปล่อยปราณออกมาได้แล้วเมื่อเจ้าบ่มเพาะวรยุทธ์กระบี่พื้นฐานได้หมด เราก็ควรจะออกไปล่าสัตว์อสูรขอบเขตธุลีกัน” เถาเถากลับไปในพู่กันก่อนจะลอยกลับไปที่เอวของหยางเฉิน
“ ขอบเขตธุลีรึ ? เจ้าจะบอกให้ข้าไปตายรึไง ?” ในตอนที่พูดอยู่นั้นหยางเฉินก็นึกถึงกระเป๋าของนักล่าอสูรมันมีหนังสัตว์อยู่ด้านในจำนวนมาก เขาลองใช้กระบี่อสนีโลกันตร์ตัดหนังสัตว์เหล่านั้น แล้วดึงพู่กันออกมาจากเอวก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ เถาเถา ข้าคิดว่าจะทำฝักกระบี่ ดังนั้นข้าจึงต้องรบกวนเจ้าเสียหน่อย” เมื่อเขาพูดจบก็ได้ใช้ปลายพู่กันแทงลงไปบนหนังสัตว์แล้วเอาไหมออกมาจากกระเป๋า
“ เสี่ยวหยางเจ้ากล้าใช้ข้าเป็นเข็ม ข้าโกรธขึ้นมาจริงๆแล้ว!” เสียงของเถาเถาแฝงไปด้วยความโกรธดังขึ้นมา
หยางเฉินเผยรอยยิ้มออกมา เขาไม่สนใจคำพูดของเถาเถาเลยสักนิด และเตรียมเย็บฝักกระบี่ขึ้นมา ใช้เวลาไม่นานฝักกระบี่ก็ถูกเย็บขึ้นมาจนเสร็จ หลังจากที่ใส่ฝักกระบี่ที่หลังเขาก็ลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปในป่าเตรียมที่จะฝึกวรยุทธ์กระบี่ เขาอดใจรอไม่ไหวที่จะได้สู้กับหลิวหยูและเชินเจียนเซียว ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้แล้ว นอกซะจากว่าหลิวหยูและเชินเจียนเซียวจะก้าวขึ้นไปขอบเขตธุลีแล้ว งั้นทั้งสองก็ไม่อาจจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้
หยางเฉินไม่เห็นเลยว่าในแหวนมิตินั้นมีแสงส่องประกายขึ้นมาในกระเป๋า แสงนี้ส่องมาจากคัมภีร์ด้านในกระเป๋านี้คือสิ่งที่ได้มาจากนักล่าอสูรที่พู่กันฆ่าไป ตอนที่คัมภีร์นี้ส่องแสงออกมาอินทรีขนดำตัวใหญ่ก็กำลังบินตัดผ่านป่าอยู่ อินทรีได้กางปีกออกยาวกว่าครึ่งเมตรและบินวนอยู่รอบป่า ตาของมันมองมายังหยางเฉิน ในป่านี้สัตว์อสูรที่โด่งดังนั้นก็คืออินทรีทมิฬ มันเป็นสัตว์อสูรของกองกำลังหนึ่ง และมันสามารถตามรอยผู้คนและส่งต่อข้อมูลได้
อินทรีกระพือปีกแล้วบินวนก่อนจะบินไปยังฝั่งตรงกันข้ามกับหยางเฉิน หลังจากที่บินอยู่นานมันก็ได้พุ่งลงไป ในป่าที่ที่มันพุ่งลงไปนั้นกลับเป็นที่ที่หยางเฉินได้ฆ่านักล่าอสูรไปเมื่อไม่นานมานี้
มีชายวัยกลางคนสองคนในชุดหนังคนหนึ่ง หน้าตาของเขาเหมือนกับกับคนจีน อีกคนใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา ทั้งสองยืนอยู่ข้างศพที่ไร้หัวทั้งสาม อินทรีได้บินลงมาเกาะที่ไหล่ของชายคนแรก
ชายที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครามองไปยังศพทั้งสามที่พื้นแล้วพึมพำออกมา “ นอกจากคนคนนั้นแล้วก็คงไม่มีใครฆ่าพวกเขาได้ง่ายเช่นนี้”
“ เขาบาดเจ็บ ไม่คิดเลยว่าจะยังแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้ เราไม่อาจจะประมาทได้” ในตอนที่พูดนั้นชายคนแรกก็ได้ลูบหัวอินทรี “ นำทางไป!”
อินทรีพยักหน้าแล้วบินออกไปราวกับลูกศรที่โดนยิงออกไป มันมุ่งหน้าเข้าไปในส่วนลึกของป่า ชายทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะรีบตามไป ทั้งสองรวดเร็วอย่างมากจนหยางเฉินไม่อาจจะเทียบได้เลย