ตอนที่ 39 : ปราณสีม่วง
ฮัวเยว่นูดึงแส้กลับมาพร้อมกับหัวของหลงเซิงที่ร่วงลงไปที่พื้น ร่างของเขาเองก็นอนลงไปที่พื้นเช่นกัน ตอนนั้นนางเห็นของที่ หยางเฉินโยนออกมาสามชิ้นซึ่งมันก็ตกอยู่ที่พื้น ทั้งที่ควรจะเป็นผลึกเลือดแต่กลับเป็นหินสามก้อน
“เด็กน้อยนี่ นี่คือสิ่งที่เจ้าบอกว่าเป็นผลึกเลือดงั้นรึ ?” ฮัวเยว่นูมองไปที่หยางเฉินแล้วฮึดฮัดออกมา “ เจ้ารู้รึไม่ว่าเจ้ากำลังรนหาที่ตาย ?”
หยางเฉินไม่ได้ใช้ยันต์ในการปลอมแปลงคลื่นพลังของตัวเอง ดังนั้นฮัวเยว่นูจึงมองความแข็งแกร่งของเขาออก แค่ขอบเขตกำลังภายในแต่กลับกล้าใช้ผลึกเลือดปลอมข่มขู่คนขอบเขตบรรพจารย์ ต้องบอกว่าใจกล้าดีจริงๆ
“ ข้าตายรึยังล่ะ ? ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ไม่ได้โง่ ข้าไม่ได้รนหาที่ตาย ข้ายังอยากมีชีวิตต่อถึงทำเช่นนั้น” ตอนที่พูดนั้นหยางเฉินก็เผยรอยยิ้มออกมา
เมื่อเห็นรอยยิ้มของหยางเฉิน ฮัวเยว่นูก็ใจสั่น นางอดไม่ได้ที่จะคิดในใจ ‘ เกิดอะไรขึ้นกับข้ากัน ? ทำไมข้าต้องใจสั่นเมื่อเห็นรอยยิ้มของเด็กนี่ด้วย ’
กรร ! อยู่ๆก็มีเสียงคำรามดังก้องขึ้นในหุบเขา หยางเฉินและฮัวเยว่นูสีหน้าเปลี่ยนไป พวกเขาหันกลับไปมองในหุบเขาก็พบว่ามีร่างหนึ่งกำลังพุ่งออกมา และตามมาด้วยพู่กัน
ร่างนี้คือลั่วปิง โดยมีพู่กันลอยอยู่ข้างๆนาง
พู่กันได้บินกลับไปที่เอวของหยางเฉินทันที เถาเถาได้พูดขึ้นมา “ มันเก่งในการหลบหนีจริงๆ ไม่งั้นแล้วแม้ว่าจะระเบิดผลึกเลือดแต่ข้าก็ฆ่ามันให้ได้”
หยางเฉินเข้าใจว่าหมีหมานั้นคงหนีไปได้ แต่แน่นอนว่าต้องบาดเจ็บหนัก
“ สมบัติ...จิต...” ฮัวเยว่นู เมื่อเห็นพู่กันลอยกลับมาที่เอวของหยางเฉิน นางก็ตกตะลึง ‘ เด็กนี่มีสมบัติจิตอยู่กับตัวรึ ? เป็นไปได้อย่างไรกัน? ’
“ ชีวิตเขาเป็นของข้า ข้าไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงคิดจะฆ่าเขา แต่จากนี้ไปเจ้าห้ามแตะต้องเขาแม้แต่เส้นผม ” ตอนที่ฮัวเยว่นูกำลังอึ้งอยู่นั้น ลั่วปิงก็ได้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วปิง ฮัวเยว่นูก็สีหน้าเปลี่ยนไป แม้แต่หยางเฉินเองก็ยังตกใจเช่นกัน
“ เจ้าเป็นใคร ? ทำไมข้าถึง...” ก่อนที่ฮัวเยว่นูจะพูดจบ มือของลั่วปิงก็จับไปที่คอของนางจนทำให้นางหน้าแดงจนไม่อาจจะพูดอะไรต่อได้
“ ลั่วปิง นางเป็นเพื่อนของข้า ก่อนหน้านี้เราแค่เข้าใจผิดกัน อย่าทำร้ายนาง !” หยางเฉินจับแขนของลั่วปิง เขากลัวว่าหากช้าไปกว่านี้ ฮัวเยว่นูอาจจะตายได้
“ เพื่อนรึ ?” ลั่วปิงมองไปที่หยางเฉินด้วยรอยยิ้ม แต่นางจำได้ว่าฮัวเยว่นูเอาแต่ด่าหยางเฉินว่าไอ้เด็กลามกและไล่ฆ่าเขามาตลอด ใครจะไปคิดกันว่านางจะมาเป็นเพื่อนกับเขาได้
“ ข้าไม่สนว่านางจะเป็นเพื่อนเจ้ารึไม่ แต่ข้าไม่อาจจะให้ใครมาปลิดชีวิตเจ้าได้” ในตอนที่พูดนั้นลั่วปิงก็ได้ปล่อยมือออกจากคอ ของฮัวเยว่นู
ฮัวเยว่นูมองไปที่ลั่วปิงด้วยสายตาเย็นชา ตะกี้นี้นางไม่เห็นด้วยซ้ำว่าลั่วปิงลงมืออย่างไร ความเร็วนี้แม้แต่ศิษย์พี่ของนางก็ไม่อาจจะเทียบได้ หากนางรู้ว่าลั่วปิงนั้นยังบาดเจ็บอยู่ ไม่งั้นแล้ว....
