ตอนที่ 32 : สตรีผู้บ้าคลั่ง
หลังจากที่ตบหยางเฉินไปแล้ว ฮัวเยว่นูก็พบว่าเสื้อผ้าของนางนั้นหายไปแล้ว นางทั้งอายและโกรธ เมื่อนางเห็นว่าหยางเฉินยังนั่งอยู่บนตัวนาง นางก็แทบอยากจะมุดดินหนี
“ เด็กน้อย ! หลับตาเจ้าซะ ไม่งั้นข้าจะฆ่าเจ้า !” ตอนที่พูดออกมานั้นนางก็ได้ตบหน้าของหยางเฉินไปอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันนางก็รีบดึงเสื้อผ้ารอบตัวมาปิดร่างกายของนางเอาไว้ด้วยความลนลาน
“ โอ๊ย !” หยางเฉินเอามือกุมหน้าเพราะความเจ็บ เขามองไปที่ฮัวเยว่นูด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “ นี่มัน..ไม่ใช่ฝันรึ ?”
“ เจ้า !” ฮัวเยว่นูหน้าซีดไป หน้าอกของนางกระเพื่อมขึ้นลง ‘ เด็กนี่คิดว่าเขาฝันไปงั้นรึ ? เป็นแบบนั้นได้อย่างไรกัน ! ‘
เมื่อหยางเฉินเห็นว่าเสื้อผ้าของฮัวเยว่นูยังไม่เรียบร้อย ก็คิดว่าที่ฮัวเยว่นูเป็นแบบนี้คงเพราะโดนพิษเมื่อตะกี้มา แต่เสื้อผ้าของเขาเองก็เหมือนจะหายไปด้วยเช่นกัน ‘ มันเกิดอะไรขึ้นกัน ? ’ เมื่อคิดได้แบบนั้น หยางเฉินก็สีหน้าเปลี่ยนไปทันที
“ เจ้า...เจ้ายังไม่หลับตาอีก ข้าจะฆ่าเจ้าบัดนี้เลย !” ฮัวเยว่นูเห็นว่าหยางเฉินมองมาที่นางด้วยความสับสน หน้าของนางก็แดงก่ำขึ้นมา นางแทบอยากเอาหน้ามุดดินหนี
เมื่อหยางเฉินได้สติและรีบกุมส่วนล่างของตัวเองเอาไว้ เขายิ้มแห้งๆออกมา “ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้เลย เจ้า...”
“ ไปซะ !”
เมื่อได้ยินเสียงร้องของฮัวเยว่นู หยางเฉินก็รีบคลานออกมาจากถ้ำ เถาเถาที่อยู่ด้านนอกถ้ำคอยหยางเฉินอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเสียงร้อง เขาก็หันกลับมาและเห็นว่าหยางเฉินได้วิ่งหนีออกมาจากในถ้ำ
“ เสี่ยวหยาง นางบ้าไปแล้วรึ ?” เถาเถามองไปที่หยางเฉินแล้วยิ้มออกมา
“ นางไม่ได้บ้า แต่นางคลั่ง เถาเถา รีบออกจากที่นี่กันเถอะ ไม่งั้นข้ากลัวว่านางจะฆ่าข้าจริงๆ” ในตอนที่พูดนั้น หยางเฉินก็ได้เอาเสื้อผ้าในแหวนมิติมาสวม
‘ ใครจะไปคิดว่าสตรีที่งดงามเช่นนั้นจะใจร้ายเช่นนี้ได้ ‘ หยางเฉินอดไม่ได้ที่จะบ่น “ ครั้งแรกของข้ากลับตกเป็นของนางโดยที่ข้าไม่รู้ตัว สุดท้ายนางกลับคิดจะฆ่าข้าอีก ? ข้าต่างหากที่เป็นฝ่ายเสียหาย ! ”
“ เสี่ยวหยาง เจ้าอยากให้ข้าช่วยจัดการกับนางรึไม่ ?” เถาเถายิ้มและพูดขึ้นมา “ หากนางไม่เชื่อฟัง เราก็จะฆ่านางแทน ”
“ ข้าคิดว่ามันไม่จำเป็น หากเจ้าทำเช่นนั้น นางอาจจะไม่รอด” หยางเฉินส่ายหน้า หากเถาเถาลงมือ ฮัวเยว่นูก็คงต้องตาย แม้ว่าเขาจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับฮัวเยว่นู แต่เขาก็ไม่ได้อยากจะฆ่านาง
“ เจ้าเด็กเหลือขอ ! ข้าจะฆ่าเจ้า !” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากในถ้ำพร้อมกับฮัวเยว่นูที่พุ่งออกมา