‘สตรีนางนี้ใจเด็ดจริงๆ ข้าชอบนิสัยแบบนี้ที่สุด เสี่ยวหยาง นี่คือน้องสะใภ้ของข้าในภายภาคหน้า ฮี่ฮี่...’ เถาเถาเห็นแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เขากำลังจะช่วยหยางเฉินหาภรรยาในอนาคต
หยางเฉินไม่รู้ว่าเถาเถากำลังคิดอะไรอยู่ เขามองไปที่ลั่วปิงและฮัวเยว่นูก่อนจะยิ้มออกมา ตอนนี้มีคนบ้าอยู่กับเขาถึงสองคนแล้ว มันน่าปวดหัวจริงๆ
ตอนที่หยางเฉินเห็นว่าสีหน้าของลั่วปิงเปลี่ยนไป นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นลั่วปิงแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมา หยางเฉิน และฮัวเยว่นูจึงได้มองตามสายตาของลั่วปิงไป ก่อนจะพบกับเมฆสีม่วงที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือป่า
ปราณสีม่วงได้แผ่ออกมา การรับรู้ได้กวาดไปทั่ว แม้ว่าหยางเฉินและฮัวเยว่นูจะสัมผัสกับการรับรู้นี้บ้าง แต่ก็ไม่รู้ตัวเลย ส่วนลั่วปิงและเถาเถาในพู่กันกลับรับรู้ได้อย่างชัดเจน
“ เสี่ยวหยาง รีบออกจากที่นี่ !” เถาเถาส่งข้อความบอกกับหยางเฉิน น้ำเสียงของเขาดูร้อนใจอย่างมาก ชัดแล้วว่าเจ้าของการรับรู้นี้น่ากลัวแค่ไหน
แทบจะพร้อมกันกับที่เถาเถาส่งข้อความบอก ลั่วปิงก็ได้ยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ มาเร็วจริงๆ ไล่ล่าข้ามานานเช่นนี้สุดท้ายก็มาด้วยตัวเอง” ทันทีที่พูดจบนางก็หันไปมองหยางเฉิน “ ดูแลตัวเองด้วย ข้ากลัวว่าข้าคงไม่อาจจะทำตามที่รับปากกับเจ้าได้อีก !”
นางพูดจบก็วิ่งเข้าไปในป่าคิดจะหนีออกจากที่นั่นทันที
“ ลั่วปิง เจ้าจะไปไหน ! ข้าจะไปกับเจ้าด้วย !” เมื่อหยางเฉินได้ยินคำพูดของลั่วปิง แม้จะไม่รู้ว่าทำไมนางถึงหนีออกไป แต่เขารู้ว่าที่ผ่านมาลั่วปิงไม่ได้คิดร้ายต่อเขา ดังนั้นเขาจึงไม่อยากทิ้งลั่วปิงไป
ลั่วปิงหันกลับมามองหยางเฉิน สายตาของนางเป็นประกายขึ้นมา “ ทำไมเจ้าถึงจะไปกับเข้า เจ้ารู้รึไม่ว่าจะต้องพบกับอันตรายเพียงใด?”
“ อันตรายรึ ?” ตอนที่หยางเฉินลังเลอยู่นั้น เถาเถาก็ได้พูดขึ้น “ นางกำลังจะเจอกับอันตรายจริงๆ แต่หากเราอยู่ที่นี่ต่อ เราก็จะพบอันตรายไปด้วย นอกซะจากว่าความแข็งแกร่งของข้าจะฟื้นฟูกลับมาอีกนิด ไม่งั้นแล้วข้าก็ไม่อาจจะรับมือกับคนที่มาได้ รับปากกับนางเสีย !”
“ ข้า หยางเฉิน ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากมาตลอด สิ่งสุดท้ายที่ข้ากลัวคืออันตราย นี่ไม่ต้องพูดถึงการที่เจ้าบาดเจ็บอยู่เลย ข้าไม่อาจจะปล่อยเจ้าไปเพียงลำพังได้” หยางเฉินพูดขึ้น คำพูดของเขาทำให้ลั่วปิงซึ้งใจอย่างมาก
“ แม้ว่าข้าจะบาดเจ็บอยู่ แต่หลังจากที่ได้กินยาของเจ้าไป ข้าคงใช้เวลาเพียง 3 วันเท่านั้นก่อนจะฟื้นฟูพลังกลับมาเป็นปกติ และหลังจากนั้นข้าก็อาจจะไม่ต้องเกรงกลัวพวกมันอีก !” ลั่วปิงยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก
“ ข้าจะไปด้วย !” ฮัวเยว่นูพูดขึ้นมา
“ หากเจ้าตามเราไป ก็มีแต่จะพบกับความตาย สาวน้อย ข้าแนะนำว่าเจ้าควรหวงแหนชีวิตตัวเองจะดีกว่า” ลั่วปิงยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มเย็นชา เมื่อพูดจบนางก็ดึงหยางเฉินวิ่งเข้าไปในป่าต่อ
ฮัวเยว่นูอยากจะไล่ตามแต่อยู่ๆก็ได้ยินเสียงของลั่วปิงดังขึ้น “ หากเจ้ากล้าตามเรามา งั้นก็อย่าหาว่าข้าใจร้าย ไม่ใช่แค่จะฆ่าเจ้าแต่จะฆ่าเขาด้วย !”
เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วปิง ใบหน้าที่งดงามของฮัวเยว่นูก็บีดเบี้ยวไป นางไม่กล้าจะไล่ตามไป ไม่นานหยางเฉินและลั่วปิงก็หายไปในป่า แม้ว่านางอยากจะไล่ตามแต่ก็ไม่อาจจะไล่ตามทัน
ตอนที่ลั่วปิงและหยางเฉินหายเข้ามาในป่า ปราณสีม่วงบนท้องฟ้าก็ลอยเข้ามา ภายใต้ปราณสีม่วงนี้ คนสองคนก็ค่อยๆเดินเข้ามาในป่าหนึ่งในนั้นคือเซ่ามู !
และยังมีอีกคนที่อยู่ข้างๆ เซ่ามู นั่นก็คือชายที่สวมชุดขาวอายุประมาณ 30 ปี เขามีใบหูที่ใหญ่ สายตาดูน่าเกรงขามอย่างมาก
ปราณม่วงบนท้องฟ้าค่อยๆหายไปก่อนจะมารวมตัวกันอยู่ที่บนหัวชายของชุดขาว ชายชุดขาวเห็นฮัวเยว่นูที่กำลังตัวสั่นเพราะสายตาของเขา อยู่ๆนางก็มึนหัวจนแทบจะสลบไป
“ สาวน้อย เจ้าเห็นสตรีชุดดำมาแถวนี้รึไม่ ?” น้ำเสียงของชายชุดขาวนั้นแฝงไปด้วยพลังแปลกๆ มันทำให้ผู้คนรู้สึกเคริ้มไปตามและอยากจะตอบคำถามของเขาทุกคำ
“ นางไปแล้ว” ฮัวเยว่นูตอบกลับ สายตาของนางแสดงความสับสนออกมา
“ ผู้นำ นางบาดเจ็บอยู่ไม่น่าจะหนีไปไหนได้ไกล” เซ่ามูมองไปที่ชายชุดขาวและแสดงท่าทีเคารพออกมา จากคำพูดของเขาแล้วชัดแล้วว่าชายชุดขาวคือไป่เซียวเทียน หัวหน้าของหน่วยเซียวเทียน
“ ข้าจงใจให้นางรู้ว่าข้ากำลังมา มันคงไม่สนุกหากจับตัวนางได้ง่ายๆ” ไป่เซียวเทียนยิ้มออกมา “ ข้าไม่ได้เล่นเกมที่น่าสนใจแบบนี้มานานแล้ว ลั่วปิง ข้าหวังว่าเจ้าจะหนีไปได้ไกล อย่าให้ข้าจับได้ง่ายๆละ”
จากั้นนน้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไป สีหน้าของเขาแสดงความตื่นเต้นออกมา ก่อนจะพูดกับตัวเอง “ มันมีคลื่นพลังอีกอัน ที่แผ่ออกมาโดยสมบัติจิต แต่หากเทียบกับสมบัติจิตของจักรวรรดิแดวูแล้ว คลื่นพลังนี่อ่อนแออย่างมาก หากข้าเข้าใจไม่ผิดแล้ว มันน่าจะเป็นสมบัติจิตที่เสียหาย น่าสนใจ มันน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ หากข้าได้สมบัติจิตนั่นมา...”