ตอนที่นางพุ่งออกมาจากถ้ำนั้น เถาเถาก็ได้มุดกลับไปในพู่กัน ฟรืด ! พู่กันได้ลอยไปที่เอวของหยางเฉิน เสียงของเถาเถาดังขึ้นมาในหูของหยางเฉินดังก้อง “ หากเจ้าให้คนอื่นรู้เรื่องของข้า มันมีแต่จะนำหายนะมาสู่ตัวเจ้า เมื่อเจ้าไม่คิดจะฆ่านาง ข้าคิดว่าควรซ่อนตัวก่อนเพื่อที่จะไม่ได้เปิดเผยตัวตน”
‘ ไม่แปลกเลยที่เถาเถาไม่เคยเผยร่างจริงออกมาตอนที่สู้กับพวกนั้น แต่ทำไมการเผยร่างจริงของเขาจะนำหายนะมาหาข้ากัน ? ‘ หยางเฉินอดไม่ได้ที่จะสงสัย เขาอยากจะถามหาเหตุผลจากเถาเถา แต่ฮัวเยว่นูก็พุ่งออกมาจากถ้ำพร้อมกับแส้สีทองในมือเสียก่อน นางมองเขาด้วยสายตาเย็นชา
“ ดีที่เจ้าไม่หนีไปไหน” ฮัวเยว่นูมองไปที่หยางเฉินด้วยสายตาเย็นชาและหาโอกาสที่จะฆ่าเขา
“ สาวน้อย ข้า...” หยางเฉินพูดยังไม่ทันจบก็โดนแส้ของฮัวเยว่นูเฉือนเข้าที่แขน
จากนั้นฮัวเยว่นูก็ฮึดฮัดออกมา “ ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไรแต่ข้าก็จะฆ่าเจ้าอยู่ดี ไม่งั้นแล้วชื่อของข้า ฮัวเยว่นู คงแปดเปื้อน !” นางพูดจบก็ได้สะบัดแส้เข้าใส่หยางเฉินทันที
‘ นางบ้าไปแล้ว ! ‘ หยางเฉินหันกลับและวิ่งหนีออกมา ‘ นางมีสมบัติอยู่กับตัว ข้าไม่อาจจะเป็นคู่ต่อสู้ของนางได้ ’
ตอนนั้นหยางเฉินกำลังจะใช้ก้าววายุอสนี แต่แล้วสีหน้าของเขาก็ต้องเปลี่ยนไป เขารู้สึกว่าพลังในตัวนั้นมากกว่าเดิมอย่างมาก มันแทบจะเป็นสองเท่าจากเดิมด้วยซ้ำ เขาไม่รู้เลยว่าปราณในตัวและความแข็งแกร่งของเขาได้เพิ่มขึ้นมาเท่าตัว
เขาอยากจะถามเถาเถาแต่มันสายไปแล้ว เสียงแส้ตัดอากาศที่ด้านหลังนั้นได้ดังขึ้นก่อนที่แส้จะฟาดเข้าใส่ที่แผ่นหลังของเขา พลังงานได้อัดเข้าไปที่แผ่นหลังของเขา จนทำให้หยางเฉินสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
‘ นางคิดจะฆ่าข้าจริงๆ ! ’ หยางเฉินรีบใช้ก้าววายุอสนีเพื่อหลบ ในเวลาเดียวกันเขาก็ได้ดึงกระบี่อสนีโลกันตร์ออกมาฟันเข้าใส่แส้ แต่เขาก็ต้องแปลกใจเพราะกระบี่กลับรุนแรงขึ้นมาอย่างมาก มันสะบัดไปมาราวกับสายฟ้า เงาของกระบี่สั่นไหวไปมาและฟันออกไปอย่างต่อเนื่อง
แส้ในมือของฮัวเยว่นูโดนกระบี่ปราณอัดเข้า แส้และกระบี่ปะทะกัน การปะทะนี้ราวกับเหล็กที่กำลังเสียดสีกันจนเกิดประกายไฟออกมานับไม่ถ้วน
หยางเฉินเบิกตากว้าง เขาแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเอง แม้แต่เถาเถาก็ยังต้องอึ้ง ‘ เป็นไปได้อย่างไรกัน ? เด็กนี่อยู่แค่ขอบเขตกำลังภายใน แต่เขาใช้โทสะของกระบี่ได้อย่างไร ’
หลังจากที่ตะลึงได้ไม่นาน เถาเถาก็คิดถึงตอนที่หยางเฉินอยู่ขอบเขตกำลังภายในขั้น 4 แต่เขากลับทำลายหินเพชรได้ถึง 12 ก้อน และตอนนี้เมื่อทะลวงถึงขั้น 8 เขาจะมีพลังแค่ไหนกัน ? เขาจะทำลายหินได้กี่ก้อนกัน ?