ในตอนที่พูดนั้น ไป่เซียวเทียนก็ได้เดินเข้าไปในป่า ตอนที่เขาเดินออกไปนั้น เขากลับเดินอยู่ในอากาศ เท้าเขาไม่ได้สัมผัสกับพื้นเลยแม้แต่น้อย มันคือพลังบางอย่างที่แม้แต่ขอบเขตบรรพจารย์ก็ยังไม่อาจจะทำได้ มีแค่ขอบเขตราชาเท่านั้นที่ทำเช่นนี้ได้
เซ่ามูตามไป่เซียวเทียนไปติดๆ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเคารพ
....
ในส่วนลึกของป่า หยางเฉินยังสงสัยอยู่ว่าทำไมเถาเถาถึงยอมให้เขาออกมาพร้อมกับลั่วปิง
ตอนนั้นเถาเถาก็ได้พูดขึ้น “ เสี่ยวหยาง คนที่แผ่การรับรู้ออกมาตะกี้รับรู้ตัวตนของข้าแล้ว หากเราไม่มากับลั่วปิง เราก็ไม่อาจจะจัดการเขาได้ด้วยความแข็งแกร่งที่เรามีในตอนนี้”
แม้ว่าจะมีลูกบอลปราณอยู่ แต่ก็ไม่อาจจะจัดการกับชายคนนั้นได้ หยางเฉินอดไม่ได้ที่จะตะลึง คนที่ตามมานี้เป็นใครกัน ?
“ ไป่เซียวเทียน เจ้าจงใจให้ข้ารู้ว่าเจ้ามา เจ้าอยากเล่นแมวจับหนูรึ ? แล้วข้าจะทำให้เจ้าเสียใจเอง เจ้าคงไม่รู้สินะว่าข้าจะหายดีในอีก 3 วัน” ลั่วปิงมองไปด้านหลัง นางเหมือนเห็นรอยยิ้มเยาะเย้ยของไป่เซียวเทียนลางๆ
หลังจากที่ละสายตากลับมา ลั่วปิงก็มองไปที่หยางเฉินที่อยู่ข้างๆก่อนจะฉุกคิดบางอย่าง ‘ เจ้าปีศาจน้อยนี่เป็นใครกัน ? ไม่ใช่แค่มีอาวุธจิตแต่ยังมียาระดับสูงด้วย และเขายังยอมใช้ยานั่นเพื่อช่วยชีวิตข้าอีก ’
เมื่อคิดแบบบนั้น ลั่วปิงก็ซึ้งใจอย่างมาก ค่าของยานั้นสูงอย่างมาก ไม่ใช่แค่ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของนางแต่ยังช่วยให้นางแกร่งขึ้นมาอีก นางไม่เข้าใจว่าทำไมปีศาจน้อยตรงหน้าถึงยอมใช้ยานี้เพื่อช่วยนาง ?
หยางเฉินไม่รู้ว่าลั่วปิงคิดอะไรอยู่ ไม่งั้นแล้วเขาคงได้ร้องไห้ออกมาแล้ว หากรู้ว่ามันเป็นยาระดับสูง เขาคงไม่ใจกว้างใช้มันเพื่อช่วยคนอื่นแบบนี้ อย่างน้อยเขาคงต้องใช้ประโยชน์จากมันก่อน