ฮัวเยว่นูตกตะลึง นางคิดว่าหยางเฉินอยู่แค่ขอบเขตกำลังภายใน แต่นางไม่คิดเลยว่าหยางเฉินจะปล่อยปราณออกมาได้ถึงเพียงนี้ และสิ่งที่นางแปลกใจมากกว่านั้นก็คือการโจมตีของหยางเฉินเมื่อตะกี้ทำให้แส้ในมือของนางแทบจะหลุดออกจากมือ มันจึงทำให้นางแปลกใจอย่างมาก
‘ เด็กเหลือขอนี่ปกปิดความแข็งแกร่งเอาไว้ ! ’ ฮัวเยว่นูสบถในใจ “ เจ้าคิดจะหาช่องโหว่เพื่อจัดการกับข้าสินะ ? ฮึ่ม ปกปิดความแข็งแกร่งของตัวเองให้ดีละกัน”
‘ นางโง่รึไง ! นางกำลังบ้าไปแล้ว ! ’ หยางเฉินสบถในใจ เขาไม่อยากจะเสียเวลากับฮัวเยว่นูอีกต่อไป เขาจึงได้ดึงพู่กันออกมาจากเอวแล้วตะโกนออกมา “ไปได้ !”
“ เด็กน้อย เจ้าชิงสิ่งที่สำคัญที่สุดของนางไป ไม่แปลกเลยที่นางจะแค้นเจ้าเช่นนี้ ฮ่าฮ่า..” เสียงหัวเราะของเถาเถาดังขึ้นมาในหู ของหยางเฉิน ในเวลาเดียวกันพู่กันก็ได้พาหยางเฉินพุ่งเข้าไปในป่า
“ เขา...ความเร็วนี่มันอะไรกัน ? เขาถืออะไรไว้ในมือ ? ทำไมถึงเร็วเช่นนี้ ?” ฮัวเยว่นูตะลึงและมองแผ่นหลังของหยางเฉินด้วยความตกใจ
แน่นอนว่าหยางเฉินไม่เห็นสีหน้าของฮัวเยว่นู ตอนนั้นเขาได้เข้ามาในส่วนลึกของป่า พู่กันได้พาหยางเฉินมายังหุบเขาที่มีหญ้าขึ้นเต็มไปหมดและมีต้นไม้สูง
“ เสี่ยวหยาง ข้าคิดว่าเจ้าคงยังไม่รู้ว่าตะกี้เจ้าเกือบตายมาแล้ว ? หากไม่ใช่เพราะนาง เราคงไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว” เถาเถาพุ่งออกมาจากพู่กัน เขามองมาที่หยางเฉินแล้วพูดขึ้นมา
“ ข้าเกือบตายงั้นรึ ?” สีหน้าของหยางเฉินเปลี่ยนไป เขาไม่รู้จริงๆว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนที่จะได้สติ เถาเถาได้บอกทุกอย่างกับ หยางเฉิน หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเถาเถา หยางเฉินก็ตะลึงขึ้นมา
“ เถาเถา ข้าไม่ได้ตั้งใจจะดูดซับปราณในลูกบอลปราณ แต่ทำไมปราณถึงได้ไหลเข้ามาในตัวของข้าได้ ?” สีหน้าของหยางเฉิน เต็มไปด้วยความสงสัย
“ ข้าคิดว่าอาจจะเป็นเพราะกระบี่อสนีโลกันตร์ เจ้าไม่ได้ดูดซับปราณในลูกบอลปราณโดยตรง แต่เจ้าเป็นแค่สะพานที่เชื่อมต่อพลังของสิ่งสองสิ่ง และหากว่าข้าช้าไปมากกว่านี้ เจ้าคงตายไปพบบรรพบุรุษของเจ้าแล้ว” เถาเถาเองก็ตกใจ การดูดซับปราณจากลูกบอลปราณโดยตรงแต่ยังมีชีวิตรอดมาได้คือสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง
“ งั้นนางก็ช่วยชีวิตข้าไว้งั้นรึ ? “ หยางเฉินลูบจมูกและอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ ช่างเถอะ แม้ว่านางจะด่าข้าอย่างไรแต่ข้าก็ไม่คิดจะไปยุ่งกับนนางอีก”
“ เสี่ยวหยาง แก่นของเจ้ายังไม่มั่นคง เจ้าอย่าเพิ่งพยายามทะลวงผ่านขั้น 9 เจ้าต้องหาประสบการณ์ก่อน เมื่อเจ้าควบคุมปราณในตัวได้คล่องแคล่วแล้ว มันก็ยังไม่สายที่จะลองทะลวงผ่านขั้น 9” เถาเถาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ เถาเถา..” หยางเฉินยังไม่ทันได้พูดก็ได้ยินเสียงคนกำลังคุยกันอยู่ในหุบเขา
“ หัวหน้าเรียกตัว เรารีบไปรวมตัวกันเถอะ !”
“ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นถึงได้สั่งการเร่งด่วนเช่นนี้ !” เสียงอีกคนดังขึ้นมา
หยางเฉินหันกลับไปมองและพบกับผู้บ่มเพาะหลายสิบคนที่โผล่มาจากทุกทิศทางจากป่า คนเหล่านี้จับกลุ่มกัน 3 รึ 2 คน ไม่ก็คนเดียว ทุกคนต่างก็มุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน ในทิศทางที่พวกนั้นมุ่งหน้าไปได้มีไฟปะทุออกมา ไฟได้ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ไม่นานไฟก็หายไป ไฟนี้คือคำสั่งรวมตัว
“ คนของหน่วยเซียวเทียน” สีหน้าของหยางเฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย ซงซานโดนพู่กันฆ่าไป แต่เซ่ามูหนีไปได้ และคนเหล่านี้ก็ถูกเซ่ามูเรียกรวมตัวรึ ?
“ เสี่ยวหยาง คนพวกนี้แทบจะอยู่ขอบเขตธุลีกันหมด ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้ารวมกับกระบี่แล้ว เจ้าน่าจะเอาชนะผู้บ่มเพาะขอบเขตธุลีขั้น 5 ได้ แต่ถ้าหากคู่ต่อสู้ของเจ้าเหนือกว่าขอบเขตธุลีขั้น 6 ไปแล้ว เจ้าก็ไม่น่าจะสู้กับพวกเขาได้” เถาเถาไม่ได้กังวลแม้แต่น้อย เขายังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพู่กันและหัวเราะออกมา
“ เจ้าคงไม่อยากให้ข้าไปจัดการกับนักล่าอสูรเหล่านั้นหรอกนะ ?” หยางเฉินหันกลับไปมองเถาเถาด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
“ ถูกแล้ว ข้าบอกไปแล้วว่าเจ้าต้องหาประสบการณ์ คนเหล่านี้คือประสบการณ์ที่ดีของเจ้า ” เถาเถามือเท้าคางและยิ้มออกมา “ เจ้าสบายใจได้ ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าตายหรอก ข้าจะช่วยเองในตอนที่วิกฤต”
หยางเฉินกลอกตาใส่ทันที เถาเถาคิดจะทรมานเขาอยู่งั้นรึ? ทำไมถึงให้เขาไปจัดการกับคนขอบเขตธุลีกัน ? แม้ว่าเขาจะมีกระบี่อสนีโลกันตร์อยู่กับตัว แต่หยางเฉินก็ไม่ได้มั่นใจในตัวเองแม้แต่น้อย
“ มีคนกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่ เขาอยู่แค่ขอบเขตธุลลีขั้น 1 เจ้าควรใช้เขามาเป็นตัวฝึกฝนวรยุทธ์กระบี่ อย่างไรเสียข้าก็ได้หาเรื่องหน่วยเซียวเทียนไปแล้ว ข้าไม่สนว่าจะมีเรื่องกับใครเพิ่มอีก” เถาเถามุดเข้าไปในพู่กัน ฟรึด! พู่กันได้ลอยกลับไปที่เอวของหยางเฉินทันที
หยางเฉินได้แต่ยิ้มแห้งๆออกมา ใช้ผู้บ่มเพาะขอบเขตธุลีเป็นตัวฝึกฝนกระบี่ ? เถาเถามองเขาสูงส่งเกินไปรึไม่ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำตามที่เถาเถาบอกมา เขาดึงกระบี่ออกมาจากด้านหลังและกดความกดดันในใจเอาไว้ก่อนจะใช้ก้าววายุอสนีเดินทางออกไป
ชายในชุดหนังซึ่งเป็นชุดของนักล่าอสูรกำลังเดินทางอยู่ในป่า หยางเฉินได้ไปเผชิญหน้ากับเขาเข้าพอดี นักล่าอสูรผู้นี้ยังดูเด็ก อายุไม่น่าจะเกิน 20 ปีด้วยซ้ำ แต่แม้ว่าจะยังเด็กแต่ก็ดูระมัดระวังตัวอย่างมาก เมื่อเห็นมีคนมุ่งหน้าเขามาหา เขาก็หยุดและมองไปรอบๆทันที